28 ม.ค. 2023 เวลา 00:00 • ไลฟ์สไตล์

ชีวิตต่างแดน (3) หางานที่นิวยอร์ก

Blockdit Originals ซีรีส์บทความพิเศษ
2
หนังคาวบอยอเมริกันประเภทท่องตะวันตกแสวงโชคหาทอง มักมีฉากกองเกวียนคาราวานเดินทางข้ามแผ่นดินกว้างใหญ่ ผลักดันด้วยความฝัน โดยไม่รู้ว่าจะไปเจออะไร
2
ชีวิตผมหลังออกจากสิงคโปร์ก็เป็นอย่างนั้น ผมไปอเมริกาโดยไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่จริงๆ
ผมใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีตัดสินใจไปเรียนต่อที่อเมริกา และจิ้มเอามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งจากแคตตาล็อครายชื่อมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ เหมือนดูหนัง นึกอยากดูก็ตีตั๋วเข้าโรงไปเลย บางอย่างในใจบอกว่า ไปเถอะ น่าสนุก
1
มันเป็นกลางปี 1983 ผมกับเพื่อนสมัครเรียนที่ Pratt Institute ที่นิวยอร์ก หลักสูตรระดับปริญญาโท สาขาการออกแบบสื่อสาร แคมปัสหลักตั้งอยู่ที่บรูคลิน และอีกแห่งหนึ่งอยู่ที่แมนฮัตตัน
2
ผมมีเงินเก็บก้อนหนึ่งจากการทำงานหลายปีที่สิงคโปร์ กะว่าพอสำหรับเรียนปีหนึ่ง
มหาวิทยาลัยในสหรัฐฯค้นพบวิธีรีดเงินจากนักศึกษาต่างชาติ นั่นคือบังคับให้เรียนภาษาอังกฤษโดยไม่นับหน่วยกิต ไม่ว่าจะพูดภาษาอังกฤษปร๋อ หรืออ่านเขียนรู้เรื่อง นโยบายเบื้องบนคือจับนักเรียนต่างชาติเรียนหมด รวมทั้งวิชาออกแบบพื้นฐานด้วย โดยไม่ต้องเสียเวลาดู port folio ต่อให้ผู้สมัครก้าวพ้นวิชาพื้นฐานไปแล้ว
3
หลายวิชาที่ถูกบังคับให้เรียนนั้นผมเคยเรียนมาก่อน หรือมีประสบการณ์ตรงมาก่อน แต่มันกลายเป็นภาคบังคับของการรีดเงิน
เจอเข้าอย่างนี้ หมดเทอมแรก เงินที่สะสมมาสามปีกว่าก็ละลายหมด เพราะค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพที่นิวยอร์กสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
2
เมื่อไม่มีเงินเรียนต่อ ก็ต้องหาทางอื่น นั่นคือทำงานก่อน แล้วหาเงินมาเรียนทีหลัง
1
ผมออกจากมหาวิทยาลัยหลังผ่านไปเทอมเดียว แล้วไปตายดาบหน้า
1
เริ่มที่หางานทำ
1
แต่จะหางานอะไร? นิวยอร์กเป็นเมืองค่าครองชีพสูง มันต้องเป็นงานที่ให้รายได้พอที่จ่ายค่าเช่าและค่าเรียน สำหรับนักศึกษาที่ไปเรียนเองโดยไม่มีใครส่งเสีย ถือว่าหนักเอาการ
3
ผมเห็นนักศึกษาไทยหลายคนเรียนที่เดียวกับผม พ่อแม่ซื้อรถยนต์ให้ขับ การมีรถขับในนิวยอร์กถือว่ามีฐานะไม่ธรรมดา แต่ผมไม่เคยคิดเปรียบเทียบ เราต่างมีภูมิหลัง ฐานะ และต้นทุนชีวิตต่างกัน ผมก็ใช้ชีวิตตามฐานะของตัวเอง
1
ผมพอใจที่ผมสร้างตัวจากเกือบศูนย์ พ่อแม่เพียงให้โอกาสศึกษาเท่านั้น ที่เหลือต้องดิ้นรนหามาเอง แต่แค่นั้นก็พอใจแล้ว
1
สิ่งที่พ่อแม่สอนมาตลอดคือแสดงให้ดูว่า ต้องทำงานหนักอย่างไรจึงจะลืมตาอ้าปากได้ และความรู้สำคัญเพียงใด
4
ผมไม่เคยกลัวความลำบาก ผมว่าพ่อผมลำบากกว่าผมร้อยเท่าตอนเดินทางตัวเปล่ามาจากเมืองจีน สร้างตัวจากศูนย์ในเมืองไทย โดยไม่รู้ภาษาไทยเลย
1
ผมไปเมืองนอกในสภาพเตรียมพร้อมกว่าพ่อผมไปเมืองไทย ผมยังรู้ภาษา ยังสามารถดิ้นรนหางานทำได้ จึงไม่รู้จะบ่นไปทำไม
1
เมื่อมองอย่างนี้ ผมก็เห็นว่าผมโชคดีมหาศาลที่มาไกลขนาดนี้
ผมหางานทุกอย่าง แต่ตั้งใจว่าถ้าเป็นไปได้ จะทำงานที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบหรือวาดรูป เพื่อที่ประสบการณ์งานด้านนี้จะได้ไม่ขาดช่วง
2
นิวยอร์กเป็นศูนย์กลางศิลปะ มีงานด้านนี้มากมายให้ทำ แต่ขณะเดียวกันที่นี่เป็นแหล่งชุมนุมพยัคฆ์และมังกร มีศิลปินฟรีแลนซ์มือดีมากมาย ฝรั่งเพื่อนร่วมอพาร์ตเมนต์ของผมก็เป็นนักวาดฟรีแลนซ์ฝีมือฉกาจคนหนึ่ง
ผมนึกได้ว่า ผมชอบออกแบบบัตรอวยพรเป็นงานอดิเรก ผมเคยออกแบบบัตรอวยพรให้เพื่อนๆ ที่สิงคโปร์ ผมเชื่อว่าทำงานแบบนี้ได้ แล้วผมก็กระโจนเข้าไปในวงการที่ผมไม่เคยทำมาก่อน
ผมวาดรูปจำนวนหนึ่ง แล้วค้นหาหาชื่อบริษัทบัตรอวยพรจากสมุดหน้าเหลือง โทรศัพท์ติดต่อบริษัทผลิตบัตรอวยพรหลายแห่ง ขอเอาแบบไปเสนอ ไล่ไปเรื่อยๆ ทีละบริษัท
ตลาดบัตรอวยพรในสหรัฐฯมีขนาดใหญ่ บริษัทยักษ์เช่น Hallmark เก่าแก่มาก แต่ก็มีบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก จับเซ็กเมนต์ต่างๆ ของตลาดครบถ้วน มีการ์ดทุกรูปแบบ สำหรับทุกโอกาส การ์ดศาสนา การ์ดการ์ตูน ฯลฯ แม้แต่การ์ดรูปโป๊และการ์ดลามก
ผมออกแบบบัตรอวยพรมากมาย นำไปเสนอขายที่บริษัทหลายแห่ง ครั้งหนึ่งไปขายแบบที่บริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่ง คนในบริษัทบอกว่า "แบบการ์ดของคุณ whimsical ดีมาก"
ต้องกลับบ้านไปเปิดพจนานุกรม จึงพบว่า whimsical แปลว่าขี้เล่น มีลูกเล่นในทางสนุก หรือดึงดูดใจ
อีกสำนักงานหนึ่งบอกผมว่า "คุณออกแบบได้ดีกว่าเราอีก"
1
บางดีไซน์ฝรั่งดูแล้ว หัวเราะหึๆ บอกว่างานมีอารมณ์ขัน
ฝรั่งพวกนี้ไม่เรื่องมาก ชอบก็บอกชอบ ไม่ชอบก็บอกไม่ชอบ
บริษัทการ์ดแห่งหนึ่งบอกว่ามีงานให้ทำ เอาตัวอย่างมาให้ดู ล้วนเป็นงานสังวาสแบบลามกจกเปรต อยากได้เงินน่ะใช่ แต่งานแบบนี้ทำไปก็เสียประวัติเปล่าๆ
2
ผมนำแบบไปเสนอที่บริษัทหนึ่งแมนฮัตตัน ผมให้งานเป็นตัวขายมันเอง และแปลกใจระคนดีใจที่เขาเลือกซื้อหลายแบบ ให้ผมไปทำแบบสำเร็จสำหรับทำอาร์ตเวิร์ก จ่ายแบบละหนึ่งร้อยเหรียญ
ช่วงนั้นผมขายแบบให้หลายบริษัท ได้รายได้มาพอเลี้ยงตัว ถือว่าประสบความสำเร็จที่ไปเข้าถ้ำเสือถิ่นอาร์ตนิวยอร์กสำเร็จ
ชีวิตดำเนินต่อไป ผมทำงานหลายอย่าง นอกจากออกแบบบัตรอวยพรแล้ว ก็รับจ้างเขียน 'ตีฟอาคาร แต่ยังหมายมั่นลองหางานด้านสถาปนิกต่อไป
1
วันหนึ่งผมแบกกระเป๋า portfolio ไปสมัครงานที่สำนักงานสถาปนิกแห่งหนึ่งในย่านบรูคลิน เมื่อไปถึงพบว่าออฟฟิศนั้นไม่ได้ต้องการสถาปนิก แต่กำลังหาคนที่ช่วยเขียนแบบอาคารหลังหนึ่ง
1
"เราต้องการคนช่วยเขียนแบบแปลนอาคาร เพื่อนำไปทำโบรชัวร์โฆษณา เป็นงานเดียวเลิก"
2
งานเดียวเลิกก็งานเดียวเลิก มีงานดีกว่าไม่มี
ผมฝากกระเป๋าเก็บ portfolio ของผมไว้ที่สำนักงานสถาปนิกแห่งนั้น บอกเขาว่าจะไปรับคืนในวันส่งงาน
ผมตกลงรับทำงานนั้น โดยนำกลับบ้านไปทำอยู่หลายวัน ระดมเพื่อนสถาปนิกไทยสองคนที่นั่นมาช่วย เพื่อให้งานเสร็จทันเวลา
1
เมื่อผมไปส่งงานหลายวันหลัง รับเช็คค่างาน พนักงานคนหนึ่งบอกผมว่าเจ้าของสำนักงานอยากพบตัวผม
ผมงงไปวูบ
ผมถูกพาไปที่ห้องเจ้านายใหญ่ เจ้าของสำนักสถาปนิกเป็นฝรั่งร่างใหญ่ อายุราว 50 เขาบอกผมว่า ได้ถือวิสาสะดูงาน portfolio ของผม ชอบผลงานในสิงคโปร์ของผมมาก และชวนผมไปทำงานด้วย ง่ายๆ เช่นนั้น
2
นี่แสดงว่า portfolio หลายเล่มของผมขายตัวมันเองโดยที่ผมไม่ต้องนำเสนอ
2
ชีวิตก็เป็นเรื่องแปลก หางานแทบตายไม่ได้งาน ไม่ได้หางาน กลับได้งาน
1
ชีวิตบทนี้สอนผมว่า โอกาสเป็นของผู้ที่เตรียมพร้อมเสมอ มีประตูหลายบานในนิวยอร์กรอให้เราไปเปิด
1
ผมเป็น 'กะเหรี่ยง' เพียงคนเดียวในสำนักงานสถาปนิกแห่งนั้น รายได้ชั่วโมงละเก้าเหรียญในยุค '80s ถือว่าดีมากสำหรับคนต่างชาติที่ไม่มีเส้นสาย
ผมรู้สึกว่าท้องฟ้าสว่างกว่าเดิม
หน้าที่ของผมคือออกแบบอาคาร ทั้งอาคารและตกแต่งภายใน และรับเหมางานกราฟิกกับงานเขียนภาพ'ตีฟที่ถนัด
ในเมื่อมันเป็นงานประจำ ผมก็มีรายได้พออยู่ต่อไปได้
1
แต่ในเมื่องานประจำกินเวลาทั้งวัน ผมก็เหลือทางเดียวหากยังจะเรียนต่อคือ เรียนภาคค่ำ
1
ตั้งแต่นั้นผมใช้เวลากลางวันทำงาน กลางคืนเรียนหนังสือ
3
(อ่านประสบการณ์ชีวิตในอเมริกาต่อสัปดาห์หน้า)
โฆษณา