11 ม.ค. 2023 เวลา 12:45
ฎีกาที่ 7799/2561
เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 โจทก์ฟ้องนายสมพงษ์กับนายศิริศักดิ์เป็นจำเลยในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1996/2557 โดยบรรยายว่าร่วมกันบุกรุกเข้าไปในที่ดินหมู่ที่ 8 ของโจทก์ ขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวและเรียกค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย จำเลยทั้งสองในคดีดังกล่าวให้การว่า โจทก์ไม่ได้เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท
จำเลยทั้งสองซื้อที่ดินพิพาทจากนายฉัตรมงคลและนายสมโภชมาตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2555 และเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน โดยจำเลยที่ 2 ครอบครองทำประโยชน์เนื้อที่ 11 ไร่เศษ ต่อมาวันที่ 30 กันยายน 2556 จำเลยที่ 2 ขายที่ดินส่วนดังกล่าวให้แก่นางชานัญ์ชนม์ (จำเลยในคดีนี้) และนางชานัญ์ชนม์ครอบครองที่ดินมาโดยสงบเปิดเผยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเกิน 1 ปี
ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยวันที่ 27 เมษายน 2558 โดยบรรยายว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และโจทก์ยื่นฟ้องนายศิริศักดิ์กับพวกในข้อหาฐานความผิดละเมิดห้ามรบกวนการครอบครองทรัพย์สิน เรียกค่าเสียหาย ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1996/2557 ต่อมานายศิริศักดิ์ขายสิทธิการครอบครองที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยและจำเลยเข้าไปตัดไม้ยูคาลิปตัสที่โจทก์ปลูกไว้ทั้ง 11 ไร่เศษเป็นเงิน 200,000 บาท
ขอให้ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินและชดใช้ค่าเสียหาย เมื่อพิจารณาสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างอันอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาทั้งสองสำนวนแล้ว ต่างโต้แย้งเป็นประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกันว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท แม้คดีแรกโจทก์มิได้ฟ้องจำเลยคดีนี้รวมกับศิริศักดิ์และพวกเป็นจำเลยก็ตาม
แต่ตามคำฟ้องของโจทก์คดีนี้ได้ยืนยันว่านายศิริศักดิ์ขายที่ดินส่วนที่นายศิริศักดิ์บุกรุกเข้าไปให้จำเลยเป็นปริยายว่าจำเลยเข้าไปในที่ดินพิพาทของโจทก์คนละคราวกับนายศิริศักดิ์แต่เป็นการเข้าไปโดยอาศัยมูลเหตุจากการที่นายศิริศักดิ์ขายที่ดินพิพาทให้เป็นสำคัญ กรณีตามคำฟ้องจึงต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้สิบสิทธิของนายศิริศักดิ์นั้นเอง ทั้งต้องถือว่าจำเลยในคดีนี้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าวด้วย
ต่อมาเมื่อคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1996/2557 เสร็จการสืบพยาน ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วงข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองในคดีดังกล่าวเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ และพิพากษายกฟ้อง ดังนั้น คดีนี้จึงต้องห้ามมิให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำในประเด็นว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอีก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยกปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 วรรคหนึ่ง
ขึ้นวินิจฉัยนั้นชอบแล้ว แต่อย่างไรก็ดี คดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1996/2557 หมายเลขแดงที่ 794/2557 ดังกล่าว ยังไม่ถึงที่สุด หากในชั้นที่สุดศาลฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ผลของคำพิพากษาในคดีย่อมผูกพันทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสองในคดีดังกล่าว และจำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นผู้สืบสิทธิของนายศิริศักดิ์จำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าวด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ทำให้คดีนี้ยังมีประเด็นต้องวินิจฉัยต่อไปว่า
จำเลยต้องห้ามมิให้เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทและต้องชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์เพียงใด ดังนั้น การรอฟังผลคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1996/2557 หมายเลขแดงที่ 794/2557 ของศาลชั้นต้นจนกว่าคดีดังกล่าวจะถึงที่สุดเสียก่อนแล้วพิพากษาคดีต่อไป ย่อมทำให้ความยุติธรรมคดีนี้ดำเนินไปได้ด้วยดี การที่ศาลชั้นต้นไม่หยิบยกปัญหาเรื่องการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำขึ้นวินิจฉัย
โดยยังคงวินิจฉัยในประเด็นว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและพิพากษาจึงไม่ชอบ ในกรณีเช่นนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ชอบที่จะพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วให้ศาลชั้นต้นรอฟังผลคดีแพ่งมายเลขดำที่ 1996/2557 หมายเลขแดงที่ 794/2557 ของศาลจนกว่าคดีดังกล่าวจะถึงที่สุดเสียก่อน แล้วพิจารณาและพิพากษาคดีนี่ใหม่ตามรูปคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาดรา 243 (2) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2
พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์เพราะเหตุดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำมานั้น ศาลฎีกาจึงยังไม่เห็นพ้องด้วย (พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้ศาลชั้นต้นรอฟังผลคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1996/2557 หมายเลขแดงที่ 794/2557 ของศาลชั้นต้น จนกว่าคดีดังกล่าวจะถึงที่สุด แล้วพิจารณาและพิพากษาคดีนี้ใหม่ตามรูปคดี)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา