ซึ่งต่อมาเขาได้เป็นผู้ขับเคลื่อนวงการ City Pop และได้ทำเพลงที่เรารู้จักกันทุกวันนี้อย่างเช่น "Plastic Love" ที่ถูกขับร้องโดย มาริยะ ทาเคอุจิ หรือเพลง "Ride on Time" ที่เขาเป็นผู้รังสรรค์ด้วยตัวเอง
ภาพปกเพลง Plastic Love - มาริยะ ทาเคอุจิ | ภาพปกเพลง Ride on Time - ยามาชิตะ ทัสซึโระ โดย https://en.wikipedia.org/wiki/Plastic_Love และ https://en.wikipedia.org/wiki/Ride_on_Time_(Tatsuro_Yamashita_song)
ถึงแม้ว่าเพลง City Pop จะเป็นที่ดึงดูดของผู้คนทั้งในยุคนั้นหรือยุคนี้ แต่ก็มีอีกส่วนนึงที่นักวิจารณ์เพลงมองว่าสิ่งนี้ไม่ใช่แนวเพลงหรือ "Music genre" ใหม่แต่อย่างใด เนื่องจากองค์ประกอบดนตรีนั้นมันเหมือนเพลง Funk ที่ผสมกับ Disco และ R&B มากเกินไป จึงไม่สามารถจำแนกว่าเป็นเพลงแนวใหม่ได้
ในช่วงทศวรรษที่ 1990 ประเทศญี่ปุ่นต้องประสบกับภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่แตกที่ถูกเรียกว่า "The lost decade" ทำให้เกิดภาวะเงินฝืดอย่างหนัก และยังมีการมาถึงของแนวเพลงแบบ "Pop Idol" และเพลง "Rock" ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนั้น จึงเกิดเป็นทิศทางใหม่ของแนวเพลงในขณะนั้น ทำให้เพลง City Pop จางหายไปในที่สุด
ทั้งนี้ก็ยังมีเพลงอีกหลายแนวที่มีรากฐานมาจาก City Pop ที่เกิดขึ้นระหว่างทางก่อนการกลับมาถูกค้นพบอีกครั้งในปี 2017 ยกตัวอย่างเช่น Shibuya-Kei หรือ Future Funk นอกจากนี้ในหลากหลายประเทศก็ยังมีศิลปินอีกหลากหลายท่านที่ได้รับแรงบันดาลใจจากแนว City Pop ยกตัวอย่างเช่นที่ประเทศไทยก็มีศิลปินหลากหลายท่านที่ทำเพลงแนวนี้ออกมา อย่างเพลงของคุณเต๋อ เรวัต พุทธินันทน์ ที่เคยทำเพลงแบบ City Pop ออกมาในบทเพลง "สองเราเท่ากัน"
และนี่คือ City Pop บทเพลงนิยามชีวิตแบบผู้ดีตะวันออกและดนตรีที่เปรียบเสมือนสมบัติก่อนที่ตะวันลับขอบฟ้าเข้าสู่ช่วงวิกฤตการณ์ในแดนอาทิตย์อุทัยและการถูกค้นพบอีกครั้ง