6 มี.ค. 2023 เวลา 08:24 • ประวัติศาสตร์

ประวัติศาสตร์ที่ปูตินจงใจให้ลืม...

"โซเวียต จีน รอดมาได้เพราะสหรัฐ"
มันอาจเป็นความจริงที่เสียดแทงใจทั้งปูตินและ สี่จิ้นผิง
รวมถึงกองเชียร์พวกเขาในปัจจุบันอย่างมาก...
...ดังนั้น พวกเขาจึงเลือกที่จะไม่พูดถึง...
...แม้จะรู้แก่ใจดีก็ตาม...
กับวลีข้างต้น เชื่อว่าคนจำนวนมากนั้นไม่รู้
จะด้วยปัญหาการเลือกรับสารหรืออย่างไรก็ตาม
แต่ความจริงมันสามารถยืนยันได้ ด้วยมูลค่ามูลหนี้
ที่รัสเซียซึ่งต้องรับผิดชอบต่อสหรัฐ จำนวน 1.8 แสนล้านเหรียญ ที่ถูกประเมินล่าสุด ในปี 2016 มันยังคาราคาซัง
เป็นค้างรับ ค้างจ่าย อยู่ในบัญชีของทั้ง สหรัฐ และรัสเซียในปัจจุบัน
...มันคือความจริงยิ่งกว่าจริง....
...แต่มันถูก จงใจทำให้ลืม....
เรื่องของเรื่อง....
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อต่อต้านการขยายตัวกของลัทธิจักรวรรดินิยม ทั้งไรซ์ของนาซี และญี่ปุ่น
หัวหอกสัมพันธมิตรตอนนั้นสามชาติ คือ อเมริกา อังกฤษ
และแคนาดา ได้ตั้งโครงการช่วยเหลือชาติที่จะเข้าร่วมต่อต้านฝ่ายจักรวรรดิอักษะ
ชื่อว่าโครงการ Lend-Lease
โครงการนี้ จะช่วยสนับสนุนยุทธปัจจัยต่างๆ
ให้กับชาติที่จะเข้าร่วมกับพวกเขา ในการต่อต้านอักษะ
เดิมทีนั้น โซเวียตทำท่าว่าจะอยู่กับฝ่ายฮิตเลอร์มากกว่า
เมื่อสตาลินทำสัญญาไม่รุกรานกับกับฮิตเลอร์
และจะสร้างจักรวรรดิร่วมกับนาซีและญี่ปุ่น
ตามทฤษฎีที่เรียกกันว่า Eurosia
( ทฤษฎีนี่จะแบ่งโลกกันเป็นสามส่วน โซเวียตมีหน้าที่
เป็นสะพานและแหล่งทรัพยากรของเยอรมันและญี่ปุ่น )
แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไป เมื่อฮิตเลอร์เกิดผีเข้า
โดยเข้าตีโปแลนด์และเลยเถิดไปตีโซเวียตต่อในปี 1941
1
...สาเหตุที่ฮิตเลอร์ทำแบบนั้น มีหลายทฤษฎี
แต่เป็นไปได้ว่า ฮิตเลอร์ต้องการทรัพยากรอย่างเร่งด่วนเพราะอิตาลีของมุโสลินี ไม่สามารถเผด็จศึกดินแดนแอฟริกาเหนือ เพื่อช่วงชิงทรัพยากรตามแผนได้....
1
ดังนั้นเมื่อนาซีบุกโซเวียตในปี 1941 สตาลินจึงต้องกลับลำมาพึ่งพาสหรัฐและพวก ผ่านทางโครงการ Lend-Lease นี้นั่นเอง
ในช่วงแรกของสงคราม โซเวียตของสตาลิน ซึ่งตอนนั้นอ่อนแอมากเพราะผลกระทบจากการแพ้สงครามติดๆมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าซาร์นิโคลัส จนถึงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง รวมถึงการเมืองภายในก็มีปัญหา
ทำให้โซเวียตไม่มีอะไรจะไปต่อกรกับทัพนาซี
ซึ่งตอนนั้นเยอรมันคือประเทศที่เรียกว่ามีระดับเทคโนโลยี
และอุตสาหกรรมที่น่าจะสูงที่สุดในโลก
สตาลินรู้สภาพดี ว่าโซเวียตแตกแน่
ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง แต่ก็ยังไม่อยากพึ่งพวก
สหรัฐแต่แรก จึงยังไม่ขอความช่วยเหลือ
และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เมื่อทัพนาซี ตีดินแดนทาง
ตะวันตกของโซเวียตในตอนนั้นจนยับเยิน
โซเวียตในตอนนั้น ความเจริญส่วนใหญ่ ก็อยู่ทางฝั่งตะวันตกนี่แหละ และเคียฟในยูเครน ก็จัดว่าเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น โดยเฉพาะในด้านอุตสาหกรรมต่างๆ
อยู่ในดินแดนที่ปัจจุบันคือยูเครนมากที่สุด
เมื่อเยอรมันตีดินแดนเหล่านี้แตก โซเวียตจึงไม่เหลือ
อะไรเลย ที่จะสู้กับทัพเยอรมันที่แข็งแกร่งได้
นอกจากดินแดนที่เหลืออยู่มากมายทางตะวันออก
แต่เมื่อมอสโกกำลังจะแตก สตาลินจึงต้องยอมในที่สุด
หลังจากอิดเอื้อนมานาน
(โซเวียตเข้าร่วมโครงการ Lend-Lease หลังจีน เพราะญี่ปุ่นนั้นยึดจีนมาก่อนหน้านั้นนานมาก จีนต้องการการสนับสนุนเพื่อขับไล่ญี่ปุ่นออกไปก่อน )
หลังจากนั้น ยุทธปัจจัยต่างๆจากสหรัฐก็ทะลักเข้าสู่
โซเวียตจำนวนมหาศาล และเป็นการช่วยเหลือทาง
ยุทธปัจจัยต่อชาติหนึ่งสู่อีกชาติหนึ่ง ที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
ถ้าใครคิดว่า ที่ตะวันตกให้ยูเครนเยอะมากในตอนนี้
บอกได้เลย ว่ามันเทียบไม่ได้สักเล็กน้อย
กับสิ่งที่สหรัฐ อังกฤษ และแคนาดาให้โซเวียตในตอนนั้น
เยอะขนาดไหน ลองมาดูกันคร่าวๆ
- ยานยนต์ เพื่อขนส่ง ใช้งานต่างๆ 400,000 คัน
- เครื่องบิน 14,000 ลำ
- รถแทรกเตอร์ 8,000 คัน
- รถถัง 13,000 คัน
ยังมียุทธปัจจัยยิบย่อยส่วนอื่นอีกนะ...
- ผ้าห่ม 1.5 ล้านผืน
- รองเท้าทหาร 15 ล้านคู่
- ฝ้าย 100,700 ตัน
- อาหารต่างๆ 4.5 ล้านตัน
( มีรายละเอียดเพิ่มเติมในลิ้งค์ แนบท้าย )
โดยช่องทางการส่งกำลังบำรุงจากสหรัฐให้รัสเซียนั้นมีสามช่องทาง คือ
1) จากสหรัฐโดยตรง ผ่านอลาสก้า เข้าทางรัสเซียตะวันออก โดยสหรัฐนั้นช่วยบุกเบิกดินแดนฝั่งตะวันออกของรัสเซียด้วย จนเป็นฐานผลิตอาวุธของรัสเซียเอง ในเวลาต่อมา
2) ผ่านกองเรือสินค้าของอังกฤษ ซึ่งตอนนั้นมีมากที่สุด
ในโลก โดยผ่านทั้งแอตแลนติก และอ้อมทางเหนือในมหาสมุทรอาร์คติก
3) ผ่านทางอินเดียเข้าสู่ตะวันออกกลาง ก่อนตัดเข้ารัสเซียทางอิหร่าน
( ช่องทางอินเดีย เป็นช่องทางที่ทางสหรัฐและอังกฤษรวมถึงออสเตรเลีย ใช้ส่งไปช่วยจีนด้วย )
เราจะเห็นว่าทางสหรัฐและพวก นั้นส่งให้ทุกอย่างนั่นแหละ ซึ่งนั่นบอกเราได้ถึงความขาดแคลนในทุกด้านของโซเวียตในเวลานั้น
และนี่ยังหมายรวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ เงิน ทองคำ
รวมถึงน้ำมันที่ตอนนั้นโซเวียตยังไม่มีศักยภาพในการผลิตแบบในปัจจุบัน...
ความช่วยเหลือทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นในช่วงปี 1941-1943
มีมูลค่ารวมในตอนนั้นถึง 1.13 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
มันมากมายมหาศาลมากเมื่อ 80 ปีก่อน ลองคิดสิ
ว่าราคาทองสมัยสงครามโลกนั้นมันไม่กี่ร้อยบาทไทยเท่านั้นเอง
ดังนั้นเมื่อประเมินกันอีกครั้งในปี 2016 ตัวเลขมันถึงมากมายไปถึง 1.8 แสนล้านเหรียญสหรัฐนั่นเอง
...และปัจจุบัน มันควรจะเท่าไหร่แล้วล่ะ และหนี้เหล่านี้ก็ยังไม่มีการจ่ายเลย มาจนถึงปัจจุบัน...
...ปัจจุบัน ที่พวกเขากลายเป็นคู่ขัดแย้ง ไม่ใช่พันธมิตรอีกแล้ว ซึ่งก็เดาได้เลย ว่ารัสเซียคงไม่จ่ายแน่ๆ...
( และรัสเซียก็ย้อนแย้งมาก เมื่อโดนทวง คือพวกเขาบอกว่าเป็นหนี้ของโซเวียตซึ่งจบไปแล้ว แต่กลับอ้างดินแดนเหนือโซเวียตอยู่เสมอ ในประเด็นยูเครน งงดิ 555)
ถ้าเราดูจากปัจจัยที่พันธมิตรส่งให้โซเวียตในเวลานั้น
เราจะพบเลยว่า โซเวียตแทบไม่มียุทธปัจจัยอะไรเลย
ขาดแคลนทุกสิ่งทุกอย่าง
ดังนั้น มันจึงเป็นไปไม่ได้ ที่จะบอกว่า โซเวียตนั้น
จะสามารถผ่านสงครามโลกครั้งที่สองมาได้
หากไม่ได้รับความช่วยเหลือ จากชาติซึ่งปัจจุบันพวกเขามองเป็นศัตรูอยู่ทุกวันนี้
แต่มันเป็น ประวัติศาสตร์ที่ถูกลืมเลือนด้วยความตั้งใจ
ที่จริงแล้ว หลังสงครามโลกครั้งที่สองจบใหม่ๆนั้น
สหรัฐเห็นว่าโซเวียตยังไม่สามารถฟื้นตัวจากสงครามได้
จึงไม่มีการทวงถามใดๆ และทำท่าเหมือนว่าจะยกหนี้ให้
หนำซ้ำตอนนั้นยังให้ความช่วยเหลือ
ในการฟื้นฟูจีนอย่างมาก และทำมาจนถึงยุคปิด
ประเทศของจีน
ในขณะที่โซเวียตนั้น ดูจะไม่รับความช่วยเหลือเพิ่ม
เพราะเหตุผลจากความไม่ไว้วางใจกันตั้งแต่เรื่อง
ระเบิดนิวเคลียร์ ซึ่งทางโซเวียตมองว่าสหรัฐอุบไต๋ว่ามี
ไปจนถึงการแบ่งเยอรมันเป็นสองส่วน
ทำให้สหรัฐกับโซเวียต ไม่ลงรอยกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
และกลายเป็นชนวนทั้งหมดของสงครามเย็น
แต่ปฏิเสธไม่ได้ ว่ารากฐานต่างๆที่เคยเป็นความช่วยเหลือของสหรัฐและพวก เช่น เทคโนโลยี
และการเปิดพื้นที่ฝั่งตะวันออกของโซเวียต
รวมถึงต้นแบบอาวุธต่างๆที่ทิ้งไว้ให้
มันมีส่วนอย่างมาก ที่สิ่งเหล่านี้ กลายเป็นปัจจัยในการพัฒนากองทัพโซเวียตให้แข็งแกร่งขึ้นมาได้
และต่อเนื่องมาจนถึงรัสเซียในปัจจุบันนั่นเอง
ดังนั้น มันไม่ใช่เรื่องเกินเลยแน่นอน ถ้าจะพูดว่า...
...ถ้าไม่มีสหรัฐและพวก ก็ไม่มีรัสเซียในปัจจุบัน
และชาวรัสเซียจะต้องพูดภาษาเยอรมัน และชาวเอเซียจะพูดภาษาญี่ปุ่น...
แต่ เพราะความขัดแย้งในช่วงสงครามเย็นมันมาก
ทำให้ทั้งทางโซเวียตและจีน พยายามอย่างมาก
ที่จะลบประวัติ และความจริงเหล่านี้ออกไป
พวกเขาพยายามไม่พูดถึงมัน
โดยหวังว่าเมื่อผ่านช่วงอายุของคนในสมัยสงคราม
ไปแล้ว คนในประเทศพวกเขาจะลืมเลือนไปเอง
การเปิดพิพิธภัณฑ์แห่งชัยชนะของกองทัพแดง
ในรัสเซียเมื่อปี 2005 ทางรัสเซียตัดประวัติศาสตร์
ในช่วงนี้ออกไปอย่างสิ้นเชิง
ในขณะที่ปูตินพูดในเวลาต่อมาว่า พวกเขาช่วยโลกเอาไว้
โดยไม่ได้กล่าวถึงความช่วยเหลือที่ได้รับช่วงสงครามเลย
และเป็นแบบนี้เช่นกัน ในจีนแผ่นดินใหญ่
ดังนั้น ประวัติศาสตร์ส่วนนี้ มันจึงไม่มีทั้งในจีน
และรัสเซียในปัจจุบัน
1
...คงเหลือไว้เพียงความรู้สึกเป็นศัตรูเท่านั้น....
ประวัติศาสตร์โลก บางครั้งก็ซับซ้อนซ่อนเงื่อน
มิตรแท้จริง ศัตรูถาวร มันไม่เคยมี
แม้แต่อังกฤษกับสหรัฐ ก็รบกันมาก่อน
แต่ การลบหรือบิดเบือนประวัติศาสตร์ เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองเฉพาะหน้าของผู้มีอำนาจนั้นนั้น ออกจะเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ
เพราะสุดท้ายแล้ว มันจะสร้างความขัดแย้งมากกว่า
และบ่อยครั้ง มันกลายเป็นประเด็นให้เกิดสงคราม
เช่นที่เกิดขึ้นในยูเครนตอนนี้
...ประวัติศาสตร์ของคู่ขัดแย้งทั่วโลก มันมีไว้ให้ผู้คนศึกษาถึงความผิดพลาดของบรรพบุรุษตน เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นในอนาคต...
...ผู้มีอำนาจที่ดี ย่อมยกทั้งช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งและมิตรภาพมาตีแผ่ เพื่อให้คนในสังคมรับทราบ เพื่อป้องกันความขัดแย้ง
...แต่ผู้นำบางคน เพียงเพื่ออำนาจของตน เพื่อความนิยมของตน จะเลือกใช้เฉพาะช่วงเวลาแห่งความขัดแย้ง มา
สร้างคะแนนนิยมให้ตน ด้วยการสร้างลัทธิชาตินิยม
จากประวัติศาสตร์ที่จงใจบิดเบือน และจงใจเพิ่มความขัดแย้ง เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง....
...และนั่นมักจบด้วยความขัดแย้งที่รุนแรง
และกลายสงครามเสมอ...
...ไม่น้อยหรอก ผู้มีอำนาจที่ทำแบบนั้นน่ะนะ...
...แถวๆนี้ก็มีมั้ง ไอ้พฤติกรรมสร้างศัตรูในจินตนาการ ปลุกผีชาตินิยมเนี่ย...
1
...อ้อ ผมหมายถึงคนปลุกกระแสกุนขแมร์นะ 555....
อ้างอิง
โฆษณา