27 ม.ค. 2023 เวลา 11:43 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

ถ้า La la land คือ City of star ที่ต้องไปให้ถึง

Babylon คงเป็นเพียงนครแห่งความฝัน ที่วันหนึ่งก็ถูกลืม
ทันทีที่เพลง Morning เริ่มต้นดังขึ้น
Rhythm ตอนแรกเริ่มของเพลง มันทำให้เรานึกถึงประโยคหนึ่งจาก In the mood for love ที่ว่า
He remembers those vanished year.
As though looking through a duty window pane,
The past is something he could see but not touch.
And everything he sees is blurred and indistinct."
เราว่าสำหรับ Babylon แล้ว
ผู้คนที่โหยหารอยคราบฝุ่นที่เรียกว่า ‘อดีต’
คงไม่ต่างอะไรกับคุณเจ๊า ที่ก้าวพ้นมันไปไม่ได้
The roaring twenties
ยุคเปลี่ยนผ่านจากหนังเงียบสู่หนังมีเสียง
Now Hollywood can speak!
เค้าโครงของเรื่องนี้ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน
เล่ายุค Silent to Takies
แต่ Side story เป็นอะไรที่โคตรแปลก โคตรฉีก
บางฉาก...น้ำตากำลังจะไหล แต่ผู้ กำกับให้น้ำตามันไหลย้อนขึ้นไป ด้วยการตีหัวเปลี่ยนซีน ใช้ดนตรีแบบสนุก
บางฉาก...อยากจะกรีดร้องออกมาดังๆ แต่ทำได้แค่กรี๊ดในใจ (เพราะอายคนอื่น)
ส่วนตัวแล้ว ขอสรุปสั้นๆ ให้หนังเรื่องนี้ว่า
'โศกนาฏกรรมหนังแห่งปี 20's'
เพราะเท่าที่ไปอ่านเพิ่มเติมมา
ช่วงปี 20's - 30's เป็นยุคดูหนังฟังเพลงของอเมริกา
เศรษฐกิจดี ชนชั้นกลางมีรายได้ โรงหนังมากมาย
คนทำหนังการันตีได้เลยว่ามีที่ฉายหนังแน่ๆ
เป็นช่วงที่การเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนไวยิ่งกว่าอากาศ
แน่นอนมันคือโอกาสทองสำหรับดาราบางคน
แต่ก็คือโศกนาฏกรรมหมู่ของดาราบางกลุ่ม
ที่ไม่สามารถจะเปลี่ยนจากสีหน้า ท่าทาง แล้วไปเน้นที่เสียงได้
คุณลองคิดตามว่า...
ผู้คนดูฉาก ดูอารมณ์ ที่สื่อผ่านสีหน้า หรืออุปกรณ์ของนักแสดงมาโดยตลอด
เมื่อหนังเริ่มมีเสียง...
อย่างแรกที่ผู้คนคาดหวังและ focus นั่นจะเป็นอะไรไปมากกว่า 'เสียง'
ดาราที่เสียงทุ่ม แหลม หรือเสียงไม่เพราะ ก็ต้องตายจากไป
อีกฉากหนึ่งที่ชอบมากคือ
ฉากที่ดาราใหญ่อย่างแพรท พิต มาคุยกับคอลัมนิสที่เขียนข่าวของเขา
ถ้าจำไม่ผิด คำพูดของเขาจะประมาณ...
'ยุคสมัยนั้นเปลี่ยนไปแล้ว ไม่นานคุณกับฉันก็ต้องตาย แล้วจะมีคนมาแทนที่คุณกับฉันเสมอ
แต่เราจะมีชีวิตอยู่อีกครั้ง เมื่อผู้คนนำงานของเรามาเปิด คุณจะกลายเป็นนักรบ โจรสลัด ผู้ชายนักรัก คุณจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง'
หวนกลับมาคิด...
นั่นคือความจริงสินะ
เราตายงานยังอยู่
เราตายศิลปะยังอยู่
เราจะมีชีวิตอยู่ในนั้น
นั่นคือความสวยงามของศิลปะสินะ
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด...
ฉากจบที่อยากให้ทุกคนไปดู
ฉากที่พระเอกกำลังร้องไห้ให้กับหนังเสียงในโรง
และผู้กำกับก็นำความหลัง อดีต สี เฉด เหตุการณ์จริง หรือฟุตเทจเอฟเฟ็คที่ทำให้เรานึกถึงหนังบางเรื่อง
มาตัดยำกัน
สุดท้ายพระเอกของเราก็ยิ้มทั้งน้ำตา
ไม่รู้ว่าใครตีความยังไง
แต่เราตีความว่า...
ศิลปะทุกเวลาที่ผ่านมา มันมีความสวยงามในตัวของมันเอง
ตั้งแต่หนังขาวดำ ไม่มีคนพูด มาจนถึงหนังที่มีเสียง หนังที่เริ่มใส่เอฟเฟ็ค เพื่อเพิ่มอรรถรสให้คนดู
มันล้วนสวยงาม
แต่เมื่อเวลาผันผ่าน...
หากเรายังคงไม่กล้าเดินไปตามเวลา
มันก็ไม่ผิดที่เราจะเป็นแบบนั้น เพราะเราไม่ได้รัก และไม่ต้องการเลือกที่จะเดินตามผู้คนอื่นๆ ไปข้างหน้า
และแน่นอนว่าที่ผ่านมา เรานั้นมีความสุขมากๆ แล้ว
หนังเรื่องนี้มีทั้งคนที่เดินไปข้างหน้า และคนที่เลือกจะจมอยู่กับเวลาของเขา
หนังเพื่อคนทำหนัง
And CUT!
We got it
#babylon
โฆษณา