เริ่มจาก Woodstock ครั้งที่ 1 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-18 สิงหาคม ปี 1969 ณ เมือง Bethel รัฐ New York สหรัฐอเมริกา เหล่าโปรโมเตอร์ไม่ว่าจะเป็น John Roberts, Joel Rosenman, Artie Kornfield และ Michael Lang ที่มาในธีม “Make love, Not war”
เนื่องจากในขณะนั้นความกดดันจากผลกระทบของสงครามเย็นทำให้เกิดความตึงเครียดในหมู่ประชาชนทั่วไปทั้งจังหวะเวลาและคอนเซ็ปต์ของงานที่เข้าไปครองใจทุกคน พร้อมกับเหล่าศิลปินชื่อดังในขณะนั้นไม่ว่าจะเป็น The Jimi Hendrix Experience, Janis Joplin, The Who, Crosby, Stills, Nash and Young และอีกมากมาย ที่เป็นหัวหอกนำทัพเหล่าประชาชนผู้ใฝ่ฝันถึงเสรีภาพ
ต่อมาในปี 1979 ได้มีการจัดงานเทศกาลดนตรีที่ถูกแบ่งเป็นสองช่วงคือวันที่ 24 และ 25 สิงหาคม ณ Madison Square Garden และวันที่ 8 กันยายน ณ Brookhaven ที่มาในชื่อ "Celebration: Ten Years Later" หรือที่ผู้คนในช่วงนั้นรู้จักกันอย่างลับๆในนาม Woodstock 1979
ภาพ Celebration: Ten Years Later โดย https://www.nepm.org/regional-news/2019-08-12/meet-the-designer-who-created-the-iconic-1969-woodstock-festival-poster
โดยมีผู้จัดคือ John Morris ผู้ที่เคยเป็น Stage Manager ใน Woodstock 1969 โดยในจุดเริ่มต้น เค้าได้ตระเวนหาสถานที่ในการจัดเทศกาลครั้งนี้ แต่ไม่มีที่ใดเลยที่รับข้อเสนอของเขาเนื่องจากการจัดงานโดยผู้คนนับแสนทำให้เกิดผลเสียต่อสภาพแวดล้อมในบริเวณนั้นอย่างหนัก หรือแม้แต่ Town Supervisor Valerie Cadden เคยได้กล่าวไว้ว่า "มันต้องใช้เวลา 10 ปีในการฟื้นฟูเมืองหลังจาก Woodstock Festival ครั้งแรก"
แต่ด้วยความมุ่งมั่นของ Morris ที่เชื่อว่าผู้คนจะหลั่งไหลเข้ามานับแสน และจะสร้างผลประโยชน์ให้เขาได้มหาศาล เขาจึงได้สถานที่จัดเป็น Madison Square Garden และ Brookhaven ผนวกกับความคิดที่จะดึงศิลปินเก่ามาจาก Woodstock ครั้งแรก เช่น John Sebastian, Canned Heat, Paul Butterfield, Rick Danko (ศิลปินเดี่ยว), Stephen Stills (ศิลปินเดี่ยว), and Country Joe McDonald
ต่อมาในปี 1989 มีความพยายามในการจัดคอนเสิร์ตนี้อีกครั้งโดย Joel Rosenman และ John Robert อดีตฝ่ายการเงินจาก Woodstock ครั้งแรก และในครั้งนี้พวกเขาได้วางแผนที่จะทำ ครบรอบ 20 ปีของคอนเสิร์ตที่ยิ่งใหญ่นี้ แต่ในครั้งนี้พวกเขาไม่สามารถปิดดีลลิขสิทธิ์ชื่อของ Woodstock จาก Warner Bros ได้ ร่วมกับการที่เขาไม่สามารถดึง Micheal Lang, John Morris หรือ Artie Kornfeld มาร่วมทัพในการจัดได้เลย จึงได้พับโปรเจคนี้เก็บไป
1
ภาพของ Woodstock '89 Story ใน LIFE magazine โดย https://www.nepm.org/regional-news/2019-08-12/meet-the-designer-who-created-the-iconic-1969-woodstock-festival-poster
ทั้งนี้พวกเขาไม่ได้มาแค่ตัว แต่ยังมีการจัดคอนเสิร์ตเล็กๆโดยความร่วมมือของผู้คนที่มารวมตัวกัน ทั้งการที่วงในท้องถิ่นอย่าง Ice Nine และ The Psychedelic Kitchen ได้ปรากฎตัวอย่างกระทันหันและได้สนับสนุนเครื่องเสียง PA และด้วยความร่วมมือของทุกคน จึงจัดมาเป็นคอนเสิร์ตได้ในที่สุด
ขณะเดียวกันที่ Bruce Taylor ได้จัดคอนเสิร์ตเพื่อรำลึกถึง Woodstock ครั้งแรกเช่นกันที่ Imperial Resort Hotel ใกล้กับ Swan Lake ซึ่งจะประกอบไปด้วยศิลปินอย่าง John Sebastian, Melanie, Johnny และ Edgar Winter, Leon Russell, และ Roger McGuinn พร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งสนามเทนนิสทั้ง indoor และ outdoor, สปาเพื่อสุขภาพ, และบัตรผ่านเข้า 3 วันสำหรับคอนเสิร์ต ทั้งหมดในราคา $75 (หากให้เทียบราคาในปี 2019 จะมีมูลค่าประมาณ $156)
ทว่าคอนเสิร์ตของ Bruce Taylor ที่จัดขึ้นนั้นพังไม่เป็นท่า เนื่องจากมีผู้ชมน้อยเกินไป บวกกับการรวมตัวของผู้คนที่ไร่ Max Yasgur เนื่องจากมันยังขาดมนต์เสน่ห์ของสถานที่ที่เป็นสารตั้งต้น อย่างเช่นที่ The Times เคยได้รายงานเอาไว้ว่า "ในคืนวันศุกร์ที่ Melanie ศิลปินที่เคยขึ้นแสดงใน Woodstock ปี 1969 มาทำการแสดงที่ Imperial Resort Hotel นั้นมีผู้ชมเพียงแค่ 100 คน และส่วนใหญ่คือพนักงานโรงแรมของที่นั่น หลังจากที่เธอทำการแสดงเสร็จ เธอรีบขับรถไปที่เมือง Bethel ในเวลาตีหนึ่งครึ่งของคืนนั้นทันที"
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งครั้งที่ผู้คนในชุมชนสามารถเอาชนะความเป็นทุนนิยมได้ ทาง Bruce Taylor เองก็ได้ให้สัมภาษณ์กับ The Times ว่า "เรามีแผนที่จะจัดคอนเสิร์ตนี้ที่ไร่ของ Max Yasgur ในเมือง Bethel แต่ด้วยปัญหาทางกฎหมายจึงไม่สามารถจัดคอนเสิร์ตขึ้นที่นั่นได้ พวกข้าราชการหลายคนไม่เข้าใจภาพรวม หากผู้ใหญ่ที่อยู่ในเมืองของ Mount Rushmore รู้สึกแบบเดียวกับผู้คนในเมือง Sullivan County ต้นกำเนิดของ Woodstock พวกเขาคงทุบ Mount Rushmore ให้เป็นผุยผง แล้วบอกว่า Woodstock ควรเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติ"
1
ขยับมาที่ปี 1994 ในครั้งนี้ John Roberts, Joel Rosenman, และ Michael Lang อดีตผู้จัดงาน Woodstock '69 ได้ก้าวเข้ามาสู่สังเวียนอีกครั้ง และประกาศจะจัดงาน "Woodstock II" ที่มาในธีม "Two More Days of Peace & Music" อย่างเป็นทางการ ณ Winston Farm ในรัฐ New York
และด้วยไลน์อัพที่มีการผสมผสานกันตั้งแต่วงยุคแรกเริ่มของเทศกาล หรือวงดนตรีที่เพิ่งจะเฉิดฉายในปีนั้น เช่น Aphex Twin, Aerosmith, Crosby, Stills & Nash, Metallica, Nine Inch Nails, Green day, Red Hot Chili Peppers, The Cranberries และวงดนตรีอีกมากมาย ที่ถูกแบ่งออกเป็น 2 เวทีทำให้ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้คนจะหลั่งไหลกันเข้ามากว่า 350,000 คน มากเกินกว่าตั๋วบัตรจริงที่มีขายเพียงแค่ 164,000 ใบเท่านั้น
และเหตุการณ์น่าจดจำในงานนี้ก็มีอีกหลายอย่างนอกจากนี้เช่น การที่วง Green Day หยุดแสดงกลางเวทีและหันไปเล่นปาโคลนกับคนดูแทน หรือแม้กระทั่งการที่วง Red Hot Chilli Peppers ใส่เสื้อหลอดไฟของพวกเขาในช่วงต้นโชว์ และเปลี่ยนมาเป็นการแต่งตัวแบบ Jimi Hendrix สำหรับการรำลึกถึง Woodstock '69
ถัดมาในอีก 5 ปีให้หลัง 1999 หลังจากที่ได้รับเสียงตอบอย่างล้นหลามจากผู้ชมในครั้งที่แล้ว Michael Lang ได้กลับมาพร้อมกับ John Scher ที่เป็น concert promoter ที่ประสบความสําเร็จอย่างมากในยุคนั้น ได้ทำการจัดงานฉลองครบรอบ 30 ปีของ Woodstock '69 ในวันที่ 22 - 25 กรกฎาคม และได้จัดในสถานที่คือ Griffiss Air Force Base เมือง Rome รัฐ New York ทำให้เกิดเป็น 3 เวที "West Stage", "East Stage", และ "Emerging Artists Stage"
ซึ่งสถานเป็นลานกว้างขนาดใหญ่สามารถรองรับผู้คนได้อย่างมหาศาล และด้วยไลน์อัพที่ดุดันไม่เกรงใจใครอย่าง DMX, Limp Bizkit, Korn, Red Hot Chili Peppers, Alanis Morissette, Kid Rock, Metallica, Rage Against The Machine and Creed ทำให้จำนวนตั๋วเข้าชมที่มากถึง 250,000 ใบ ไม่เพียงพอสำหรับความต้องการของผู้ชมที่มีมากถึง 400,000 คน
และในที่สุดด้วยกระแสต่อต้านความเป็นทุนนิยมที่ถูกขับร้องผ่านบทเพลงต่างๆของไลน์อัพบนเวที เปรียบเสมือนดั่งการสัมผัสเหตุการณ์ในสถานที่จริงของผู้ชม จึงเกิดเป็นประวัติศาสตร์ที่เป็นโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกดนตรี มีเหตุการณ์ที่ไม่น่าจดจำหลายอย่างเกิดขึ้นในงานอย่างเช่น การที่วง Limp Bizkit กำลังแสดงอยู่บนเวที East Stage ในวันที่ 2 และชายฉกรรจ์บางกลุ่มได้ดึงแผ่นไม้ที่ติดไว้ใกล้กับเวทีมาทำเป็นการดานเซิฟท์อย่างสนุกสนาน
หรือจะเป็นการที่วง Rage Against The Machine ที่จุดไฟเผาธงชาติสหรัฐอเมริกากลางเวที และผู้คนได้เกิดอารมณ์ร่วมอย่างบ้าคลั่งจนกระทั่งรวบรวมฟืนอย่างไม้กระดาน ป้ายผ้า มาจุดเผาและปิดท้ายด้วยวง Red Hot Chili Peppers ที่ขึ้นโชว์เป็นวงปิดคอนเสิร์ตในวันสุดท้าย Flea มือเบสของวงได้ทำการเปลื้องผ้าแสดงสดโดยที่ไม่ใส่เครื่องนุ่งห่มใดๆ จนในท้ายที่สุดที่วงได้ Cover เพลงของ Jimi Hendrix ในบทเพลง Fire ทำให้ผู้คนวางเพลิงตามจุดต่างๆทั้งร้านค้า รถ โค่นเสาวิทยุ จนเกิดการจลาจลขึ้นในที่สุด