Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ธเนศเล่าขาน "ทานทางปัญญา"
•
ติดตาม
17 มี.ค. 2023 เวลา 03:12 • การศึกษา
การเรียนหนังสือในสมัยก่อนมีโรงเรียน
การศึกษาแบบโบราณของไทยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยมาจนถึงสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นการศึกษาชนิดที่ไม่มีแบบแผน (informal education) ไม่มีโรงเรียน สำหรับเรียนหนังสือโดยเฉพาะ ไม่มีหลักสูตรว่าจะเรียนวิชาอะไรบ้าง เรียนมากน้อยแค่ไหนเพียงไร เวลาเรียนตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมง ไม่มีการวัดผลการศึกษา ไม่มีแผนการศึกษา รัฐไม่ได้เป็นผู้จัดการศึกษาโดยตรง มอบให้วัดเป็นผู้จัดตามกำลังความสามารถของแต่ละวัด พระสงฆ์ที่เป็นครูไม่ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงิน เป็นไปในรูปแบบแรงงาน
การศึกษาของเด็กชายมักจะเริ่มตั้งแต่โกนจุกแล้วคือประมาณอายุ 11 -13 ขวบ พ่อแม่มักจะส่งให้ไปอยู่วัดเพื่อเรียนหนังสือและวิชาต่าง ๆ ที่พระสามารถสอนได้ ส่วนการเรียนวิชาความรู้สาขาใดสาขาหนึ่งเป็นพิเศษนั้นมีน้อยมาก นอกจากลูกของเจ้านายหรือข้าราชการชั้นสูง ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 3 -4 พวกคนชั้นสูงเริ่มนิยมเรียนวิชาการแบบยุโรป เช่น ความรู้เรื่องเครื่องจักรกลไก วิชาเดินเรือ และวิชาปรัชญาตะวันตกกันบ้าง ต้องจ้างฝรั่งมาเป็นคนสอน พวกจีนที่มั่งคั่งร่ำรวยก็นิยมจ้างครูฝรั่งมาสอนเช่นเดียวกัน
สำหรับวิชาช่างฝีมือนั้น สอนกันอยู่ในครอบครัวไม่ใคร่เผยแพร่ให้คนนอกสกุลรู้ บางทีพวกที่มีอาชีพอย่างเดียวกันมาอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้าน ในสมัยรัตนโกสินทร์มีพวกสืบสกุลการช่างต่าง ๆ อยู่รวมกันเป็นแห่ง ๆ เช่น ที่ตำบลบ้านบาตร บ้านพาน บ้านดอกไม้ (เพลิง) บ้านบุ บ้านช่างหล่อ และถนนตีทอง เป็นต้น
ผู้ปกครองมักไม่นิยมให้ลูกผู้หญิงเรียนวิชาหนังสือ ชอบให้อยู่บ้านหรือมิฉะนั้นก็ส่งไปเป็นเด็กรับใช้อยู่ในวังเจ้านายหรือบ้านข้าราชการผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ รับการอบรมมารยาทสมบัติของผู้ดีและเรียนวิชาของลูกผู้หญิงเพื่อเป็นแม่บ้านที่ดี จึงมีผู้หญิงน้อยคนอ่านหนังสือออก
การศึกษาตามวัดนั้น สถานที่เรียนสำหรับเด็กมีอยู่หลายแห่งด้วยกัน ตั้งแต่ตามกุฎิของพระอาจารย์บ้าง ไปเรียนที่วิหารบ้าง ที่หอสวดมนต์บ้าง และที่หอฉันบ้างแล้วแต่ความสะดวกและเหมาะสม ทั้งนี้ต้องแล้วแต่ครูใหญ่หรือเจ้าอาวาสด้วย ถ้าในวัดมีนักเรียนมาก อาจให้เด็กมาเรียนร่วมกันในที่กว้าง ๆ เช่นในหอฉันหรือในหอสวดมนต์ ถ้ามีนักเรียนน้อยก็ให้แบ่งเรียนกันตามกุฏิหรือตามคณะตามแต่จะสะดวก นักเรียนนั้นมีอยู่ 3 ประเภทคือ
1. นักเรียนที่เป็นพระภิกษุ เป็นนักเรียนที่มีอายุมาก ตั้งแต่อายุครบอุปสมบทและอุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้วเป็นต้น นักเรียนภิกษุเหล่านี้เรียนวิชาทางศาสนาแบ่งออกเป็น 2 พวก พวกคันถธุระ คือพวกศึกษาเล่าเรียนทฤษฎีพระปริยัติธรรม และพวกวิปัสสนาธุระคือพวกปฏิบัติธรรม
2. นักเรียนที่เป็นสามเณร เป็นนักเรียนที่มีอายุตั้งแต่ 11 ขวบขึ้นไปภายหลังที่ได้โกนจุกแล้วบวชเป็นสามเณร พวกนี้ตามปกติต้องอ่านออกเขียนได้มาตั้งแต่เป็นศิษย์วัดแล้ว
3. นักเรียนที่เป็นศิษย์วัด เป็นนักเรียนชั้นมูลอายุตั้งแต่ 7 - 8 ขวบขึ้นไป แล้วแต่พ่อแม่จะมีความประสงค์ให้ศึกษาเล่าเรียนจนถึงอายุ 20 ปี (ถ้าไม่บวชเณร) มีแบ่งออกเป็น 2 พวก พวกหนึ่งพ่อแม่นำมาฝากเป็นศิษย์วัด กินอยู่หลับนอนที่วัดเสร็จ อีกพวกหนึ่งเป็นเด็กเช้าไปเย็นกลับ โดยมากก็มีบ้านช่องอยู่ใกล้วัด สะดวกแก่การไปมา พ่อแม่พามาฝากไว้ให้ศึกษาเล่าเรียนที่วัด ดู ๆ ก็คล้ายนักเรียนประจำและนักเรียนเช้าไปเย็นกลับในปัจจุบัน
1
ส่วนเวลาที่ศึกษาเล่าเรียนนั้นย่อมแล้วแต่ความสะดวกและกิจวัตรของพระภิกษุผู้เป็นอาจารย์ ตามปกติแล้วในตอนเช้ามืด นักเรียนที่เป็นพระภิกษุและสามเณรมักจะตื่นขึ้นท่องวิชาที่เรียนมาแล้วให้จำได้แม่นยำ แล้วจึงจะครองผ้าออกไปบิณฑบาต กว่าจะเสร็จจากบิณฑบาตและฉันเช้าแล้ว มักจะเป็นเวลาราว 8 นาฬิกา หรือกว่านั้น ระหว่างนี้บรรดาศิษย์วัดเขาจะต้องช่วยปรนนิบัติพระจนกว่าจะฉันเสร็จ ต่อจากนั้นจึงจะเริ่มศึกษาเล่าเรียนกันในชั้นเรียน
อาจารย์จะสอนและศิษย์ก็เรียนกันไป ต่างพวกต่างเรียนจนถึง 10.00 น. หรือ 10.30 น. ก็หยุดสอนหยุดเรียนกัน เพื่อเตรียมจังหันถวายพระเวลาเพล และปฏิบัติพระ
บางวัดอาหารที่บิณฑบาตมาไม่เพียงพอสำหรับตอนเพล พวกศิษย์วัดรุ่นโต จะต้องหุงหาอาหารถวายพระ เมื่อพระฉันเรียบร้อยแล้วเป็นเวลาเรียนลำพัง เพราะอาจารย์มักจะจำวัดไปจนบ่ายโมง หรือบ่าย 2 โมง แล้วจึงจะลงมือสอนรอบบ่ายไปจนถึงบ่าย 4 โมง หรือกว่านั้นจึงเลิก พวกเด็กไปมากลับบ้านได้ ส่วนศิษย์วัดนั้นเป็นเวลาพักผ่อน
การเรียนส่วนใหญ่ใช้ท่องบ่นให้จำได้ ไม่มีการส่งเสริมให้ใช้ความคิดริเริ่มแต่อย่างไร ครูเป็นผู้ต่อหนังสือให้เมื่อต่อแล้วศิษย์ก็เอาไปท่องจำหรือหัดเขียนเอาเอง เพราะฉะนั้นในห้องเรียนจึงเซ็งแซ่ไปด้วยเสียงท่องเสียงอ่าน ไม่มีความสงบ การลงโทษเป็นการลงโทษแบบเจ็บกายเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเรียนหนังสือไทยจบอ่านออกเขียนได้แล้ว
พวกนักเรียนพระและนักเรียนสามเณรก็เรียนหนังสือขอม (แต่เรียกว่าบาลี) เพื่ออ่านคัมภีร์พระพุทธศาสนา เพราะคัมภีร์ต่าง ๆ เขียนด้วยอักษรขอมทั้งนั้น แล้วสอบเป็นเปรียญประโยคต่าง ๆ ส่วนการเรียนภาษาไทยนั้นเรียนกันไปเรื่อย ไม่มีการสอบเพื่อเลื่อนชั้นเหมือนทางฝ่ายพระปริยัติธรรม เรียนเรื่อยไปเท่าที่ความสามารถของแต่ละคนจะอำนวยให้
การเคารพครูบาอาจารย์นั้นสูงยิ่ง จะต้องกราบหนังสือหรือกระดานชนวนซึ่งถือว่าเป็นครูเหมือนกัน 3 หน เวลาเลิกก็ต้องกราบอีก 3 หน ถ้าเผลอไปเดินข้ามหนังสือหรือข้ามกระดานชนวนก็ต้องกราบขอโทษ ทำกระดานตกกระดานล้มก็ต้องกราบ จะเข้าไปหาครูต้องกราบ 3 หน กลับออกมาก็ต้องกราบอีก 3 หน เช่นเดียวกัน
วันหยุดคือวันโกนและวันพระ บางทีวันโกนหยุดครึ่งวัน วันพระหยุดเต็มวันแล้วแต่เจ้าอาวาส วันหยุดพิเศษย่อมแล้วแต่ว่าวัดมีงานหรือไม่ ถ้ามีงานเทศน์มหาชาติ ก่อพระเจดีย์ทรายไม่มีที่สำหรับเรียนหนังสือก็ต้องหยุดเรียนกันเป็นธรรมดา
ตำราเรียนที่ใช้กันมามีทั้งตำราเรียนหนังสือธรรมดาและตำราเรียนวิชาชีพที่เรียกว่าตำราพิเศษศึกษาตำราเรียนธรรมดาสำหรับเรียนอ่านเขียนมีอยู่ 5 เล่ม คือหนังสือประถม ก กา เป็นหนังสือหัดอ่านเบื้องต้นเมื่ออ่านเขียนจบแล้วจึงใช้หนังสือ สุบินกุมาร ซึ่งเป็นหนังสือสำหรับสวด ดังที่หนังสือประถม ก กา เขียนไว้ว่า
“...ครั้นเข้าเรียนได้ พระคุณท่านใช้ ให้เขียน ก ข จำได้จนจบ คำรบถึงฮ. ให้เขียนกนต่อ ไปถึงเกยกาย แจกเกยกายเล่า พระชีต้นเจ้า ท่านจึงเขียนทาย ฝืดเคืองนักหนา เล่าหาแทบตาย อ่านได้คลับคล้าย ให้สวดสุบิน...”
หรือในหนังสือสังข์ทองที่มีว่า “...เจ้าเงาะนอนถอนหนวดสวดสุบิน เล่นลิ้นละลักยักลำลำ...”
หนังสือสุบินกุมารนี้มีอยู่หลายสำนวนด้วยกัน เช่น หนังสือพระสุบิน ก กา ซึ่งนายมีเป็นผู้แต่งและนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเจ้าฟ้ามงกุฎฯ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ) เมื่อพ.ศ. 2360 อีกสำนวนหนึ่งคือหนังสือสุบินคำกาพย์ หรือที่เรียกกันว่าหนังสือสวด สำนวนนี้ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง เป็นหนังสือที่มีค่าทั้งในด้านวรรณคดีและด้านจริยศึกษา
เนื้อเรื่องเป็นนิทานคติธรรมสอนใจเห็นโทษของการทำบาปและคุณของการทำบุญชักจูงให้ประพฤติแต่ความดี เช่น สุบินกุมารซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่อง เป็นผู้มีความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา และเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนา ได้ลามารดาออกบวชตั้งแต่อายุ 7 ปี อำนาจบุญกุศลทั้งปวงที่สุบินได้กระทำ สามารถช่วยบิดามารดาให้พ้นจากทุกข์ทรมาน อันเกิดจากบาป ซึ่งได้กระทำเมื่อยังดำรงชีวิตอยู่
เรื่องสุบินคำกาพย์นี้ นอกจากจะเป็นหนังสือที่มีคติเป็นแนวทางที่ดียิ่งในการดำเนินชีวิตแล้วยังให้ความรู้ในเรื่องประเพณีต่าง ๆ เช่น ประเพณีบวชนาคเป็นต้น ขอนำตัวอย่างมาแสดงไว้ ณ ที่นี้
“ออกมานุ่งผ้าสบง ทรงจีวรอีกอังสา สังฆาฏิพาดบนบ่า คาดรัตคดงามสบสม ไปสู่กรรมวาจา ทำวันทามือประนม ขอศีลไตรสรณาคม นั่งเคารพน้อมศีโร จึงท่านกรรมวาจา จับตาลปัตรเล่มหนึ่งโต ป้องหน้าตั้งนะโม ว่าทำนองเสียงดังดัง ให้ศีลว่าพุทธัม คำสังสกฤตเพราะควรฟัง ครั้นจบว่าพุทธัง เป็นคำสยามตามภาษา เจ้านาครับศีลจบ กราบนอบน้อมวันทนา ไปสู่พระอุปัชฌาย์ ว่ากัตวานิสสยัง”
เมื่อเรียนหนังสือสุบินกุมารแล้วก็เรียนหนังสือประถมมาลา ประถมจินดามณีเล่ม 1 และประถมจินดามณีเล่ม 2 หนังสือประถมจินดามณีเล่ม 1 คือฉบับที่พระยาโหราธิบดีแต่งไว้ตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ส่วนเล่ม 2 พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงวงศาธิราชสนิททรงนิพนธ์ขึ้นตามพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวในตอนปลายรัชกาล ส่วนตำราเรียนพิเศษนั้นมี ตำราหมอดู ตำราหมอยา ตำราวิชาเลขโจทย์ค้าขาย คือเลขวิธีต่าง ๆ ตั้งแต่ท่องสูตรคูณถึงแม่เก้า การท่องสูตรคูณ
ในสมัยนั้นท่องได้ด้วยความยากลำบากยิ่ง เพราะไม่ใช้ตัวเลขภาษาไทยสำหรับท่อง สองหนึ่งสอง สอง ๆ สี่ สองสามหกอย่างสมัยนี้ แต่ต้องท่องเป็นภาษาบาลี คือ โทเอกาโท 2 โทโท 4 โทตรีฉอ 6 โทจัตวา 7 โทเบญ 10 ทัศ โทฉอ 12 โทสัตต์ 14 โทรอัฐ 16 โทนพ 18 (ท่องเพียง 2 เก้า 18 เท่านั้น) ต่อจากท่องสูตร แล้วก็เรียนบวก ลบ คูณ หาร มาตราชั่งตวงวัด เสนา หน้าไม้ ฯลฯ ตำราวิชาช่างทองและตำราวิชาเสมียน
เครื่องใช้ในการเรียนของเด็กมีกระดานดำกับดินสอ ส่วนกระดานที่ทำด้วยหินชนวนนั้นเพิ่งมามีภายหลังกระดานดำทำด้วยไม้ อาจทำด้วยไม้ทองหลางหรือไม้งิ้ว กว้างราว 50 เซนติเมตร ยาว 75 เซนติเมตร ทาด้วยเขม่าให้มีสีดำแล้วเอากระเบื้องถ้วยชามมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำรักทาทับอีกครั้งหนึ่งใช้เม็ดสะบ้าหรือหอยเบี้ยตัวโต ขัดให้เรียบเข้าเนื้อกระดาน ส่วนดินสอนั้นใช้ดินสอพองมาป่นให้ละเอียดผสมน้ำคลึงให้เป็นแท่ง ใช้น้ำใบตำลึงคั้นเหยาะผสมในเวลาปั่นด้วย เพื่อไม่ให้ดินสอพองนั้นเปื่อยยุ่ยในเวลาเขียน
สำหรับนักเรียนชั้นสูงขึ้นไปใช้สมุดทำด้วยกระดาษข่อยเขียนด้วยปากกาไม้ไผ่ หรือขนไก่ ขนนก ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น และเมื่อถึงขั้นสูงพวกจารหนังสือ ใช้ใบลาน และเหล็กสำหรับจารหนังสือแล้วใช้เขม่าลูบตามรอยจารึก เพื่อให้ติดเป็นตัวอักษรสีดำ หรือพลิกแพลงอย่างอื่นเพื่อให้งดงามยิ่งขึ้น เช่นมีการปิดทองร่องชาติ เป็นต้น
--------------------
ประมวล/สรุปจาก..พงศ์อินทร์ ศุขขจร(ประวัติการศึกษาไทย, 2512)
https://www.blockdit.com/tanes009
Cr. เจ้าของภาพ
ประวัติศาสตร์
โรงเรียน
หนังสือ
1 บันทึก
1
4
1
1
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย