5 ก.พ. 2023 เวลา 01:41 • นิยาย เรื่องสั้น

เรื่องเล่าสยองขวัญเรื่องที่ 5 งานศพคนเล่นของ

สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะมาเล่าประสบการณ์หลอนที่เจอมากับตัวแบบสดๆร้อนๆเลย เราขอตั้งชื่อเรื่องว่างานศพคนเล่นของ
เหตุการณ์มันมีอยู่ว่าเมื่อวานตอนช่วงบ่ายฉันกำลังนั่งเล่นเกมอยู่บนเปล จู่ๆแม่ของฉันก็เดินมาบอกว่า
“ไปป์ ไปส่งแม่ที่งานศพหน่อย”
ฉันที่กำลังเล่นเกมอยู่นั้นก็เงยหน้าขึ้นไปมองผู้เป็นแม่ที่ตอนนี้เขาใส่ชุดสีดำเตรียมตัวพร้อมแล้ว
“งานศพใครล่ะแม่”
“ก็งานศพลูกป้าเพ็ญไง จำไม่ได้หรอ”
ฉันถึงกับวางโทรศัพท์ปั้นคิ้วขมวดด้วยความงง ป้าเพ็ญไหนวะเนี่ย บอกตามตรงเลยนะว่าชื่อนี้ไม่เคยอยู่ในหัวสมองเลยหรืออาจจะเคยเจอแต่ฉันจำไม่ได้ ฉันได้แต่ไหวไหล่เล็กน้อยปัดความคิดเรื่องนั้นทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเดินไปเปลี่ยนชุดเป็นโทนสีดำแล้วก็สตาร์ทรถออกจากบ้านไป
ใช้เวลาสิบนาทีในการเดินทาง เมื่อถึงที่หมายเราก็ทำการวนหาที่จอดแต่เนื่องจากคนมางานเยอะมากเราเลยต้องมาจอตามริมถนนแทน เมื่อจอดรถเสร็จเราก็เดินตามผู้ใหญ่เข้างานไป ทันทีที่เข้ามาในงานฉันใช้สายตากวาดมองบรรยากาศรอบๆ แขกในงานมีมากหน้าหลายตาตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงคนแก่เลย ถ้าให้เดานะคนที่เสียชีวิตก็คงจะเป็นคนรู้จักของคนแถวนี้เป็นอย่างดีนั่นแหละ
ขณะที่ฉันมองบรรยากาศรอบๆอยู่นั้นป้าของฉันที่มาด้วยกันก็สะกิดให้ฉันหันไปไหว้ผู้ใหญ่ ฉันที่กำลังเหม่อก็หันมาด้วยอาการงงๆก่อนจะยกมือไหว้สวัสดีผู้ใหญ่
“นี่ไอ้ไปป์ลูกสาวฉัน ส่วนนี่ป้าเพ็ญกับย่าแดง”
แม่แนะนำฉันให้กับป้าเพ็ญกับย่าแดง ย่าแดงยกมือรับไหว้ฉันก่อนจะยกยิ้มให้เล็กน้อยตามมารยาทต่างกับป้าเพ็ญที่ยืนก้มหน้านิ่งไม่ไหวติง ในขณะที่ฉันยืนฟังพวกผู้ใหญ่คุยกันฉันก็สังเกตได้ว่าป้าเพ็ญแกมีสีหน้าอิดโรยมาก ผิวคล้ำหน้าซีดเหมือนกับคนป่วยยังไงอย่างนั้นเลย แถมยังยืนนิ่งไม่พูดไม่จากับใคร ใครถามอะไรแกแกก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเดียวก่อนจะเดินออกจากวงสนทนาไปอย่างดื้อๆเลย
“พี่เพ็ญแกคงเสียใจหนักเลยนะ ดูสิ มาเสียลูกในวันเกิดตัวเองอีก เฮ้อ ฉันล่ะสงสารแกจริงๆ”
น้าของฉันพูดพร้อมกับส่ายหัวเล็กน้อย ฉันที่ปั้นคิ้วขมวดมองตามแผ่นหลังของแกที่เดินหายขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านด้วยความรู้สึกแปลกๆแต่ไม่นานก็สลัดความคิดพวกนั้นไป ก็อย่างที่น้าพูดนั่นแหละ ป้าเพ็ญคงจะเสียใจมากที่เสียลูกสาวคงไม่แปลกที่แกจะมีอาการแบบนั้น
หลังจากพูดคุยกับย่าแดงเสร็จแกก็ให้หลานมาพาพวกเราไปที่โต๊ะก่อนที่พวกผู้ใหญ่จะพากันขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านเพื่อไปไหว้ศพลูกป้าเพ็ญ ส่วนฉันไม่ได้ขึ้นไปกับเขาเนื่องจากขี้เกียจขึ้นไปบวกกับเฝ้าของด้วยเลยขอเลือกที่จะนั่งรอที่โต๊ะดีกว่า
ไม่นานพวกผู้ใหญ่ก็ลงมาเป็นเวลาเดียวกันกับที่พระเริ่มสวด จากที่บรรยากาศในงานมีแต่เสียงพูดคุยก็เริ่มสงบ เวลาผ่านไปสักพักใหญ่หลังจากที่พระสวดเสร็จรอบแรกทางเจ้าภาพก็ได้ทำการเสริฟอาหารให้ทานก่อน
ฉันที่นั่งเล่นมือถือหลังจากทานอาหารเสร็จจู่ๆก็เกิดปวดห้องน้ำขึ้นมา เลยหันไปบอกแม่ที่นั่งข้างๆว่า
“แม่ ห้องน้ำอยู่ไหนอ่ะ หนูปวดฉี่”
แม่ฉันเงยหน้าจากจานอาหารก่อนจะชี้ไปทางข้างบ้านฝั่งซ้ายมือ
“อยู่ตรงข้างบ้านนู้นน่ะ เดินไปก็เจอ”
พอรู้ตำแหน่งฉันก็ลุกจากโต๊ะตรงไปยังห้องน้ำทันที เมื่อมาถึงฉันก็ยืนรอที่หน้าห้องน้ำ ขณะที่รอคิวสายตาก็กวาดมองไปรอบๆจนไปหยุดที่ใต้ถุนบ้านด้านหลังจู่ๆก็เห็นอะไรบางอย่างสีดำรูปร่างคล้ายคนเดินไปที่ด้านหลังบ้าน ฉันที่เกือบกำลังจะเดินไปดูแต่ต้องชะงักเพราะดันมีคนเรียกพอดี ซึ่งก็คือคนที่ออกมาจากห้องน้ำนั่นแหละ ฉันเลยปัดความคิดที่จะเดินไปดูเงาดำนั่นทิ้งไปเข้าห้องน้ำแทน
หลังจากทำกิจเสร็จฉันก็กลับมานั่งที่โต๊ะตามเดิมเป็นเวลาเดียวกับที่พระเริ่มสวดรอบสอง ระหว่างที่พระสวดอยู่นั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นป้าเพ็ญที่นั่งอยู่บนชั้นสองของบ้าน แม้จะเห็นไม่ชัดมากแต่ก็เห็นได้ว่าป้าศรแกนั่งนิ่งก้มหน้าไม่ไหว้พระเหมือนคนอื่นๆเลย ก็พอเข้าใจอยู่หรอกว่าแกอาจจะเสียใจที่ลูกเสียแต่คนเราจะเสียใจขนาดที่จะไม่ไหว้พระหรือนิ่งจนไม่คุยกับใครเลยหรอ แต่ก็นั่นแหละสุดท้ายฉันก็ได้แต่คิดบางทีการที่แกเป็นแบบนั้นอาจจะเป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อการสูญเสียที่ฉันเคยอ่านในอินเตอร์เน็ตก็เป็นได้
เมื่อพระสวดเสร็จก็ได้เวลางานเลิกแต่แน่นอนว่าก็มีคนบางส่วนที่เลือกจะยังไม่กลับ ระหว่างรอพวกผู้ใหญ่ที่ไปคุยกับญาติย่าแดงฉันหันไปมองท้องฟ้าด้านนอกเต้นที่ตอนนี้เป็นจากสีฟ้าเป็นสีดำแล้ว ฉันนั่งเล่นมือถือรอเวลาจนยายเดินมาหาฉันและพูดว่า
“ไปป์ไปไหว้พี่เขาก่อนไปลูก”
ฉันเงยหน้าจากมือถือก่อนจะย้อนถามยายด้วยความงง
“พี่ไหนอ่ะยาย”
“ก็พี่ศรไง ลูกป้าเพ็ญน่ะ ไปๆไหว้พี่เขาก่อนไป”
สุดท้ายฉันก็ต้องขึ้นไหว้ตามของสั่งของยายทั้งที่ตอนแรกกะจะไม่ไปด้วยซ้ำ แต่เอาเถอะ มันคงไม่มีอะไรหรอกก็แค่ไหว้ศพก็แค่นั้นเอง
ฉันเดินขึ้นไปบนชั้นของบ้านพลางใช้สายตากวาดมองไปรอบๆ ฝั่งซ้ายมือเป็นกลุ่มวัยรุ่นที่นั่งจับกลุ่มกันคาดว่าน่าจะเป็นเพื่อนของพี่ศร ส่วนฝั่งขวาเป็นผู้ใหญ่สองสามคนคาดว่าน่าจะเป็นญาติ
ฉันคุกเข่าลงตรงพื้นสำหรับไหว้ศพก่อนที่หนึ่งในเพื่อนของพี่ศรจะยื่นธูปมาให้ฉันหนึ่งดอก ฉันรับธูปมาเอาไว้ในมือก่อนจะทำการไหว้ ด้วยความที่ไม่รู้จะพูดอะไรฉันก็เลยแค่บอกในใจไปว่า
‘ฉันเป็นหลานยายจิมนะ ไม่รู้ว่าพี่จะรู้จักฉันมั้ยแต่ก็มาหาแล้วนะ’
พอเอ่ยในใจเสร็จฉันก็ทำการปักธูปลงที่กระถางธูปตรงหน้า ทันใดนั้นเองยังไม่ทันที่ฉันจะได้ยกมือออกจู่ๆก็มีเสียงกรี๊ดดังขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ฉันหันไปมองต้นเสียงพบว่าคนที่กรี๊ดเป็นหนึ่งในเพื่อนของพี่ศรซึ่งเราขอเรียกว่าบีละกัน และที่สำคัญตอนนี้เหมือนเธอจะสติแตกด้วย
คนรอบข้างเริ่มตกตื่นก่อนจะกรูกันเข้าไปช่วยกันจับพี่บีที่กำลังกรีดร้องออกมาอย่างทุรนทุราย
ในขณะที่ฉันกำลังทั้งตกใจกับสถานการณ์ตรงหน้าก็เหมือนเห็นอะไรแวบๆเยื้องไปทางด้านหลังโลงศพ ฉันค่อยๆหันไปมองอย่างช้าๆภาพที่เห็นตรงหน้าทำเอาฉันช็อคจนพูดไม่ออก เพราะมันคือภาพของป้าเพ็ญที่ผูกคอกับคานบ้านใบหน้าซีดลิ้นจุกปากดวงตาถลนแดงก่ำกำลังจ้องมองไปที่โลงศพตรงหน้า
วินาทีนั้นฉันตกใจจนร้องออกมาสุดเสียงจนคนที่อยู่แถวนั้นหันมามองกันเป็นตาเดียว ฉันหันไปบอกคุณลุงคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆด้วยน้ำเสียงสั่นพร้อมกับชี้ไปที่ร่างของป้าเพ็ญ
“ป้าเพ็ญผูกคออยู่ตรงนั้น”
ทันทีที่ลุงคนนั้นเห็นร่างของป้าเพ็ญเขาก็รีบหันไปบอกคนอื่นๆให้มาช่วยพาร่างของป้าเพ็ญลงมาที่พื้นทันที อีกด้านหนึ่งในขณะที่ฝั่งทางนี้กำลังนำร่างของป้าเพ็ญลงมาและกำลังทำการพยายามจะช่วยเหลือ จู่ๆพี่บีที่ก่อนหน้านี้เธอถูกจับเอาไว้เกิดหลุดออกจากการจับกุมก่อนจะพุ่งใส่จุดที่ตั้งโลงศพจนศพของพี่ศรกลิ้งลงออกมาจากโรงเลย
และแน่นอนว่ามันไม่ได้จบแต่เพียงแค่นั้นเพราะศพของพี่ศรที่กลิ้งหลุนๆลงมาที่พื้นกลับหันหน้ามาและกำลังลืมตามองมาทางฉันอีกด้วย ในวินาทีที่ฉันสบตานั่นขนทั้งตัวก็ลุกชันแขนขาอ่อนแรงจนถึงกับทรุดไปที่พื้นเลย พวกผู้ใหญ่คนอื่นๆที่เห็นเหตุการณ์ก็รีบมาช่วยกันจับพี่บีที่กำลังอาละวาดก่อนจะมีลุงคนหนึ่งเอาสร้อยพระใส่ที่คอเธอจนเธอกรีดร้องออกมาอย่างทุรนทุรายก่อนจะสลบไป
เหมือนว่าเหตุการณ์จะเริ่มสงบลงแล้วทุกคนที่อยู่ชั้นด้านล่างก็ทยอยกันขึ้นมาดูรวมถึงย่าแดงและญาติของฉันด้วย ย่าแดงเดินตรงมาที่ฉันก่อนจะถามถึงเหตุการณ์ตรงหน้า
“หนูลูก มันเกิดอะไรขึ้น”
มือสั่นๆของย่าแดงจับมาที่แขน ฉันหันไปมองย่าแดงสลับกับมองภาพความชุลมุนตรงหน้า ในตอนนั้นฉันหัวตื้อไปหมดฉันไม่รู้ว่าควรจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้แกฟังดีมั้ย บอกตามตรงว่าแอบห่วงแกนะแต่สุดท้ายยังไงแกก็ต้องรู้แหละ ฉันสูดหายใจลึกก่อนจะหันไปเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้ย่าแดงฟัง ทันทีที่ฉันจบเล่าจบก็เป็นไปตามคาด ย่าแดงที่ได้ฟังถึงร้องไห้เป็นลมล้มพับไปในทันที พวกเราจึงต้องพาย่าแดงไปนอนพักตรงที่โปร่งโล่งก่อนจะช่วยกันปฐมพยาบาลแก
ระหว่างที่ฉันอุ้มย่าแดงมานอนพักจู่ๆคุณลุงคนหนึ่งก็เดินมาหาพวกเราก่อนจะเดินมาคุยกับพวกเราที่กำลังดูแลย่าแดงอยู่ ซึ่งถ้าให้เดาคาดว่าเขาน่าจะเป็นญาติของพี่ศรนั่นแหละ ป้าของฉันเอ่ยถามถึงเหตุการณ์ทั้งหมดกับคุณลุงด้วยความสงสัย
“พี่แอ๊ด สรุปมันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
ลุงแอ๊ดถึงกับคิ้วขมวดส่ายหัวพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ก็ไม่รู้สิ มันอธิบายยากนะ แต่ฉันก็คิดว่ามันน่าจะเป็นฝีมือของไอ้ศรนั่นแหละ เพราะถ้าไม่ใช่มันก็ไม่รู้จะเป็นใครแล้ว”
คำตอบของลุงแอ๊ดทำเอาฉันถึงกับงงเลยทีเดียว ก็พี่ศรเขาตายไปแล้วไม่ใช่หรอ แล้วจะเป็นฝีมือของพี่ศรได้ยังไง ฉันคิดแล้วคิดอีกจนปวดหัวถึงแม้จะสงสัยมากขนาดไหนแต่ก็ไม่ได้ออกความเห็นอะไรออกไปก็ได้แต่ยืนฟังพวกผู้ใหญ่เขาคุยกันอย่างเงียบๆนั่นแหละ
ในขณะเดียวกันขณะที่ฉันกำลังยืนฟังพวกผู้ใหญ่คุยกันอยู่นั้นจู่ๆสายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่ด้านข้างโลงศพ ฉันหรี่ตามองพยายามเพ่งสายตาภาพของพี่ศรกำลังร้องไห้นั่งคุกเข่าร้องไห้ ฉันที่เห็นดังนั้นและกำลังจะเดินเข้าไปแต่ก็ต้องชะงักเมื่อจู่ๆก็มีชายปริศนาร่างใหญ่ในชุดสีดำปรากฎกายขึ้นข้างๆก่อนที่ชายคนนั้นจะเอื้อมมือมาจิกหัวของพี่ศรลากเธอหายวับไปกับตาเลย
ฉันที่เห็นแบบนั้นถึงกับช็อคยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก บอกตามตรงว่าฉันไม่ใช่คนกลัวผีนะแต่พอมาเจอแบบนี้จริงๆมันก็ไม่ไหวเหมือนกัน
“ย่าแดงฟื้นแล้ว”
เสียงตะโกนของใครบางคนทำฉันหลุดออกจากภวังค์ ฉันหันไปมองย่าแดงที่พึ่งฟื้นก่อนที่แกจะร้องไห้โฮออกมาพร้อมกับเอาแต่พร่ำเพ้อถึงพี่ศรกับป้าเพ็ญราวกับคนสติแตก คนรอบข้างก็ได้แต่ช่วยกันคอยปลอบแกคอยพูดให้แกดีขึ้นแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น
ย่าแดงพยุงตัวเองลุกขึ้นเดินตรงไปยังร่างของป้าเพ็ญโดยมีแม่ของฉันคอยพยุง แกนั่งลงตรงข้างร่างไร้วิญญาณของป้าเพ็ญพร้อมกับร้องห่มร้องไห้ออกมาพร้อมกับพร่ำเพ้อจนฟังไม่ได้ศัพท์ ฉันที่ยืนมองอยู่ห่างๆก็เริ่มสงสารแกที่เสียหลานไม่พอยังต้องมาเสียลูกในวันงานอีกสภาพจิตใจแกคงแหลกสลายน่าดู
ฉันเหลือบมองไปที่โลงศพภาพแฟลชแบคของพี่ศรกับชายร่างใหญ่คนนั้นเมื่อกี้ก็เข้ามาในหัว ฉันคิดว่าเรื่องนี้มันต้องมีเงื่อนงำแน่ๆเพราะดูจากอะไรหลายๆอย่างแล้วแม้มันจะดูไม่น่าเชื่อแต่ฉันก็คิดว่านี่น่าจะเป็นฝีมือของชายร่างใหญ่คนนั้นแน่ๆ
ฉันเดินไปหาลุงแอ๊ดก่อนจะเล่าในสิ่งที่เห็นให้แกฟังทันทีที่เล่าจบนั้นลุงแอ๊ดก็ถึงกับตกใจทันที แกหันไปบอกกับป้าลุงอีกคนหนึ่งซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นญาติอีกคนก่อนที่ลุงคนนั้นจะโทรหาใครบางคนให้มาที่นี่
รอไม่นานใครคนนั้นที่ว่าก็มาถึง ชายนุ่งขาวอายุราวห้าสิบถึงหกสิบสะพายย่ามพร้อมกับลูกน้องสองคนคาดว่าน่าจะเป็นหมอผี ทันทีที่หมอผีขึ้นมาบนชั้นสองเขากวาดสายตามองอยู่ครู่ก่อนจะเดินตรงไปที่หน้าโลงศพของพี่ศรพร้อมกับพูดประโยคหนึ่งขึ้นมาทันที
“เด็กคนนี้ไปทำอะไรไว้เนี่ยมันถึงตามมาเอาชีวิตคนในบ้าน”
ประโยคของหมอผีทำทุกคนถึงกับงงงวยทันที ย่าแดงที่เหมือนเริ่มจะดีขึ้นแกเดินเข้ามาหาหมอผีก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงสั่น
“พ่อหมอ มันนี่คือใครรึ ทำไมมันถึงต้องเอาชีวิตลูกหลานฉันด้วย”
พ่อหมอหันมาหาย่าแดงก่อนอธิบายคร่าวๆให้แกฟัง
“ก็หลานแกน่ะ ไปทำอะไรไม่ดีกับคนอื่นไว้น่ะสิเลยโดนตามเอาชีวิต แล้วตอนนี้เหมือนมันจะโกรธมากด้วยเลยมาเอาคนในบ้านแกไปอีก”
ทันทีที่ย่าแดงได้ยินดังนั้นแกก็ถึงกับช็อคจนเกือบจะเป็นลมจนคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆต้องรีบเข้าไปพยุงแกมานั่งพักก่อนที่จะแกจะแย่ไปกว่านี้
ในขณะเดียวกันหมอผีก็กวาดสายตามองไปรอบๆก่อนจะไปหยุดที่กลุ่มเพื่อนของพี่ศร หมอผีเดินตรงไปที่กลุ่มของพวกเขาก่อนจะไปหยุดตรงหน้าพี่บีก่อนจะจ้องมองไปที่เธอและถามเธอออกมาประโยคหนึ่ง
“เธอรู้ใช่มั้ยว่าเด็กคนนั้นไปทำอะไรมา”
“หนูไม่รู้ หนูไม่รู้จริงๆ”
พี่บีส่ายหัวรัวๆแถมยังก้มหน้าก้มตาไม่ยอมสบตากับหมอผีเหมือนท่าทีของเธอในตอนนี้คนกลัวอะไรสักอย่างเลย ลุงแอ๊ดที่ยืนดูห่างๆก็เดินเข้าไปสมทบกับหมอผีก่อนจะถามเธอด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ไม่ใช่ว่าหนูรู้แต่หนูไม่กล้าพูดหรอ พูดออกมาเถอะ จะได้ช่วยให้ศรไปสบายและไม่ทุกข์ทรมานด้วย”
“หนูบอกไปแล้วไงว่าไม่รู้เรื่อง ทำไมต้องมาถามหนูคนเดียวด้วยล่ะ”
พี่บีเริ่มตะคอกพร้อมกับทำสีหน้าไม่พอใจจนทำให้บรรยากาศรอบๆเริ่มตึงเครียด ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์เริ่มหันมาซุบซิบกัน ย่าแดงค่อยๆเดินเข้าไปหาพี่บีก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสั่นว่า
“หนูเป็นเพื่อนสนิทศรไม่ใช่หรอลูก ช่วยกันหน่อยนะ ถือว่าย่าขอ”
“หนูบอกแล้วไงว่าหนูไม่รู้!!!”
พี่บีตะคอกใส่ย่าแดงเสียงดังทำให้เพื่อนคนอื่นต้องรีบเข้าไปห้ามเธอทันที หมอผีถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะหันไปพูดกับพี่บี
“ฉันรู้ว่าเธออยู่ในเหตุการณ์วันนั้น วันที่เธอกับเด็กนั่นฆ่าคนตาย ถ้าเธอไม่รับสารภาพออกมาซะ เธอนั่นแหละคือรายต่อที่มันจะเอาเธอไปอยู่ด้วย”
สิ้นประโยคพี่บีถึงกับพูดไม่ออกเลย เธอเริ่มสั่นกลัวและสติแตกก่อนจะพูดพึมพำอะไรสักอย่างออกมาที่ฟังไม่ได้ศัพท์จนสุดท้ายเธอก็ยอมเล่าทุกอย่างให้ฟัง
เธอเล่าว่าเมื่ออาทิตย์ก่อนเธอกับพี่ศรได้นัดเจอกับผู้หญิงคนหนึ่งเราขอสมมุติว่าเอล่ะกัน ทั้งคู่ได้นัดพี่เอให้มาที่แถวสวนอ้อยที่อยู่แถวป่าที่จะออกไปอีกจังหวัดนึงเพื่อที่จะมาเคลียร์เรื่องของแฟนเก่า เนื่องจากพี่ศรเนี่ยเขาเคยมีแฟนแล้วพอคบกันได้ปีกว่าก็จับได้ว่าฝ่ายชายไปมีกิ๊กสุดท้ายเลยเลิกกัน แล้วทีนี้ด้วยความอยากรู้ว่ากิ๊กคนนั้นคือใครพี่ศรเลยให้พี่บีช่วยสืบ ปรากฎว่าเป็นพี่เอ
พี่ศรเลยทักแชทหาพี่เอไปต่อว่าด่าทอแต่ทีนี้พี่เอเลยสวนว่าตนเนี่ยไม่ได้คบกับแฟนของพี่ศรนะ ประมาณว่าพี่ศรเข้าใจผิดแหละ แต่ที่นี้พี่ศรเขาก็ไม่ฟังเลยเกิดการทะเลาะกันในแชทจนถึงขั้นขู่เลยก็ว่าได้ประมาณว่ากูรู้นะว่าบ้านมึงอยู่ไหน กูจะไปเอามึงให้ถึงตายเลย
แล้วทีนี้วันต่อมาพี่ศรกับพี่บีก็ไปหาพี่เอถึงบ้านแต่ก็ไม่พบใคร ตอนแรกพวกเขาก็จะกลับนั่นแหละแต่พี่ศรดันไปเห็นว่าพี่เอเนี่ยมีหมาเลยขโมยหมามาและถ่ายรูปส่งไปขู่พี่เอว่า ตอนนี้กูอยู่บ้านมึง กูเอามามึงไปด้วย ถ้าอยากได้คืนให้ไปเจอที่ป่าอ้อยหลังวัด ทีนี้หลังจากส่งข้อความทั้งสองคนก็พาหมาที่ขโมยมาไปรอที่สถานที่นัดพบ ซึ่งในขณะที่กำลังรอพี่เอเนี่ยหมามันก็ดันเกิดดื้อขึ้นมา มันพยายามจะกัดพี่ศรและจะหนี ด้วยความโมโหพี่ศรเลยใช้เศษต้นอ้อยที่วางอยู่แถวนั้นตีมันจนตายก่อนจะช่วยกันกับพี่บีลากทิ้งไว้ในป่าอ้อย
เมื่อพี่เอมาถึงเธอก็ถามหาหมาทันที ซึ่งพี่ศรก็บอกประมาณว่าให้คุยก่อนแล้วจะคืนหมาให้ เรื่องที่คุยมันก็เรื่องเดิมนั่นแหละและพี่เอก็ยืนยันว่าตนไม่ใช่กิ๊กของแฟนพี่ศรจริงๆ แต่จนแล้วจนเล่าพี่ศรก็ไม่เชื่อ ทีนี้พี่เอเห็นว่าคุยแล้วก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาเลยทวงหมาคืนแล้วพี่บีก็บอกความจริงกับพี่เอไปว่าหมาตายแล้ว อยากได้ก็ไปเอาในป่าอ้อยนู่น ทีนี้พอพี่เอได้ยินอย่างนั้นเธอก็โมโหเลยต่อว่าทั้งพี่ศรและพี่บี
และแน่นอนเหตุการณ์หลังจากนั้นก็เลยเป็นการทะเลาะวิวาทขึ้นมา พี่ศรกับพี่บีก็ได้รุมทำร้ายพี่เอจนอาการสาหัสมาก ในขณะที่พี่เอกำลังคลานหนีนั้นพี่ศรเหมือนจะเห็นว่าพี่เอหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมากำเอาไว้ พี่ศรเดินตรงดิ่งเข้าไปหยิบสิ่งนั้นที่อยู่ในมือพี่เอออกมาดูพบว่ามันคือตะกรุด ด้วยความโมโหพี่ศรเลยด่ากราดและขว้างตะกรุดเส้นนั้นทิ้งลงกับพื้นก่อนจะเหยียบซ้ำจนตะกรุดเลยไม่เป็นชิ้นดีก่อนที่ทั้งคู่จะขี่รถหนีไป
หลังจากวันก่อเหตุได้สองวันพี่ศรก็เริ่มมีอาการผิดปกติเดี๋ยวพูดคนเดียวเดี๋ยวกรี๊ดบ้างหนักสุดก็เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาระหว่างที่พี่ศรอยู่ที่บ้านพี่บีจู่ๆเธอก็วิ่งหายออกไปจากบ้านก่อนจะพบว่าเธอแขวนผูกคอเสียชีวิตที่ใต้ต้นไม้ที่ปลายนาไปแล้วและนี่ก็คือเหตุการณ์ทั้งหมดที่พี่บีเล่าออกมา
ทุกคนที่ได้ฟังก็ต่างตกใจเป็นอย่างมากว่าผู้หญิงที่ดูเรียบร้อยอย่างพี่ศรจะฆ่าคนได้ลงคอแบบนี้แถมยังไปทำลายของศักสิทธิ์อย่างตะกรุดอีกคิดว่าที่เธอต้องจากไปก็คงจะเป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สิงสถิตอยู่ในตะกรุดนั้นต้องการลงโทษเธอ ส่วนการที่ป้าเพ็ญต้องมาเสียไปนั้น ฉันคิดว่าน่าจะเพราะพี่เอคงแค้นที่พี่ศรไปฆ่าหมาที่ตัวเองรักเลยมาเลยเอาชีวิตคนในครอบครัวของพี่ศรไปเพราะพี่ศรเธอรักครอบครัวมาก การจากไปของคนในครอบครัวย่อมทำให้พี่ศรเสียใจอย่างมากแน่นอน
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดหมอผีก็ได้ทำการเชิญหลวงพ่อและเริ่มทำพิธี ซึ่งในการทำพิธีนั้นมันก็ไม่ได้ราบรื่นนักหรอกเพราะระหว่างที่ทำพิธีนั้นก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างจู่ๆฟ้าก็ร้องหรือจู่ๆไฟในงานก็เกิดดับขึ้นมาหนักสุดก็คงจะเป็นที่จู่ๆฝาโลงศพก็เปิดออกเองนั่นแหละ แต่สุดท้ายการทำพิธีก็ผ่านไปด้วยดี
พอจบเหตุการณ์นั้นวันต่อมาฉันก็ได้มาทำบุญให้พี่ศรกับป้าเพ็ญนะ ในฝันฉันเห็นพวกเขามาขอบคุณด้วยแต่ก็มาในสภาพที่ดูไม่ดีสักเท่าไหร่แต่ฉันก็ไม่ได้ถือสาอะไรก็ได้แต่บอกว่าให้ไปดีนั่นแหละ
และนี่ก็คือเรื่องราวของฉันที่เอามาแชร์ให้ฟัง ก่อนจากไปฉันก็อยากจะฝากถึงคนที่มีความรักทุกคน รักได้เกลียดได้ แค้นได้ แต่อย่าทำร้ายกันก็พอ
โฆษณา