Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เล่า withptns
•
ติดตาม
6 ก.พ. 2023 เวลา 11:00 • ไลฟ์สไตล์
“ความรักที่ยั่งยืน ไม่ใช่รักที่หวือหวา แต่คือรายละเอียดเล็กๆน้อย และทำบ่อยๆ”
สวัสดีเดือนกุมภาพันธ์ ที่หลายๆคนเรียกว่าเดือนแห่งความรักนะครับ ถ้าจะให้เล่าหนังสือเล่มนึงในเดือนนี้ ผมขอหยิบเอาหนังสือเล่มล่าสุดที่เพิ่งอ่านจบ และยังเป็นหนังสือที่ได้รับมาเป็นของขวัญวันแต่งงานเมื่อเดือนที่แล้วด้วยครับ
“ความรักที่ยั่งยืน ไม่ใช่ความรักที่หวือหวา แต่คือการใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อย และทำบ่อยๆทุกๆวัน”
สวัสดีเดือนกุมภาพันธ์ ที่หลายๆคนเรียกว่าเดือนแห่งความรักนะครับ ถ้าจะให้เล่าหนังสือเล่มนึงในเดือนนี้ ผมขอหยิบเอาหนังสือเล่มล่าสุดที่เพิ่งอ่านจบ และยังเป็นหนังสือที่ได้รับมาเป็นของขวัญวันแต่งงานเมื่อเดือนที่แล้วด้วยครับ
เล่มนั้นคือ Seven-Day Love Prescription เล่มนี้ยังไม่มีแปลไทยนะครับ เพราะเพิ่งตีพิมพ์เมื่อปี 2022 นี้เอง ถ้าให้ผมคิดชื่อไทยให้ก็คงเป็น ใบสั่งยารักสูตรเจ็ดวัน (เสี่ยวๆหน่อย แต่ตรงตัวสุดละครับ 5555)
หนังสือเล่มนี้เขียนโดย John & Julie Gottman สามีภรรยาดีกรี PhD สาขาจิตวิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับคู่รักมากว่า 50 ปี
ใช่ครับ ปัจจุบันทั้งสองคน 81 และ 72 ปีตามลำดับ นั่นหมายความว่าทั้งสองคนได้ศึกษาเรื่องราวความรักของคู่รักต่างๆ และทำการทดลองทางจิตวิทยามาค่อนชีวิตของตัวเองแล้วครับ
และผลงานทั้งชีวิตของทั้งสองท่านก็ถูกรวบรวมมาเป็นสูตร 7 วัน ที่ทุกๆคนทุกๆคู่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับความสัมพันธ์ของตัวเองได้ ทุกวัย ทุกสถานการณ์ ตัวผมเองก็จะใช้หลักการทั้ง 7 วัน 7 ข้อของหนังสือเล่มนี้ไปตลอดชีวิตของผมเช่นกัน
ทั้ง 7 วัน 7 ข้อนี้มีอะไรบ้าง เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังครับ
** ขอ Tie in Playlist เพลงเบาๆสำหรับเปิดอ่านหนังสือ / ทำงานไว้ด้วยนะครับ :
https://www.youtube.com/playlist?list=PL6w4HGfHTGMequj3dHZQOyZDa0nKtsQW4
**
🟡 DAY ONE – Make Contact
วันแรก – สร้างจุดเชื่อมความสัมพันธ์
เชื่อมั้ยครับว่า ข้อนี้สำคัญที่สุดจากในทั้ง 7 ข้อ เนื่องจากคนเราทุกคนที่อยู่ในความสัมพันธ์นั้น มักจะมีจุดเชื่อมความสัมพันธ์ที่ไม่สัมพันธ์กัน อ่านแล้วอาจจะงงๆ ขออธิบายตามนี้นะครับ
จุดเชื่อมความสัมพันธ์คือการที่คนสองคน เข้าหากัน ทั้งในด้านการพูดคุย หรือการแสดงออกทางร่างกาย เช่นการชวนคุย, การนั่งเงียบๆแบบอยากอยู่คนเดียว แต่จริงๆอยากให้สนใจ (งงมะ 555) หรือแม้กระทั่งการถอนหายใจ ทั้งหมดนี้เรียกว่า Bids for Connection หรือการเรียกร้องความสนใจเพื่อให้อีกฝ่ายตอบสนอง
เมื่อมีคนเริ่ม โดยปกติอีกฝ่ายก็จะตอบสนอง แต่การตอบสนองนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 แบบ ได้แก่
1. Turning toward : การเข้าหาอีกฝ่าย ถ้าเค้าชวนคุย เราคุยตอบ ถ้าเค้าถอนหายใจ เราถามว่าเป็นอะไร
2. Turning Away : การหันหลังให้อีกฝ่าย หรือก็คือการไม่สนใจอะไรเลย ไม่คุย ไม่ถาม ไม่ตอบ
3. Turning Against : การตอบโต้อีกฝ่าย อันนี้คือหายนะเลย เช่น ชวนทะเลาะ หรือ ถามว่าถอนหายใจแล้วได้อะไรขึ้นมา
จากที่อ่านทุกท่านน่าจะทราบดีว่า Perfect Solution ของความสัมพันธ์คือข้อแรก Turning toward นั่นเองครับ จากการวิจัยพบว่า คู่รักที่อยู่ด้วยนานๆนั้น มีอัตราการหันเข้าหา (Turning Toward) สูงถึง 86% เลยครับ กลับกันคู่ที่หย่าร้างกัน จะหันเข้าหากันเพียง 33% เท่านั้น
ดังนั้นการสร้างจุดเชื่อมจึงสำคัญ เพราะถ้าไม่ทำ จะไม่มีทางไปข้ออื่นๆต่อได้เลยครับ
🟠 DAY TWO – Ask Big Question
วันที่สอง – ถามคำถามใหญ่
หลายๆความสัมพันธ์ เมื่อเดินทางมาถึงจุดๆนึง อาจจะไม่มีอะไรให้คุยกันแล้ว และอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ห่างเหินกันไปเรื่อยๆ คำถามที่ถามกันอาจจะเป็นแค่ Yes / No Question ซะส่วนใหญ่ เช่น ทานข้าวรึยัง? , ทำความสะอาดบ้านรึยัง? , วันนี้เป็นคิวใครไปรับลูก? เป็นต้น
ดังนั้น ในวันที่สองนี้ เราอยากให้ทุกคนถามคำถามปลายเปิดกับคู่ของคุณ จะเป็นคำถามอะไรก็ได้ครับ แล้วพยายามสานต่อบทสนทนาตัวนั้น เช่น ถ้าไม่ติดเรื่องรายได้อยากทำอาชีพอะไร ? , ถ้าย้อนเวลากลับไปตอน......ได้ อยากกลับไปแก้ไขอะไร?
หรืออาจจะถามคำถามเก่าๆที่เคยถามกันสมัยคบกันใหม่ๆก็ได้ครับ เพราะเวลาผ่านไป นิสัยและความคิดของคนก็เปลี่ยนไป ดังนั้นการถามคำถามเดิมก็เหมือนการ Update Firmware ของความสัมพันธ์เราให้ใหม่อยู่เสมอนั่นเอง
🟢 DAY THREE – Say Thank You
วันที่สาม – พูดขอบคุณ
ไม่มีใครไม่ชอบคำว่าขอบคุณ และไม่มีใครชอบเวลาถูกว่าหรือถูกตำหนิครับ ในความสัมพันธ์ของคนสองคนก็เช่นกัน
ถ้าอีกฝ่ายทำอะไรให้เรารู้สึกดี เราก็ต้องขอบคุณ ไม่ใช่คิดว่าเป็นของตาย (Take it for granted) ซักวันอีกฝ่ายก็จะเหนื่อยจนท้อเช่นกัน
ปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดในทุกๆความสัมพันธ์คือธรรมชาติของคนเราที่มักจะมองเห็นข้อเสียก่อนข้อดีเสมอครับ และเมื่อเรามองเห็นข้อเสียเราก็จะตำหนิอีกฝ่าย โดยที่รู้ตัว และไม่รู้ตัว
หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดของวันนี้คือการลองสลับหน้าที่กันดูซักวันนึง เช่น ปกติฝ่ายหญิงทำความสะอาดบ้านให้ตลอด วันนี้ฝ่ายชายลองทำบ้าง / ปกติฝ่ายชายล้างรถยนต์ทุกอาทิตย์ อาทิตย์นี้ลองให้ฝ่ายหญิงล้างดูบ้าง
หลังจากที่ได้ลองทำในสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามทำให้เรามาตลอดหลายปี แล้วเรารู้สึกว่ามันยาก มันเหนื่อย ตอนนั้นแหละครับ เราจะรู้เลยว่าอีกฝ่ายเค้าเหนื่อยแค่ไหน ตอนนั้นคำว่าขอบคุณมันจะออกมาจากจิตใต้สำนึกของคุณโดยอัตโนมัติ
🟣 DAY FOUR – Give a Real Compliment
วันที่สี่ – ชื่นชมอีกฝ่ายจากใจ
คล้ายๆกับข้อที่แล้วครับ ไม่มีใครไม่ชอบการถูกชม หลังจากเมื่อวันที่สามเราขอบคุณอีกฝ่ายไปแล้ว วันนี้เราจะมาชื่นชมในสิ่งที่อีกฝ่ายทำได้ดี หรือนิสัยของอีกฝ่ายที่ทำให้เราประทับใจ
สามารถลิสต์ออกมาเป็นข้อๆได้เลยครับ แล้วจะพูดให้อีกฝ่ายฟัง หรือเขียนให้เค้าอ่านก็ได้ถ้าไม่กล้าพูด ขอแค่ได้สื่อสารออกไปถือว่าภารกิจของวันนี้สำเร็จแล้ว
สิ่งที่น่าสนใจในบทนี้ก็คือ มีงานวิจัยงานนึงที่ศึกษาว่า ถ้าเกิดในความสัมพันธ์มีสิ่งที่ไม่ดี/ทางลบ (Negative Interaction) เกิดขึ้น เราจะต้องใช้พฤติกรรมทางบวก (Positive Interaction) มากถึง 5-20 ครั้งเพื่อชดเชยสิ่งลบๆที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ดังนั้นอย่าให้เกิด Negative บ่อยนะครับ เพราะมันจะเหนื่อยมากๆ
⚪️ DAY FIVE – Ask for What You Need
วันที่ห้า – ขอในสิ่งที่คุณต้องการ
ทุกคนน่าจะเคยผ่านจุดที่เราไม่ได้รับในสิ่งที่เราต้องการจากอีกฝ่าย และเราก็ไม่สามารถบอกเค้าได้ด้วยว่าเราต้องการอะไร เช่น เราอยากให้เค้ามีความรับผิดชอบมากขึ้น อยากให้เค้าช่วยทำอันนั้นอันนี้ให้เราหน่อย แต่เราพูดไม่ได้ เพราะถ้าพูดไปจะเหมือนไปว่าเค้าว่าไม่มีความรับผิดชอบ หรือทำเค้าไม่พอใจ
ดังนั้นเราจึงเก็บความต้องการนั้นไว้กับตัว ไม่เคยได้พูดออกไป และก็ไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการซักทีครับ
ในวันที่ห้านี้ เราจะพูดในสิ่งที่เราต้องการออกไป แต่การจะพูดอะไรในวันนี้นั้น เราจะต้องสกรีนคำพูดของเราก่อน เพื่อไม่ให้ไปกระทบจิตใจ หรือไปทำร้ายอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว
การสกรีนนี้การไม่พูดถึงอีกฝ่ายครับ จะต้องไม่เริ่มว่า เพราะคุณไม่ทำอันนี้ ผมเลยอยากให้ ..........
แต่ให้เปลี่ยนมาพูดโดยเอาตัวเราเองเป็นที่ตั้ง เช่น ผมอยากมีเวลาว่างหลังจากอาหารเย็นเพื่อไปออกกำลังกาย แต่ติดที่ผมต้องทำ........ ถ้าอยากจะรบกวนคุณช่วย........ แทนผมวันนึงได้มั้ย
ถ้าเป็นแบบนี้เราจะสามารถคุยกันได้หลายเรื่องมากขึ้น ไม่ต้องเก็บความรู้สึกหรือความต้องการไว้คนเดียวครับ
🟡 DAY SIX – Reach Out and Touch
วันที่หก – ยื่นมือไปเพื่อสัมผัส
การสัมผัสในที่นี้รวมทุกอย่างเลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมเข้าจังหวะ การกอด การจูบ การจับมือ นวดบ่า
งานวิจัยหลายตัวบ่งชี้ว่าการสัมผัสของร่างกายมนุษย์นั้นจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสาร Oxytocin ออกมา และเจ้า Oxytocin นี้จะมีส่วนช่วยในการลดความเครียด, ลดอัตราการเต้นของหัวใจ, ลดการปล่อยฮอร์โมนอันตรายหลายๆตัว และที่สำคัญคือเพิ่มความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกัน (Immunity) ให้ร่างกายด้วย
การสัมผัสที่แนะนำคือ การกอดวันละ 20 วินาที / การจูบวันละ 6 วินาที หรือ การจับมือกัน ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ ถ้าทำได้ มีข้อดีมากกว่าข้อเสียแน่นอน และถ้าทำได้มากกว่านั้นยิ่งดีเข้าไปใหญ่เลย
🟣 DAY SEVEN – Declare a Date Night
วันที่เจ็ด - นัดวันไปเดทกันอีกครั้ง (และครั้งต่อๆไป)
เมื่อความสัมพันธ์ของคนเราพัฒนากันไปไกลแล้ว เรามักจะลืมความรู้สึกที่เราเคยไปเดทกันสมัยคบกันแรกๆ ในตอนนั้นทุกอย่างดูใหม่ไปหมด ทุกอย่างดูตื่นเต้นไปหมด
วิธีแก่นั้นง่ายมากๆเลยครับ เราแค่กลับไปนัดเดทกันเหมือนเมื่อก่อนก็พอ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวสวยๆออกไปดินเนอร์กันซักครั้ง ไปสวนสนุก ไปเที่ยวต่างจังหวัด ใช้เวลาอยู่ด้วยันสองคนเหมือนเมื่อก่อน
อย่างที่เคยบอกไปในข้อแรกๆครับว่า เวลาเปลี่ยน นิสัยและความชอบของเราก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นการออกเดทกันใหม่ ถามคำถามเดิมๆแบบข้อสอง แต่เราจะได้คำตอบใหม่ๆ มุมมองใหม่ๆตลอดเวลา
ถ้าให้ดี นัดเดทกันให้ได้เป็นประจำไปเลยครับ ทุกเดือน ทุก 3 เดือนก็ว่าไป ถ้าทำได้เรื่อยๆรับรองว่าคุณจะสนุกกับการรู้จักคนรักของคุณในเวอร์ชั่นที่ update ไปเรื่อยๆ แล้วจะไม่มีเบื่อกันแน่นอนครับ
ก็จบครบไปแล้ว 7 วัน 7 ข้อ ก่อนจบบทความนี้ไป อยากยกประโยคในหนังสือเล่มนี้ที่แปลเป็นไทยว่า
“ความสัมพันธ์ที่ดี คือการทำความรู้จักคนรักของคุณครั้งแล้วครั้งเล่า ไปตลอดชีวิต” ซึ่งเป็นประโยคที่ตรงมากๆๆ เลยครับ
ว่าแล้วก็ขอเวลาไปทำความรู้จักกับคุณภรรยาของผมอีกซักครั้ง อัพเดทกันซักหน่อยเดือนละครั้งหลังแต่งงาน
ใครสนใจหนังสือเล่มนี้ลองสอบถามกับทาง Asiabooks ได้นะครับ
🟠นอกจากนี้หนังสือหลายๆเล่มของ Asiabooks ตอนนี้สามารถสั่งออนไลน์ผ่าน Shopee ได้แล้วที่
https://shope.ee/30FKtLw33W🟠
นอกจากหนังสือแล้วอยากแนะนำ สมุดและปากกาด้วยครับ ใช้ดีมากเพราะสมุดแบบตารางจะช่วยให้เราจดได้เป็นระเบียบขึ้น และข้อดีของ MUJI คือเส้นตารางเค้าอ่อนมากครับ ของแบรนด์เส้นจะหนาและเข้มมาก แบบเข้มกว่าปากกาที่เราเขียนอีก
ปากกา Pentel Calme :
https://shope.ee/89xrqhyqH2
สมุด MUJI แบบตาราง Grid :
https://shope.ee/8UaiFOqk1C
สำหรับเนื้อหาวันนี้ก็จบเพียงเท่านี้ครับ
ขอบคุณครับ
พัฒน์ ptns
(Ad)
หากคุณเป็นคนที่ต้องการพัฒนาตัวเองในหลายๆด้าน การเรียนออนไลน์คือคำตอบของช่วงเวลาแบบนี้ครับ
ทางเพจขอแนะนำคอร์สเรียนออนไลน์ของ Future Skill ที่มีวิชาและทักษะต่างๆให้เลือกเรียนมากมาย พร้อมส่วนลดพิเศษ 50% จากเพจเล่า
คลิกรับสิทธิ์ :
https://page.futureskill.co/fsxlao
โค้ดลด 50% : FSXLAO50
หากต้องการความช่วยเหลือหรือมีข้อสงสัยใดสามารถสอบถามทางเจ้าหน้าที่โดยตรงได้ที่
http://m.me/futureskill.co
ถ้าใครชอบเนื้อหาเน้นๆตามสไตล์เพจ “เล่า” ของผมก็สามารถกด Like เพจเพื่อติดตามเนื้อหาใหม่ๆของทางเพจได้นะครับ จะมีมาเล่าให้ในหลายๆเรื่องเลย ตามเพจเล่าไม่มีเบื่อแน่นอน เพราะแอดมินขี้โม้ หามาเล่าได้ทุกเรื่องครับ
อยากให้เล่าเรื่องไหน รีเควสได้ ถ้าไม่นอกเหนือความสามารถก็จะไปหามาให้ครับ
ติดตามเรื่อง “เล่า” ผ่านช่องทางต่างๆได้ดังนี้
YouTube “เล่า by ptns” :
https://www.youtube.com/channel/UCwBjQ4MgVCnDJRe-vCIQIDQ
Clubhouse : @withptns , เล่า’s Bookclub
Blockdit “เล่า” :
https://www.blockdit.com/unfold
Instagram “เล่า” @withptns :
https://instagram.com/withptns
Twitter “เล่า” @withptns :
https://twitter.com/withptns
ติดต่อโฆษณา ฝากลิ้งค์สั่งหนังสือ หรือ ติดต่อร่วมงานกับเพจ “เล่า” ได้ที่อีเมล์
ptns81@gmail.com
ครับ
#เล่า #เล่าหนังสือ #เล่าความรู้ #unfold #ส่งเสริมการอ่าน #ส่งเสริมการเรียนรู้
ไลฟ์สไตล์
หนังสือ
ความรัก
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย