24 มี.ค. 2023 เวลา 13:19 • ประวัติศาสตร์

ฉายาของประเทศต่าง ๆ : EP.1 East Asia

หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า Land of Smiles หรือสยามเมืองยิ้ม ว่าเป็นฉายาของประเทศไทยในสายตาชาวโลกมากันบ้างแล้วใช่มั้ยครับ แม้ว่าตอนนี้ความเป็นสยามเมืองยิ้มจะยังมีอยู่หรือไม่ก็ตาม แต่ถ้าไปถามชาวต่างชาติคนไหน (ที่อาจจะต้องมีอายุนิดนึง) หลายคนก็ยังคงจดจำชื่อว่าประเทศไทยว่าเป็น Land of Smiles ได้อยู่ดี
6
แล้วเคยสงสัยกันมั้ยว่าประเทศอื่น เค้ามีฉายาประจำประเทศกันว่าอะไรบ้าง วันนี้ Kang’s Journal ขอพาไปรู้จักกับฉายาของประเทศในเอเชียตะวันออกกันว่า พวกเค้ามีฉายาว่าอะไรกันบ้าง และฉายาเหล่านั้นได้มาได้ยังไง
1. เกาหลีใต้ : South Korea, Land of the Morning Calm
สายหมอกยามเช้าตามขุนเขาของประเทศเกาหลี (Source: Wallpaper Flare)
สำหรับคนไทย เราอาจจะเรียกเกาหลีใต้ว่าแดนกิมจิ หรือแดนโสมขาว แต่สำหรับชาวต่างชาติ เกาหลีใต้ได้รับฉายาว่า "Land of the Morning Calm : ดินแดนแห่งรุ่งอรุณอันเงียบสงบ" ชื่อนี้จริง ๆ แล้วเป็นชื่อที่ใช้เรียกดินแดนในคาบสมุทรเกาหลีทั้งหมดมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยที่ประเทศเกาหลียังคงรวมตัวกันเป็นปึกแผ่น ก่อนที่จะมาแยกเป็นเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้หลังสงครามเกาหลีสิ้นสุดลง
2
ส่วนที่มาของฉายานั้น มาจากการที่คาบสมุทรเกาหลี คือดินแดนแห่งแรกในแผ่นดินใหญ่ของทวีปเอเชียที่พระอาทิตย์จะขึ้นต่อจากประเทศญี่ปุ่น และด้วยความที่พื้นที่ของเกาหลีประกอบไปด้วยภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้เป็นส่วนใหญ่ ทำให้ในตอนเช้ามักจะมีสายหมอกลอยเอื่อย ๆ อยู่บริเวณหุบเขาและหมู่บ้านเป็นประจำ
4
สายหมอกยามเช้าตามเชิงเขาในเกาหลี (Source : https://www.cheemastravel.com/journal/2021/6/24/land-of-the-morning-calm-south-korea)
ชาวต่างชาติที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับเกาหลีในสมัยก่อนต่างบันทึกไว้ว่าเกาหลีในตอนนั้นเต็มไปด้วยวัดต่าง ๆ ที่สร้างอยู่ตามไหล่เขา พร้อมกับผู้คนที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ภาพของผู้คนที่ตื่นมาใช้ชีวิตยามเช้าแบบช้า ๆ ไม่รีบร้อน ท่ามกลางสายหมอกเอื่อย ๆ ล้อมรอบด้วยภูเขาเขียวขจี และวัดวาอารามสวยงาม เป็นที่มาของฉายา Land of the Morning Calm นั่นเอง
3
อย่างไรก็ตาม มีการกล่าวกันว่าจริง ๆ แล้ว Land of the Morning Calm น่าจะเป็นการแปลมาจากชื่อเรียกของประเทศเกาหลีในสมัยก่อนที่มีชื่อว่า Chosun หรือโชซอน ซึ่งมาจากชื่อของอาณาจักรโบราณที่เรืองอำนาจแห่งแรกในคาบสมุทรเกาหลีที่มีชื่อว่า โกโชซอน ก่อนที่จะอาณาจักรนี้จะล่มสลายไปเมื่อประมาณ 2000 ปีก่อน ก่อนที่จะมีอาณาจักรต่าง ๆ สืบต่อมา และหนึ่งในนั้นคืออาณาจักรโคกูรยอ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ Korea หรือประเทศเกาหลีในปัจจุบัน
1
ความงดงามของ The Land of the Morning Calm (Source: iStock)
2. เกาหลีเหนือ : North Korea, The Hermit Kingdom
วันที่ 27 กรกฎาคม 1953 คือวันที่สงครามเกาหลีสิ้นสุดลง เกาหลีที่เคยเป็นปึกแผ่น ได้ถูกแยกออกเป็น 2 ประเทศคือเกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความแตกต่างระหว่างทั้งสองประเทศ ที่มีประชากรเป็นชนชาติเดียวกัน
1
เกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้ ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเทศที่เส้นละติจูดที่ 38 (Source: https://www.cbsnews.com)
ในขณะที่เกาหลีใต้ผ่านมรสุมทางการเมืองมามากมาย แต่สุดท้ายพวกเขาก็เปิดประเทศ และสามารถพัฒนาเศรษฐกิจขึ้นมา จนกลายเป็นหนึ่งในประเทศพัฒนาแล้วที่โดดเด่นด้านเทคโนโลยี และวงการบันเทิง ในทางกลับกันเกาหลีเหนือ กลับตกอยู่ใต้การปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์แบบสมบูรณ์แบบ ลัทธิบูชาตระกูลคิมถูกนำมาใช้ จนสุดท้ายเศรษฐกิจก็พังพินาศ และผู้คนต้องทุกข์ทรมานจากภาวะแร้นแค้น
1
แต่สิ่งที่ทำให้เกาหลีเหนือได้ฉายา "The Hermit Kingdom : ดินแดนฤาษี" คือการที่เกาหลีเหนือตัดสินใจปิดประเทศ พึ่งพาตนเอง คนในไม่สามารถออก คนนอกไม่สามารถเข้าได้ ไม่มีการค้าขายหรือปฏิสัมพันธ์ใดใดกับต่างชาติ ยกเว้นกับจีนและรัสเซีย เปรียบได้กับฤาษีจะมักจะปลีกวิเวกอยู่ตัวคนเดียว ไม่สนใจใครนั่นเอง
1
รูปปั้นของคิม อิล ซุง และคิม จอง อิล ผู้นำเผด็จการของเกาหลีเหนือ ที่ปกครองประชาชนด้วยการใช้ Propaganda ต่าง ๆ (Source: Arab News)
จริง ๆ แล้ว The Hermit Kingdom เป็นชื่อที่ใช้เรียกประเทศที่มีนโยบายปิดประเทศ ซึ่งในปัจจุบันมีเพียงไม่กี่ประเทศในโลกเท่านั้น ที่ยังดำเนินนโยบายนี้อยู่ แต่เกาหลีเหนือคือประเทศที่ปิดมากที่สุด ดังนั้นฉายานี้จึงตกเป็นของเกาหลีเหนือไปโดยปริยาย ในเอเชียกลาง ประเทศที่ไม่ค่อยคบค้าสมาคมกับประเทศอื่นอย่างเติร์กเมนิสถานก็มีฉายาว่า The Hermit Kingdom of Central Asia เช่นกัน
1
พรมแดนระหว่างเกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้ เป็นหนึ่งในพรมแดนที่มีการรักษาความปลอดภัยหนาแน่น และเข้มงวดที่สุดในโลก (Source: ndtv.com)
3. ภูฐาน : Bhutan, Land of the Thunder Dragon
ประเทศเล็ก ๆ ในเทือกเขาหิมาลัย แต่มีฉายาอันยิ่งใหญ่ว่า "Land of the Thunder Dragon : ดินแดนแห่งมังกรสายฟ้า" จริง ๆ แล้วชื่อนี้เป็นการแปลมาจากคำว่า Druk Yul ซึ่งเป็นคำที่คนภูฐานใช้เรียกประเทศของตนเอง และถ้าใครเคยเห็นธงของประเทศแห่งนี้ จะเห็นว่ามีมังกรอยู่ตรงกลาง เจ้ามังกรตัวนี้แหละที่มีชื่อว่า Druk หรือ มังกรสายฟ้า และถือเป็นสัตว์ประจำชาติของภูฐานอีกด้วย ส่วน Yul ก็แปลว่าดินแดนนั่นเอง
ธงประจำชาติของภูฐาน และมังกร Druk ที่อยู่ตรงกลาง (Source: Wikipedia)
แล้วมังกรสายฟ้ามีที่มามาจากไหน ถ้าดูจากแผนที่เราจะเห็นว่าภูฐานตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาสูง โอบล้อมไปด้วยเทือกเขาหิมาลัย หนึ่งในสถานที่ที่มีสภาพอากาศแปรปรวนที่สุดในโลก ประเทศภูฐานที่ตั้งอยู่ในแอ่งกะทะจึงมีฝนฟ้าคะนอง และฟ้าผ่าหลายครั้ง จนผู้คนในแถบนั้นเชื่อว่า ฟ้าที่ผ่าลงมาคือสายฟ้าจากมังกรที่อาศัยอยู่เบื้องบน พวกเขาจึงเรียกดินแดนแถบนี้ว่าดินแดนแห่งมังกรสายฟ้านั่นเอง
2
นอกจากจะอยู่บนธงประจำชาติแล้ว ในปัจจุบันพระมหากษัตริย์ของภูฐานจะมีฐานะเป็น Druk Gyalpo หรือราชาแห่งบัลลังก์มังกร ซึ่งในปัจจุบันก็คือสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก
วัดทักซัง หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดของภูฐานในฤดูหนาว (Source: Pinterest)
4. ญี่ปุ่น : Japan, Land of the Rising Sun
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าฉายาของประเทศญี่ปุ่น คือดินแดนอาทิตย์อุทัย สัญลักษณ์วงกลมสีแดงขนาดใหญ่ตรงกลางธงชาติ แสดงให้เห็นว่าพระอาทิตย์มีความสำคัญกับประเทศแห่งนี้มากขนาดไหน
ธงชาติญี่ปุ่น ที่มีสัญลักษณ์พระอาทิตย์สีแดงตรงกลาง (Source: https://www.kcpinternational.com)
ชาวยุโรปรู้จักกับเกาะญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกจากบันทึกของมาร์โคโปโลที่เดินทางมาถึงตอนใต้ของประเทศจีน ในตอนนั้นชาวพื้นเมืองบอกว่า มีดินแดนอีกแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกซึ่งพวกเขาเรียกดินแดนแถบนั้นว่า Ji-Pang ซึ่งแปลว่า “จุดกำเนิดของดวงอาทิตย์” และคำว่า Ji-Pang ก็ค่อย ๆ เพี้ยนมาเป็น Japan ในปัจจุบันนั่นเอง
ส่วนชาวญี่ปุ่นจะเรียกชื่อประเทศตนเองว่า Nihon ซึ่งแปลว่า “สถานที่ที่พระอาทิตย์ขึ้น” โดยมีบันทึกไว้ว่ามีการใช้ชื่อนี้มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 เรื่องที่น่าสนใจคือนักวิชาการคาดการณ์กันว่าญี่ปุ่นเองต้องการแสดงออกถึงความยิ่งใหญ่ของตนเองต่อจีน จึงเรียกดินแดนของตนเองว่า สถานที่ที่พระอาทิตย์ขึ้น เพราะถ้ามองจากประเทศจีน พระอาทิตย์ก็จะขึ้นมาจากทางประเทศญี่ปุ่นก่อน
ภาพดวงอาทิตย์ ขึ้นเหนือภูเขาไฟฟูจิ (Source: https://peapix.com)
จดหมายฉบับแรก ๆ ที่จักรพรรดิญี่ปุ่น เขียนถึงจักรพรรดิจีน เขียนจ่าหน้าว่า “From the Emperor of the Land of the Rising Sun to the Emperor of the land of the Setting Sun : จากจักรพรรดิแห่งดินแดนอาทิตย์อุทัย ถึงจักรพรรดิแห่งดินแดนอาทิตย์อัสดง" ถ้าคิดกันดูดีดีแล้วก็ดูเป็นคำจ่าหน้า ที่แฝงไปด้วยความจิกกัดไม่เบา แต่แม้ความจริงจะเป็นยังไงก็แล้วแต่ ชื่อ Land of the Rising Sun ก็ยังคงเป็นฉายาที่ติดปากของประเทศญี่ปุ่นมาจนถึงทุกวันนี้
4
5. มองโกเลีย : Mongolia, Land of the Eternal Blue Sky
มองโกเลีย ประเทศที่อยู่ระหว่างประเทศจีนและรัสเซีย ประเทศที่สร้างโดยเจงกิสข่าน หนึ่งในผู้นำที่น่าเกรงขามที่สุดของโลก เป็นหนึ่งในประเทศที่คนไทยไม่ต้องใช้วีซ่าในการเข้าประเทศ และเป็นประเทศที่มีความหนาแน่นของประชากรน้อยที่สุดในโลก
มองโกเลีย ดินแดนแห่งฟ้าสีคราม (Source: https://www.unwildplanet.com)
สาเหตุที่มองโกเลียได้ชื่อว่าดินแดนแห่งฟ้าสีครามนั้น เป็นเพราะมองโกเลียตั้งอยู่บนที่ราบสูง มีพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นทะเลทรายโกบี ทะเทรายที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก และมีที่ราบทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไพศาล มีต้นไม้ไม่มากนัก ทำให้มองโกเลียเป็นประเทศที่ค่อนข้างแห้งแล้ง ความชื้นต่ำ ไม่ค่อยมีฝนตก และมีฟ้าใสตลอดทั้งปี ว่ากันว่า 2 ใน 3 ของปี หรือประมาณ 250 วัน ท้องฟ้าของประเทศแห่งนี้จะเป็นสีฟ้าคราม ไม่มีเมฆบดบังเลยแม้แต่ก้อนเดียว สมกับฉายา "Land of the Eternal Blue Sky : ดินแดนแห่งฟ้าสีคราม"
5
6. มาเก๊า : Macau, Vegas of Asia
1
ฉายา "Vegas of Asia : เวกัสแห่งเอเชีย" น่าจะไม่ต้องบรรยายอะไรมากกับมาเก๊า ซึ่งในปัจจุบันเป็นเขตปกครองพิเศษของประเทศจีน และยังเป็นที่เดียวในจีนที่การพนันถือเป็นเรื่องถูกกฎหมาย
มาเก๊า เดิมเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกส ว่ากันว่าในสมัยก่อนคนงานชาวจีนมักจะเล่นการพนันกันในช่วงเวลาพักหรือหลังเลิกงาน จนสุดท้ายทางรัฐบาลจึงตัดสินใจประกาศให้การพนันเป็นเรื่องถูกกฎหมายในปี 1847 และดำเนินการเก็บภาษีจากธุรกิจการพนันอย่างเป็นระบบ
มาเก๊า กับฉายา Vegas of Asia (Source: booking.com)
มาเก๊าเติบโตมาได้ด้วยธุรกิจการพนัน เงินมากมายมหาศาลไหลผ่านบรรดาคาสิโนทั้ง 16 แห่งบนเกาะ โดย Hotel Lisbao คือคาสิโนแห่งแรกที่สร้างขึ้นในปี 1970 และยังคงดำเนินธุรกิจมาจนถึงทุกวันนี้ ทำให้มาเก๊ามีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และเป็นแหล่งให้ความบันเทิงกับเศรษฐีจากทั่วทุกมุมโลกโดยเฉพาะในแถบเอเชีย จนทำให้ 60% ของรายได้ทั้งหมดของมาเก๊ามาจากธุรกิจการพนัน
คาสาโนแห่งแรกของมาเก๊า Hotel Lisbao (Source: Timeout)
นอกจากคาสิโนแล้ว มาเก๊ายังมีชื่อเสียงเรื่องการแข่งม้า การแข่งสุนัข การแข่งรถ รวมถึงธุรกิจบันเทิงอื่น ๆ อีกมาก จนกระทั่งรายได้รวมจากการพนันแซงหน้าเมืองแห่งคนบาปอย่าง Las Vegas ในอเมริกา และในปี 2022 เขตปกครองพิเศษมาเก๊ามีรายได้มวลรวมหรือ GDP เป็นอันดับที่ 116 มากกว่าประเทศลาว หรือมัลดีฟส์ด้วยซ้ำ
1
7. จีน : China, The Red Dragon
คำว่าจีนแดง น่าจะเป็นคำที่หลาย ๆ คนเคยได้ยินมาก่อนใช่มั้ยครับ จริง ๆ แล้วคำนี้มาจากการที่ประเทศจีน ใช้ระบอบคอมมิวนิสต์ในการปกครองประเทศ และสีของคอมมิวนิสต์ก็เห็นจะหนีไม่พ้นสีแดง สีที่อยู่บนธงชาติของประเทศจีน รวมไปถึงประเทศคอมมิวนิสต์อื่น ๆ เพราะเป็นสีที่สื่อถึงเลือดเนื้อของประชาชน
ธงชาติจีน ที่มีพื้นหลังสีแดง สื่อถึงลัทธิคอมมิวนิสต์ (Source: BBC)
แต่สีแดงไม่ใช่เป็นเพียงแค่สีของระบอบคอมมิวนิสต์ แต่สำหรับชาวจีน สีแดงยังถือเป็นสีนำโชค จะสังเกตเห็นว่าในวันตรุษจีน ชาวจีนก็ชอบสวมใส่เสื้อผ้าสีแดง ในสมัยก่อนเจ้าสาวก็จะต้องสวมใส่ชุดสีแดงในวันแต่งงาน นั่นเป็นเพราะสีแดง เป็นสีของธาตุไฟ ซึ่งสื่อถึงความมีชีวิต และความอบอุ่น ทำให้สีแดงกลายมาเป็นสีที่แสดงถือโชคลาภ ความสุข และความสำเร็จนั่นเอง
2
ชุดแต่งงานของชาวจีนสมัยก่อน จะเป็นชุดสีแดง (Source: Newshanfu)
ส่วนมังกร ก็เป็นสัตว์ที่มีความสำคัญกับประเทศจีนมานานแสนนาน และในขณะที่มังกรของชาวยุโรปอาจจะสามารถพ่นไฟได้ แต่ความเชื่อของทางฝั่งจีนคือมังกรคือผู้ที่สามารถควบคุมดินฟ้าอากาศได้ และเป็นสัญลักษณ์ของพละกำลังและความโชคดี ราชวงศ์ต่าง ๆ ของจีนต่างก็ใช้มังกรเป็นตัวแทนของจักรพรรดิ รวมถึงจักรพรรดิหลายพระองค์ก็มีชื่อ “หลง” ที่แปลว่ามังกรอยู่ในชื่อ
1
เมื่อรวมทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน จึงไม่แปลกที่ประเทศจีนจะได้รับฉายาว่า "The Red Dragon : มังกรแดง" ซึ่งถ้าพูดกันตรง ๆ ก็คงไม่มีฉายาไหนที่จะเหมาะไปกับประเทศที่กำลังจะก้าวผงาดขึ้นมาเทียบชั้นเป็นมหาอำนาจของโลกกว่านี้อีกแล้ว
5
China : The Red Dragon (Source: https://tallbergfoundation.org)
8. ฮ่องกง : Asia’s World City
ฉายาของฮ่องกง เป็นฉายาที่ค่อนข้างใหม่ และมีที่มาไม่เหมือนใคร เพราะฉายานี้ไม่ได้มาจากการตั้งจากคนทั่วไป แต่มาจากการที่รัฐบาลฮ่องกง ต้องการจะหาฉายาให้กับฮ่องกง เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการลงทุน หลังจากที่ฮ่องกงถูกส่งคืนกลับประเทศจีนในปี 1997 และกลายมาเป็นเขตปกครองพิเศษ
1
ในปี 2001 หลังจากการศึกษา และออกแบบอย่างถี่ถ้วน ในที่สุดแคมเปญ “Asia’s World City” ก็ปรากฏสู่สายตาชาวโลก โดยผู้ที่อยู่เบื้องหลังแคมเปญนี้กล่าวว่าสัญลักษณ์มังกรสื่อถึงรากเหง้าของฮ่องกงที่มีความเป็นจีน และเป็นสัญลักษณ์ของความอยู่ยงคงกระพัน ในขณะที่คำว่า World City สื่อถึงฮ่องกง ที่มีความสำคัญเทียบชั้นกับมหานครอย่างลอนดอน นิวยอร์ค และโตเกียว แล้วเพิ่มเติมคำว่า Asia ขึ้นมา เพื่อบ่งบอกถึงสถานที่ตั้ง
2
สัญลักษณ์ของ Hong Kong : Asia's World City (Source: Wordpress)
ในปัจจุบันแม้ฉายานี้อาจจะไม่ได้รับความนิยมเท่าในสมัยก่อน แต่ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าแม้จะมีความวุ่นวายมากมายที่เกิดขึ้นในฮ่องกงในช่วงหลายปีมานี้ หลายคนก็ยังอยากที่จะมีโอกาสไปเยี่ยมเยียนมหานครแห่งนี้ซักครั้ง ภาพตึกสูงตระหง่าน ที่เต็มไปด้วยสำนักงานของบริษัทข้ามชาติมากมาย ภัตตาคารยุโรปทันสมัย ตั้งอยู่ข้างกับแฟลตโบราณ และร้านโจ๊กท้องถิ่น รถรางสองชั้นอายุกว่า 100 ปี ทำงานไปพร้อมกับระบบรถไฟใต้ดินที่ทันสมัย ทำให้ฮ่องกงคือ Asia’s World City อย่างแท้จริงมาจนถึงทุกวันนี้ อย่างไม่มีข้อสงสัย
1
บรรยากาศของเกาะฮ่องกง ที่ความทันสมัยผสานกันเป็นอย่างดีกับวัฒนธรรมท้องถิ่น (Source: BBC)
จบไปแล้วนะครับกับฉายาของประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออก ครั้งหน้า Kang's Journal จะขอพาไปดูฉายาของประเทศเพื่อนบ้านเราบ้าง ว่าประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีฉายาอะไรกันบ้าง ฝากติดตามกันด้วยนะครับ
สามารถติดตามอ่านฉายาของประเทศต่าง ๆ EP.2 : Southeast Asia ได้ที่นี่
สามารถติดตามอ่านฉายาของประเทศต่าง ๆ EP.3 : The Rest of Asia ได้ที่นี่
Source:

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา