31 ม.ค. 2023 เวลา 06:54 • นิยาย เรื่องสั้น

สามคนผัวเมีย

" เขาย่อมเปรียบเทียบความเมื่อยามรัก
แต่น้ำผักต้มขมชมว่าหวาน
ครั้นจืดจางห่างเหินไปเนิ่นนาน
แต่น้ำตาลก็ว่าเปรี้ยวไม่เหลียวแล "
บทกลอนโดยสุนทรภู่
เมื่อยามรักอะไรก็ดีไปหมด แต่เมื่อหมดรัก ก็ไม่แม้แต่ชายตาแล
เรื่องนี้คือเรื่องจริงของผู้เขียนเอง ผู้เขียนคิดว่า น่าจะพอมีประโยชน์สำหรับคนที่กำลังยื้อ ไม่ยอมปล่อย อาจจะพอได้ประโยชน์และนำไปคิดพิจารณาต่อสถานะที่ตนเองเป็นอยู่ได้
ย้อนไปเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ตอนนั้นเราอยู่เป็นนักศึกษาอยู่ อายุ 18-19 ช่วงวัยรุ่น อะไรก็ช่างสดใสไปหมด หน้าตาผิวพรรณไม่ต้องทาครีมแต่งหน้าอะไรมาก ตื่นเช้ามาก็สวยเลย
แต่เราไม่ใช่คนหน้าตาดีที่จะมีคนมาจีบเยอะแยะ หรือมีตัวเลือกมากมายเหมือนเพื่อนคนอื่น เราอยู่ในกลุ่มเพื่อนๆ ที่สวยๆ ขาวๆ หมวยๆ เราจึงเป็นคนที่ขี้เหร่สุดในกลุ่ม แถมยังเป็นเด็กเนิร์ด ตั้งใจเรียน เลิกเรียนมาก็เข้าห้องสมุด ไม่ได้อ่านหนังสือเรียนหรอกนะ อ่านการ์ตูนซะมากกว่า ตอนนั้นจำได้ว่าติดหนังสือการ์ตูนนักสืบโคนันอย่างหนัก เพื่อนคนอื่นเลิกเรียนเขาจะไปก็เที่ยวกับแฟน ไอ้เราไม่มีแฟน เลิกเรียนมาเวลาเหลือเฟือ ก็ใช้เวลาหมดไปกับการ์ตูนซะเป็นส่วนใหญ่
จนกระทั่งเกือบจะเรียนจบ ปีสุดท้าย มีไอ้หนุ่มหน้ามืดที่ไหนไม่รู้ เข้ามาในชีวิต แต่ก็ต้องบอกว่าเขาคือรักแรก คือจุดเปลี่ยนในชีวิต ขอใช้นามสมมุติว่าพี่บอย
ถึงจะหน้ามืดมาจีบเรา ก็โปรไฟล์ก็ดีไม่เบา เป็นหนุ่ม มหาลัยชื่อดัง สาขาวิศวะกรรมศาสตร์ซะด้วย เพื่อนในกลุ่มต่างพากันอิจฉาและแปลกใจ ว่าทำไมคนขี้เหร่สุดในกลุ่มกลับได้ของดีขนาดนี้ เวลาพี่เขามารับตอนเลิกเรียน เรียกได้ว่าอวดใครต่อใครได้ หน้าตาพี่เขาก็หล่อเหลาเอาการ แถมบ้านรวย นามสกุลดัง อีกต่างหาก
ส่วนพื้นฐานครอบครัวเรานั้น ไม่ค่อยจะสมบูรณ์อยู่แล้ว ขาดทั้งความรักและปัจจัย พ่อแม่ทะเลาะกันให้เห็นกันตั้งแต่เด็กยันโต ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องเงินๆ ทองๆ หลายครั้งที่ทางบ้านประสบปัญหาทางด้านการเงิน เราเห็นแม่ต้องไปกู้เงินนอกระบบประจำ เพื่อมาหมุนเวียนในครอบครัว
พ่อเองบางทีก็เมาหาเรื่องอาละวาดอยู่เป็นประจำ ทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลงไปอีก ลึกๆ แล้วจะเรียกว่าเราเป็นคนขาดความรักก็ได้ เพราะหาความรักจากครอบครัวไม่เจอ แค่แม่ทำงานหาเงินมาจ่ายค่าเทอมก็ลำบากแล้ว เสาร์ อาทิตย์ แม่ไม่เคยได้หยุด ต้องทำ OT วันหยุดยาวก็ไม่เคยได้ไปเที่ยวไหน เพราะไม่มีเงิน
แต่พอวันนึงพี่บอยเข้ามาในชีวิต หน้าตาดี แถมมีเงิน เขาจึงเป้น "ตัวช่วย" ชั้นดีให้เราและครอบครัว พาไปกินอาหารดีๆ อาหารที่เราไม่เคยกินมาก่อน ยอมรับตามตรงว่ากิน MK ครั้งแรก ก็เพราะพี่บอยพาไปกิน กินฟูจิครั้งแรกก็เพราะเขา ได้เที่ยวได้ดูหนังได้ใช้ของดีๆ ก็เพราะพี่บอย ประกอบกับนี่คือรักแรก พี่บอยจึงเป็นเหมือนเทวดามาโปรด เปลี่ยนความทุกข์ให้กลายเป็นสุขได้
ตอนนั้นคิดว่าทำไมเราโชคดีแบบนี้เหมือนซื้อหวยครั้งแรกก็ได้รางวัลที่ 1 เลย ตอนนี้นคิดแบบนี้จริงๆ
เขาเป็นมากกว่าแฟน เป็นเหมือนพี่ เหมือนพ่อ เหมือนที่พึ่ง เขาเป็นทุกอย่างในชีวิต เพราะไม่ค่อยได้รับความรักจากครอบครัวนัก พอได้รับความรักจากคนรักก็เลยรักสุดตัว รักสุดใจ ไม่เหลือเนื้อที่สำหรับความผิดหวัง ซึ่งอันตรายมาก
อาจเพราะตอนนั้นยังเด็กนัก ประสบการณ์ความรักยังไม่มี และคิดไปไกลว่าเขานี่แหละ จะเป็นรักแรกและรักเดียวตลอดไป จะแต่งงานมีครอบครัวที่อบอุ่น มีลูกที่น่ารัก ความรักของเรานั้นจะนิรันดร์ดร มีความสุขนิรันดร์ เหมือนในหนังในละคร
แต่สัจจะธรรมก็คือสัจจธรรม ทุกอย่างต้องเกิดขึ้น ตั้งอยู่สักพัก และดับไปในที่สุด จนเมื่ออาถรรพ์เลข 7 มาเยือน อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับชีวิตของใครหลายๆ คน ทุกๆ 7 ปี ชีวิตจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่ง และเรื่องราวความรักของเราก็เช่นกัน ตลอดระยะเวลาของการคบกันมา เราไม่เคยคิดเลยว่าพี่บอยจะนอกใจ
จนกระทั่งมาเจอภาพในคอมพิวเตอร์ที่มีผู้หญิงมานั่งตักเขา ตอนนั้นก็ช็อคไปเหมือนกัน ถามเขาทั้งน้ำตาว่าทำไมนังนี่มานั่งตักพี่ได้ เขาทำหน้าตาปกติ บอกว่าไปสัมมนา และเล่นเกมส์เก้าอี้ดนตรี มันเป็นจังหวะที่ผู้หญิงมานั่งเก้าอี้เดียวกันพอดี และดันถ่ายติดมา แต่เราดูไปดูมา ไม่เหมือนการเล่นเกมส์เลย เล่นเกมส์อะไร มือพี่บอยไปโอบเอวฝ่ายหญิงด้วย แต่เราก็เชื่อพี่บอย จะเป็นด้วยความไว้ใจมาก หรือโง่มากก็ไม่รู้
แต่ความลับไม่มีในโลก ใครทำสิ่งใดไว้ ไม่ว่าดีหรือชั่ว สักวันต้องเผยออกมาแน่นอน วันหนึ่งเราไปหาพี่บอยที่คอนโด ไปหาโดยไม่บอกล่วงหน้า ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ แต่วันนี้เคาะประตูอยู่นาน นานจนเรารู้สึกผิดปกติ พอพี่บอยแง้มประตูมา หางตาเราก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงนั่งอยู่ในห้อง
ใจตกวูบไปที่ตาตุ่ม มันช็อค พูดอะไรไม่ออก มันจุกอกไปหมด พี่บอยไม่ให้เราเข้าห้อง ให้เราออกไปคุยข้างล่าง เรื่องอะไรเราจะยอม ห้องนี้เราเคยมา เราเคยอยู่ เตียงนี้เราเคยนอน โซฟานี้เราเคยนั่ง จู่ๆ จะให้ใครที่ไหนไม่รู้เข้ามาในห้อง ที่เสมือนเคยเป็นที่ของเรา แม่ก็วีนแตกตรงนั้นเลย !!!
เราโวยวายอย่างหนักจนห้องอื่นต่างพากันเปิดประตูมาดูผัวเมียคู่นี้ทะเลาะกัน และสักพักผู้หญิงคนนี้ก็ออกมาจากห้อง มาคุยกันข้างนอก ใจเราก็นึกว่า "อี่นี่ก็กล้าดีนะ เดี๋ยวแม่ก็ตบให้หรอก"
เราถามพี่บอยตรงๆ ว่าจะเลือกใคร ผู้ชายก็คือผู้ชาย มันบอกมันจะเลือกเราแต่พฤติกรรมมันไม่ใช่เลย วันนั้นจบลงด้วยความร้าวฉาน พี่บอยติดต่อเรากลับมา บอกขอโทษขอโพย ให้ฟ้าดินลงโทษต่างๆ นานา และบอกให้เรารอ
เขาพยายามจะเลิกกับฝ่ายนั้น เขาไม่ได้รักฝ่ายนั้นแต่เขาพลาดไปแล้ว ได้โปรดให้อภัย เพราะฝ่ายนั้นมีผลต่อหน้าที่การงานของ ถ้าหักด้ามพล้าด้วยเข่าตอนนี้ หน้าที่การงานคงเละ พี่กำลังไปได้ดีในอาชีพ ขอให้เราอดทนและรอคอยวันที่เขาจะเป็นอิสระจากฝ่ายนั้น
สถานการณ์ของเราไม่ต่างจากหมาที่เจ้าของวางเหยื่อล่อ หมาก้มลงกินเหยื่อนั้นและเจ้าของก็ค่อยๆ ย่องหนีไป !!!
ทุกคำพูดของพี่บอย คือให้เราอดทน รอคอย พอพี่เลิกกับฝ่ายนั้นได้ เราสองคนจะได้แต่งงานกัน อย่างไรพี่ก็เลือกเราอยู่แล้ว เพียงเพราะคำพูดในลักษณะ "เหยื่อล่อ" เช่นนี้ ที่ทำให้เราต้องฝืนจำทนให้เขาไปเจออีกฝ่าย
วันไหนที่พี่บอยพาผู้หญิงคนนั้นมาคอนโด เราก็ต้องออกไปเสมือนว่าเราไม่เคยมีตัวตนทั้งที่รู้ว่า มันจะต้องมานอนบนเตียงที่เราเคยนอน ช่างเป็นความรู้สึกที่แสนจะทรมาน
วันไหนที่ฝ่ายหญิงจะมาคอนโดพี่บอย เราเจ็บหัวใจ ตั้งแต่เช้ายันค่ำ ไม่รู้จะไปไหน เลยหันไปพึ่งวัด ตอนนั้นยังไม่รู้จักพระพุทธศาสนาเท่าปัจจุบัน ยังไม่รู้คำสอนของพระพุทธเจ้า ยังไม่เข้าใจความหมายของศีล 5 ด้วยซ้ำ ว่าหมายความว่าอะไร ทำไมต้องห้ามกินเหล้า ถ้ากินแล้วไม่ได้ไปเมาอาละวาดใครก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่ จะจิบเบียร์สัก 2 กระป๋อง เงินก็เงินเราจะผิดบาปอะไรกันหนักหนา ตอนนั้นไม่เข้าใจจริงๆ
ตอนนั้นไปวัดไปสวดมนต์เพราะเข้าใจว่า สวดมนต์แล้วจะล้างซวยได้ คิดว่าการสวดมนต์ หรือการทำสังฆทาน ปล่อยนกปล่อยปลา เหมือนเป็นไม้กายสิทธิ์ สวดครั้งเดียวแล้วเสกปิ๊ง ทุกอย่างดีขึ้นเลย
ฝ่ายชายยังคงพูดพล่ามให้ความหวังตลอดเวลา ว่าสักวัน แต่วันนั้นไม่เคยมีอยู่จริง
หลายเดือนต่อมาเราก็เริ่มทวงสัญญาว่าไหนล่ะ ไหนจะเลิกกับนังนั่น และนับวันยิ่งหนักข้อขึ้นทุกวัน จากที่นังนั่นต้องมาคอนโดอาทิตย์และ 2 วัน กลายเป็น 4-5 วัน แทบจะแทนที่เราอยู่แล้ว !!!
ผู้ชายบทจะรักเรา มันก็ทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้เราเป็นแฟน แต่พอมันหมดรัก มันก็ทำทุกอย่าง เพื่อถีบหัวส่งเราเช่นกัน !!!
เมื่อเราเริ่มทวงสัญญาหนักขึ้น พี่บอยเลยตอบแบบเห็นแก่ตัวว่า " ก็กำลังทำอยู่ แต่ถ้าอดทนรอไม่ได้ อยากจะเลิกไปก่อนก็ได้นะ " เป็นคำพูดที่เลวจริงๆ ถ้าเรายอมเลิกไปก็แสดงว่า ก็นี่ไงเธอไม่อดทนเอง กลายเป็นความผิดของเราอีก
เรายื้อสถานการณ์ 3 คนผัวเมียแบบนี้มานานถึงครึ่งปี ในที่สุดความอดทนก็หมดสิ้นลง เพราะตลอดระยะเวลา เรารู้ตัวแล้วว่าเขาหมดรักเราจริง ๆ รู้ตัวแล้ว ว่านี่ไม่ใช่ที่ของเรา รู้ตัวแล้วว่าเราควรออกมาจากสถานภาพแบบนี้ เพราะยิ่งอยู่ ยิ่งทุกข์ใจ
แต่ไม่ใช่ว่ารู้ทุกอย่าง แล้วจะทำได้ทุกอย่างเมื่อไร เราเจ็บแทบตาย ร้องไห้ตาบวมไปทำงานทุกวัน อยู่กับคำถามที่ว่า เราทำผิดอะไร ทำไมหมดรักเรา อยู่กับความหมดศรัทธาในตัวเอง ว่าเราคงไม่คู่ควรกับความรักอีกแล้ว
ใช้เวลาเป็นปีกว่าที่ทุกอย่างจะดีขึ้น กว่าจะกลับมาศรัทธาตัวเองได้อีกครั้ง
เมื่อมาคิดพิจารณาย้อนหลังถืงเรื่องราวนี้ทำให้พบว่า ในทางโลกแล้วเวลารักใคร เผื่อใจไว้รักตัวเองด้วย เผื่อใจไว้สำหรับความผิดหวังบ้าง เขาไม่ใช่ที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยว
' อย่าให้ใครมาเป็นทั้งหมดของชีวิต '
ส่วนในทางธรรมนั้น ทั้งเขาและเราต่างอยู่ในไตรลักษณ์ ความรักก็อยู่ในไตรลักษณ์
คือ อนิจจัง ความไม่เที่ยง ไม่คงทนไม่ยั่งยืน มีภาวะที่เกิดขึ้นและต้องเสื่อมไปเป็นธรรมดา ต่อให้รักกันแค่ไหน สักวันต้องจากกัน ไม่ว่าจากเป็นหรือจากตาย
เป็นทุกข์ขัง คือ ความทุกข์ ความรักก็เป็นความทุกข์ในตัวของมันเองอยู่แล้ว เมื่อยังรักกันชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ แต่เมื่อไหร่มีสภาพที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เมื่อนั้นย่อมก่อให้เกิดความทุกข์มาให้
และสุดท้ายเป็นอนัตตา คือไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของเรา ไม่ได้อยู่ในอำนาจควบคุมของใคร เมื่อเขาหมดใจ คือหมดใจ จะไปบังคับควบคุมให้กลับมารักก็ไม่ได้ ไม่รักก็คือไม่รัก
บทสรุปสุดท้ายของความรักครั้งนี้คือจบ แยกทางกันไปแบบบาดหมาง มองหน้ากันไม่ติด ต่อให้กลับมาเจอกันอีกที ต่อให้เคยรักกันแค่ไหน ก็คงกระอักกระอ่วน เห็นได้ชัดว่า ทุกอย่างไม่แน่นอนเลย เคยรักกันปานจะกลืนแทบจะกรีดเลือดสาบาน แต่สุดท้ายทุกอย่างก็อยู่ ใต้กฎไตรลักษณ์ทั้งนั้น
1
ขอให้ผู้อ่านรักอย่างมีสติ รักอย่างเมตตา รักอย่างปรารถนาดี รักให้เป็น เมื่อวันใด กฎไตรลักษณ์เริ่มทำงาน เราจะคลายทุกข์ได้ มีสติ ไม่โกรธเกลียดแก้แค้นให้เป็นที่ก่อเวรสร้างกรรมกันต่อไปอีก
#ความรัก
โฆษณา