26 ก.พ. 2023 เวลา 08:16 • ดนตรี เพลง

Woodstock เทศกาลดนตรีที่อยู่เหนือกาลเวลา

ในวงการดนตรีมีเทศกาลดนตรีเพลง Rock ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลเท่าที่เคยมีมาภายใต้ชื่อ "Woodstock" ซึ่งเป็นเทศกาลดนตรีที่จัดขึ้นมาหลายครั้งตลอด 50 ปี ที่ผ่านมา ทั้งนี้ในเทศกาล Woodstock เป็นที่น่าจดจำทั้งในเรื่องที่เต็มอิ่มอรรถรสและที่สุดแห่งความโกลาหล
1
ภาพโปสเตอร์ Woodstock '69 โดย https://www.nepm.org/regional-news/2019-08-12/meet-the-designer-who-created-the-iconic-1969-woodstock-festival-poster
เริ่มจาก Woodstock ครั้งที่ 1 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-18 สิงหาคม ปี 1969 ณ เมือง Bethel รัฐ New York สหรัฐอเมริกา เหล่าโปรโมเตอร์ไม่ว่าจะเป็น John Roberts, Joel Rosenman, Artie Kornfield และ Michael Lang ที่มาในธีม “Make love, Not war”
เนื่องจากในขณะนั้นความกดดันจากผลกระทบของสงครามเย็นทำให้เกิดความตึงเครียดในหมู่ประชาชนทั่วไปทั้งจังหวะเวลาและคอนเซ็ปต์ของงานที่เข้าไปครองใจทุกคน พร้อมกับเหล่าศิลปินชื่อดังในขณะนั้นไม่ว่าจะเป็น The Jimi Hendrix Experience, Janis Joplin, The Who, Crosby, Stills, Nash and Young และอีกมากมาย ที่เป็นหัวหอกนำทัพเหล่าประชาชนผู้ใฝ่ฝันถึงเสรีภาพ
ทำให้ทีมงานคาดว่าผู้คนจะเข้ามาชมจำนวนมากประมาณ 50,000 คน แต่เมื่อวันงานมาถึง มันกลับตาลปัตรเป็นผู้ชม 400,000 คน และเนื่องจากเวลาที่กระชั้นชิดในการจัดงานทำให้ไม่ได้มีการล้อมรั้ว จนในท้ายที่สุด ทางทีมงานจึงตัดสินใจเปลี่ยนเป็นเข้าชมฟรีและคืนทุนจากการขายอัลบั้มและภาพยนต์ในหนึ่งปีให้หลัง ซึ่งภาพจำที่เป็นตำนานของเทศกาลนี้ก็จะมี Jimi Hendrix ที่บรรเลงเพลงชาติของสหรัฐอเมริกาผ่านกีต้าร์ของเขา
หรือการที่ Richie Havens เล่นเพลง "Freedom" ซึ่งเป็นเพลงที่ไม่ได้อยู่ใน Setlist แต่ต้องหยิบขึ้นมาเล่นเนื่องจากวงอื่นๆนั้นไม่สามารถมาขึ้นเวทีได้ทันเวลา นอกจากนี้ยังมีภาพจำอีกมากมายในเทศกาลดนตรีนี้ ทั้งที่เคยถูกบันทึกภาพไว้ หรือไม่ได้เอ่ยถึง
ต่อมาในปี 1979 ได้มีการจัดงานเทศกาลดนตรีที่ถูกแบ่งเป็นสองช่วงคือวันที่ 24 และ 25 สิงหาคม ณ Madison Square Garden และวันที่ 8 กันยายน ณ Brookhaven ที่มาในชื่อ "Celebration: Ten Years Later" หรือที่ผู้คนในช่วงนั้นรู้จักกันอย่างลับๆในนาม Woodstock 1979
ภาพ Celebration: Ten Years Later โดย https://www.nepm.org/regional-news/2019-08-12/meet-the-designer-who-created-the-iconic-1969-woodstock-festival-poster
โดยมีผู้จัดคือ John Morris ผู้ที่เคยเป็น Stage Manager ใน Woodstock 1969 โดยในจุดเริ่มต้น เค้าได้ตระเวนหาสถานที่ในการจัดเทศกาลครั้งนี้ แต่ไม่มีที่ใดเลยที่รับข้อเสนอของเขาเนื่องจากการจัดงานโดยผู้คนนับแสนทำให้เกิดผลเสียต่อสภาพแวดล้อมในบริเวณนั้นอย่างหนัก หรือแม้แต่ Town Supervisor Valerie Cadden เคยได้กล่าวไว้ว่า "มันต้องใช้เวลา 10 ปีในการฟื้นฟูเมืองหลังจาก Woodstock Festival ครั้งแรก"
แต่ด้วยความมุ่งมั่นของ Morris ที่เชื่อว่าผู้คนจะหลั่งไหลเข้ามานับแสน และจะสร้างผลประโยชน์ให้เขาได้มหาศาล เขาจึงได้สถานที่จัดเป็น Madison Square Garden และ Brookhaven ผนวกกับความคิดที่จะดึงศิลปินเก่ามาจาก Woodstock ครั้งแรก เช่น John Sebastian, Canned Heat, Paul Butterfield, Rick Danko (ศิลปินเดี่ยว), Stephen Stills (ศิลปินเดี่ยว), and Country Joe McDonald
แต่ด้วยความที่ผู้จัดใส่ความเป็นต้นฉบับมากเกินไป จากที่เคยคาดว่าผู้ชมจะเข้ามาหลักแสนกลับมีผู้เข้าชมเพียงแค่ 40,000 คนโดยประมาณ แต่ถึงอย่างไรแม้ว่าผู้ชมจะหายไปอย่างมากแต่การแสดงของศิลปินภายในงานก็ยังเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจ
ต่อมาในปี 1989 มีความพยายามในการจัดคอนเสิร์ตนี้อีกครั้งโดย Joel Rosenman และ John Robert อดีตฝ่ายการเงินจาก Woodstock ครั้งแรก และในครั้งนี้พวกเขาได้วางแผนที่จะทำ ครบรอบ 20 ปีของคอนเสิร์ตที่ยิ่งใหญ่นี้ แต่ในครั้งนี้พวกเขาไม่สามารถปิดดีลลิขสิทธิ์ชื่อของ Woodstock จาก Warner Bros ได้ ร่วมกับการที่เขาไม่สามารถดึง Micheal Lang, John Morris หรือ Artie Kornfeld มาร่วมทัพในการจัดได้เลย จึงได้พับโปรเจคนี้เก็บไป
1
ภาพของ Woodstock '89 Story ใน LIFE magazine โดย https://www.nepm.org/regional-news/2019-08-12/meet-the-designer-who-created-the-iconic-1969-woodstock-festival-poster
ในเดือนสิงหาคมปี 1989 ใกล้ถึงวันครบรอบของ Woodstock ครั้งแรกผู้คนที่หวนคิดถึงสถานที่ที่พวกเขาเคยไป และผู้คนรุ่นใหม่ที่หลงไหลในคำล่ำลือของเทศกาลดนตรีนี้ ได้กลับมารวมตัวกันที่ไร่ของ Max Yasgur อย่างไม่ได้นัดหมาย จากหลักสิบก็เริ่มเป็นหลักร้อยหลักพันจนในที่สุดก็ร่วมตัวกันเป็นผู้คนหลายหมื่น
ทั้งนี้พวกเขาไม่ได้มาแค่ตัว แต่ยังมีการจัดคอนเสิร์ตเล็กๆโดยความร่วมมือของผู้คนที่มารวมตัวกัน ทั้งการที่วงในท้องถิ่นอย่าง Ice Nine และ The Psychedelic Kitchen ได้ปรากฎตัวอย่างกระทันหันและได้สนับสนุนเครื่องเสียง PA และด้วยความร่วมมือของทุกคน จึงจัดมาเป็นคอนเสิร์ตได้ในที่สุด
ขณะเดียวกันที่ Bruce Taylor ได้จัดคอนเสิร์ตเพื่อรำลึกถึง Woodstock ครั้งแรกเช่นกันที่ Imperial Resort Hotel ใกล้กับ Swan Lake ซึ่งจะประกอบไปด้วยศิลปินอย่าง John Sebastian, Melanie, Johnny และ Edgar Winter, Leon Russell, และ Roger McGuinn พร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งสนามเทนนิสทั้ง indoor และ outdoor, สปาเพื่อสุขภาพ, และบัตรผ่านเข้า 3 วันสำหรับคอนเสิร์ต ทั้งหมดในราคา $75 (หากให้เทียบราคาในปี 2019 จะมีมูลค่าประมาณ $156)
ทว่าคอนเสิร์ตของ Bruce Taylor ที่จัดขึ้นนั้นพังไม่เป็นท่า เนื่องจากมีผู้ชมน้อยเกินไป บวกกับการรวมตัวของผู้คนที่ไร่ Max Yasgur เนื่องจากมันยังขาดมนต์เสน่ห์ของสถานที่ที่เป็นสารตั้งต้น อย่างเช่นที่ The Times เคยได้รายงานเอาไว้ว่า "ในคืนวันศุกร์ที่ Melanie ศิลปินที่เคยขึ้นแสดงใน Woodstock ปี 1969 มาทำการแสดงที่ Imperial Resort Hotel นั้นมีผู้ชมเพียงแค่ 100 คน และส่วนใหญ่คือพนักงานโรงแรมของที่นั่น หลังจากที่เธอทำการแสดงเสร็จ เธอรีบขับรถไปที่เมือง Bethel ในเวลาตีหนึ่งครึ่งของคืนนั้นทันที"
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งครั้งที่ผู้คนในชุมชนสามารถเอาชนะความเป็นทุนนิยมได้ ทาง Bruce Taylor เองก็ได้ให้สัมภาษณ์กับ The Times ว่า "เรามีแผนที่จะจัดคอนเสิร์ตนี้ที่ไร่ของ Max Yasgur ในเมือง Bethel แต่ด้วยปัญหาทางกฎหมายจึงไม่สามารถจัดคอนเสิร์ตขึ้นที่นั่นได้ พวกข้าราชการหลายคนไม่เข้าใจภาพรวม หากผู้ใหญ่ที่อยู่ในเมืองของ Mount Rushmore รู้สึกแบบเดียวกับผู้คนในเมือง Sullivan County ต้นกำเนิดของ Woodstock พวกเขาคงทุบ Mount Rushmore ให้เป็นผุยผง แล้วบอกว่า Woodstock ควรเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติ"
1
ขยับมาที่ปี 1994 ในครั้งนี้ John Roberts, Joel Rosenman, และ Michael Lang อดีตผู้จัดงาน Woodstock '69 ได้ก้าวเข้ามาสู่สังเวียนอีกครั้ง และประกาศจะจัดงาน "Woodstock II" ที่มาในธีม "Two More Days of Peace & Music" อย่างเป็นทางการ ณ Winston Farm ในรัฐ New York
ภาพโปสเตอร์ของ Woodstock '94 โดย https://sites.google.com/site/underappreciatedrockbassists/home/the-pantheon/somewhat-appreciated-items-2/woodstock-94
ที่ขยับขึ้นไปทางเหนือจากไร่ของ Max Yasgur สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าผู้คนที่หลงไหลใน Woodstock ครั้งแรกอีก 100 ไมล์ และวางแผนเอาไว้ว่าจะจัดงานขึ้น 2 วัน คือ วันที่ 13 - 14 สิงหาคม แต่ด้วยยอดจองที่ถล่มทลาย ทำให้บัตรเข้างานหมดภายใน 12 ชั่วโมง ทางผู้จัดจึงตัดสินใจเพิ่มวันแสดงที่ 12 สิงหาคม เป็น 3 วัน
และด้วยไลน์อัพที่มีการผสมผสานกันตั้งแต่วงยุคแรกเริ่มของเทศกาล หรือวงดนตรีที่เพิ่งจะเฉิดฉายในปีนั้น เช่น Aphex Twin, Aerosmith, Crosby, Stills & Nash, Metallica, Nine Inch Nails, Green day, Red Hot Chili Peppers, The Cranberries และวงดนตรีอีกมากมาย ที่ถูกแบ่งออกเป็น 2 เวทีทำให้ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้คนจะหลั่งไหลกันเข้ามากว่า 350,000 คน มากเกินกว่าตั๋วบัตรจริงที่มีขายเพียงแค่ 164,000 ใบเท่านั้น
และด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้เกินความควบคุมของเจ้าหน้าที่ภายในงาน จึงทำให้ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดีนัก เช่น การห้ามนำอาหารหรือเครื่องดื่มภายนอกเข้ามาภายในงาน หรือการออกและห้ามเข้าใหม่ และผู้คนนับพันที่ได้รับการบาดเจ็บ หรือมีผู้เคราะห์ร้ายถึงแก่ชีวิตอีก 3 คน
ทั้งนี้ ก็มีข้อดีอย่างล้นหลามแม้ว่าจะมีฝนตกภายในงานทำให้เกิดเป็นโคลนบนทางเดินทั่วทุกแห่งตลอดบริเวณภายในงาน แต่ทว่าผู้คนภายในงานกลับสนุกสนานอย่างที่สุด แทนที่ผู้คนจะรู้สึกเซ็งกับการที่มันเป็นโคลนทั้งหมด พวกเขากลับร้องเพลง เต้นระบำ หรือแม้กระทั่งแหวกว่ายบนโคลนอย่างสนุกสนาน พร้อมกับเสียงดนตรีจากวงชั้นนำในหลายยุคสมัย จึงเกิดเป็นปรากฏการณ์ "Mudstock"
ภาพผู้คนร่ายระบำบนโคลน โดย https://nysmusic.com/2021/08/12/woodstock-94-revisited/
และเหตุการณ์น่าจดจำในงานนี้ก็มีอีกหลายอย่างนอกจากนี้เช่น การที่วง Green Day หยุดแสดงกลางเวทีและหันไปเล่นปาโคลนกับคนดูแทน หรือแม้กระทั่งการที่วง Red Hot Chilli Peppers ใส่เสื้อหลอดไฟของพวกเขาในช่วงต้นโชว์ และเปลี่ยนมาเป็นการแต่งตัวแบบ Jimi Hendrix สำหรับการรำลึกถึง Woodstock '69
และยังมีโชว์พิเศษๆที่ครั้งนึงในชีวิตเราจะได้ชมสดๆเพียงแค่ครั้งเดียวในชีวิตจากศิลปินต่างๆที่สนุกสนาน กลมกล่อม ลงตัวกับความร่วมสมัยของเซทลิสต์ในคอนเสิร์ต
เรียกได้ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดแทบจะเป็นการเกิดใหม่อีกครั้งของภาพจำต่างๆในปี 1969 ที่มีการผสมผสานกันระหว่างความทรงจำที่ผ่านไปและดนตรีแบบใหม่ที่กำลังจะผ่านเข้ามา ถึงแม้ว่าผู้คนจะหลั่งไหลเข้ามามากกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ทั้งนี้คอนเสิร์ตก็จบลงด้วยรอยยิ้มและสร้างตำนานอีกหนึ่งบทบนประวัติศาสตร์โลกดนตรี
ถัดมาในอีก 5 ปีให้หลัง 1999 หลังจากที่ได้รับเสียงตอบอย่างล้นหลามจากผู้ชมในครั้งที่แล้ว Michael Lang ได้กลับมาพร้อมกับ John Scher ที่เป็น concert promoter ที่ประสบความสําเร็จอย่างมากในยุคนั้น ได้ทำการจัดงานฉลองครบรอบ 30 ปีของ Woodstock '69 ในวันที่ 22 - 25 กรกฎาคม และได้จัดในสถานที่คือ Griffiss Air Force Base เมือง Rome รัฐ New York ทำให้เกิดเป็น 3 เวที "West Stage", "East Stage", และ "Emerging Artists Stage"
ซึ่งสถานเป็นลานกว้างขนาดใหญ่สามารถรองรับผู้คนได้อย่างมหาศาล และด้วยไลน์อัพที่ดุดันไม่เกรงใจใครอย่าง DMX, Limp Bizkit, Korn, Red Hot Chili Peppers, Alanis Morissette, Kid Rock, Metallica, Rage Against The Machine and Creed ทำให้จำนวนตั๋วเข้าชมที่มากถึง 250,000 ใบ ไม่เพียงพอสำหรับความต้องการของผู้ชมที่มีมากถึง 400,000 คน
ภาพโปสเตอร์ Woodstock '99 โดย https://www.pinterest.com/pin/30047522498144583/
เมื่อวันงานมาถึง ผู้คนต่างหลั่งไหลกันเข้ามา แต่ทว่าสภาพอากาศที่ร้อนจัดจนอุณหภูมิสูงถึง 38 องศาเซลเซียสผนวกกับบางพื้นที่ของสถานที่ที่เป็นพื้นปูนซึ่งมีคุณสมบัติคลายความร้อนได้ดีกว่าทุ่งหญ้าเปรียบเสมือนผู้ชมกำลังยืนดูคอนเสิร์ตในเตาอบ ทำให้อารมณ์ของผู้ชมในตอนนั้นเริ่มมีความขุ่นเคืองขึ้นมา
และมีผู้ชมหลายรายที่เกิดอาการขาดน้ำระหว่างดูคอนเสิร์ตจนเป็นลมหมดสติไป จึงมีเหตุการณ์ที่ผู้คนทุบท่อน้ำดื่มในใจกลางผู้ชมทำให้เกิดเป็นสนามโคลนย่อมๆ ซึ่งมันผสมปนเปกับการที่ผู้คนเข้ามามากเกินไปและการระบายของเสียที่อุดตันและในท้ายที่สุดมันก็ไหลมาปนกัน
ภาพการเล่นโคลนของผู้จนภายในงาน โดย https://thestandard.co/trainwreck-woodstock/
เท่านั้นยังไม่พอ หลังจากที่สิ่งบริโภคที่จำเป็นอย่างน้ำและอาหารเริ่มขาดแคลนจากการที่มีผู้ชมมากเกินไป ทำให้มีการโก่งราคาเกิดขึ้นภายในงานอย่างเช่นน้ำเปล่าถูกขายในราคา 4 $ แซนด์วิช กับ ฮอทด็อก ชิ้นละ 5 $ และพิซซ่าชิ้นละ 12 $ ซึ่งเป็นราคาที่สูงมากๆในสมัยนั้น สวนทางกับความเป็นจริงที่ต้องบรรเทาความทุกข์อำนวยความสะดวกให้ผู้คนอย่างใกล้ชิดจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น และนี่กลายเป็นการโยนฟืนใส่ในกองไฟแห่งอารมณ์ของผู้ชม ทวีความร้อนแรงและเกรี๊ยวกราดอย่างสุดขีด
และในที่สุดด้วยกระแสต่อต้านความเป็นทุนนิยมที่ถูกขับร้องผ่านบทเพลงต่างๆของไลน์อัพบนเวที เปรียบเสมือนดั่งการสัมผัสเหตุการณ์ในสถานที่จริงของผู้ชม จึงเกิดเป็นประวัติศาสตร์ที่เป็นโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกดนตรี มีเหตุการณ์ที่ไม่น่าจดจำหลายอย่างเกิดขึ้นในงานอย่างเช่น การที่วง Limp Bizkit กำลังแสดงอยู่บนเวที East Stage ในวันที่ 2 และชายฉกรรจ์บางกลุ่มได้ดึงแผ่นไม้ที่ติดไว้ใกล้กับเวทีมาทำเป็นการดานเซิฟท์อย่างสนุกสนาน
หรือจะเป็นการที่วง Rage Against The Machine ที่จุดไฟเผาธงชาติสหรัฐอเมริกากลางเวที และผู้คนได้เกิดอารมณ์ร่วมอย่างบ้าคลั่งจนกระทั่งรวบรวมฟืนอย่างไม้กระดาน ป้ายผ้า มาจุดเผาและปิดท้ายด้วยวง Red Hot Chili Peppers ที่ขึ้นโชว์เป็นวงปิดคอนเสิร์ตในวันสุดท้าย Flea มือเบสของวงได้ทำการเปลื้องผ้าแสดงสดโดยที่ไม่ใส่เครื่องนุ่งห่มใดๆ จนในท้ายที่สุดที่วงได้ Cover เพลงของ Jimi Hendrix ในบทเพลง Fire ทำให้ผู้คนวางเพลิงตามจุดต่างๆทั้งร้านค้า รถ โค่นเสาวิทยุ จนเกิดการจลาจลขึ้นในที่สุด
1
เกิดเหตุการณ์ทะเลาะวิวาท ปล้นสะดม ขืนใจ และแผดเผาสถานที่ อย่างไม่เหลือความเป็นสถานที่ที่รวมแหล่งความสุขไว้อีกเลย สภาพแวดล้อมทั้งหมดทั้งมวลสามารถเปลี่ยนให้คนกลายเป็นสัตว์ป่าในที่สุด ทุกอย่างแทบจะอยู่เหนือขอบเขตของสามัญสำนึกไปแล้ว
1
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ได้จบลง มีความพยายามที่จะจัด Woodstock ขึ้นอีกในหลากหลายสถานที่และหลายปีที่ผ่านมา แต่ที่น่าจับตามองที่สุดคือปี 2019 ที่ Michael Lang ในวัย 75 ปีได้พยายามคืนชีพเทศกาลนี้อีกครั้ง โดยมีการประกาศสถานที่ วันที่ และไลน์อัพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่น่าเสียดายที่เกิดปัญหาระหว่างทางมากเกินไปจนไม่สามารถประกอบร่างมันได้สำเร็จ
ภาพโปสเตอร์ของ Woodstock 2019 จาก https://www.cbc.ca/music/woodstock-50-is-officially-cancelled-here-s-everything-that-went-wrong-1.5190762#:~:text=%22The%20bottom%20line%20is%2C%20there,up%20to%20the%20cancellation%20news.
และทั้งหมดนี้ก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาเป็นประวัติศาสตร์สำคัญอีกหนึ่งบทในโลกดนตรี ถึงแม้ว่าจุดเริ่มต้นของสิ่งนี้จะผ่านมานานกว่า 50 ปี แต่ก็ยังเป็นที่พูดถึงในทั่วทุกมุมโลกจากเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น และนี่คือ "Woodstock" เทศกาลดนตรีที่อยู่เหนือกาลเวลา
ติดตามพวกเราได้ที่ 👉 https://thetransmitter.co/content/woodstock-1969-1999
#woodstock #เพลง #TheTransmitter
โฆษณา