6 เม.ย. 2023 เวลา 14:26 • ความคิดเห็น
การที่เราจะรักตัวเองเป็น มันก็เรื่มต้นด้วยผู้ที่ให้กำดนิดเรามีกายให้จิตเราอาศัยอยู่ ชั่วที่ลมหายเข้าออก ที่มันมีสภาพเดี๋ยวเข้าเดี๋ยวออก เดี๋ยวก็ไม่ชอบใจ ไม่พอใจ แม่แต่พ่อแม่ที่เลี้ยงเรามาเรา..ไม่ระมัดระวัง ใช้กิริยากายวาจาใจ ไม่นอบน้อม ..เหมือนคนไม่รู้จักพระคุณ อยู่ใกล้ผู้ที่พระคุณให้กายเรามาใช้มาอาศัย ก็เหมือนอยู่ไกล ละเลย ที่จะช่วนเหลือ ..แม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ที่พอจะช่วยได้ ก็ละเลย ยิ่งบ้านที่ไม่มีคนรับใช้ดูแล .ก็ไม่ยอมช่วย ปัดกวาดเช็ดถู ทำความสะอาดภายในบ้าน บ้านที่เราอาศัยแท้..
เริ่มตั้งแต่ตื่นนอน สลัดผ้าห่ม สลัดเสนียดจัญไรออกไป(คนโบราณเค้าว่าอย่างนั้น ตัวขี้เกียจ มันเริ่มมาตั้งแต่ตื่นนอน ไม่ดูแลแม้ที่หลัยที่นอนที่ตนเองใช้พักผ่อนหลับนอน) ต้องดูที่กลับที่นอน พับเก็บให้เรียบร้อย ดูแลความสะอาดสะอ้าน
มันก็เริ่มจากภายนอก คือบ้านที่เราอาศัย ถึงจะมาเป็นบ้านภายในที่กายพ่อแม่ให้มา ดูแลบ้านภายใน ก็อย่าไปเอาเรื่องนอกเข้าสู่บ้านภายใน เรื่องที่ไปขัดแย้ง ไปต่อต้านใคร ติเตียน ด่าทอ ไม่ชอบคนนั้นคนนี้ เราก็พยายามดูแลบ้านภายใน ไม่เอาเรื่องราวร้อน..เข้ามา ..นั่นก็จะเรื่องราวของความอ่อนน้อมถ่อมตน
..แต่กลั่นกรอง คัดกรอง เรื่องที่เพราะเรามีตาไปเห็น ไปได้ยินเสียง เราก็ต้องดูกิริยาให้เป็น กิริยาดี กิริยาร้าย เสียงทีดี เสียงที่ไม่ดี เราก็ใช้สติปัญญาของเรา เรียบเรียงเหตุผลได้ ว่าดีหรือไม่ ในกิริยาต่างๆตามอารมณ์ของแต่ละคนที่เราไปเจอเจอ เห็นว่าไม่ดี เราก็อย่าไปทำแบบเค้า อย่าเอาเยี่ยงเค้า เราก็รู้จักนี่ ว่าของอะไรดีของอะไรกินได้ กินไม่ได้
ตาหูของเร่าก็เหมือนกัน รู้ว่าไม่่ดี ..เราก็ต้องเตือนตัวเราเอง ระมัดระวัง สำรวมอินทรีย์ อย่าให้เกิดมีอารมณ์ มีทิฐิที่ไม่ดี ไม่ใช้เหตุผล เอาแต่อารมณ์ความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่ ..เราก็ระมัดระวังอารมณ์ของเราด้วยสติสัมปชัญญะที่เรามี เรื่องหล่านี้ก็จะเป็นเรื่องราวรักตัวเองเป็น ไม่ทำให้กายพ่อแม่ที่เราอาศัยเดือดร้อน ใช้กายวาจาใจให้เกิดกรรม แต่ใช้ให้เกิดเป็นความสันติของจิตที่อาศัยอยู่ในเรือนกาย
เมื่อกายนี้เดือดร้อน จิตเราก็ต้องเดือดร้อนไปด้วย ..เรื่องของการดูแลตัวเป็น เราก็จะเข้าใจ คนที่ใกล้ชิดเรา เห็นอกเห็นใจกัน ในลักษณะที่ที่เกื้อกูลกันไป ไม่ทำให้กายนี้เดือดร้อน พ่อแม่เดือดร้อนเพราะกายที่เราใช้ ..นั่นล้วนเป็นเรื่องที่เราต้องพยายามใช้เหตุผล ใคร่ครวญ ในการใช้กิริยากายวาจาใจที่ดี
เรื่องทำดี ..มันต้องฝืนอารมณ์นึกคิดตัวเอง ตัวที่ไม่อยากให้เราทำดี...ฝืนความขี้เกียจ ไม่อยากทำดี นั่นก็คือ เราต้องหมั่นตรวจสอบอารมณ์ความนึกคิดของตัวเอง ตัวเราจะได้อ่านอารมณ์ที่ตัวเองเป็น ..เพราะอารมณ์นั่น ..เป็นศัตรูของจิต..ไม่อยากให้เราทำเรื่องราวดี ที่คนเราเสียกายเดือดร้อด ก็เนื่องมาจากอารมณ์ของตัวเอง
.เรื่องอารมณ์จึงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับจิตตัวเราเอง .ที่ต้องทำความรู้จัก เข้าใจ ต้องมีสติเรียรนรู้จัก อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ว่าดีหรือไม่ดี แล้วมันก็เป็นงานใหญ่สำหรับจิต ..ที่มาอาศัยกายพ่อแม่ ..
แล้วสิ่งเหล่านี้ ก็กลับมาหาเรา ที่เราใช้กายเป็น รักจิตเราเป็น กายเป็นสุข จิตก็เป็นสุขไปด้วย นั่นก็คือ เราต้องหมั่นใคร่ครวญ รู้จักตัวเราเองในสิ่งที่เรากำลังทำ หรือ คิดจะทำ ..เห็นว่าไม่ดี เราก็ทิ้งความคิดนั่นไป เพราะจะทำให้กายเราเดือดร้อน
อะไรที่เห็นว่าดี ทบทวนใคร่ครวญดี เราก็ทำถึงกายจะเหน็ดเหนื่อยบ้าง ลำบากกาย..ทำแล้ว เราได้สิ่งกลับคืนมาก็เป็นความสุขกายสุขใจ เหมือนพ่อแม่ที่เหน็ดเหนื่อยกายเลี้ยงดูเรามา .สิ่งเหล่านี้ ก็จะทำให้สติของจิตของเราเข้มแข็งอดทน ผจญสิ่งที่ยุ่งยากลำบากไปได้ ..
เรารักกายนี้เป็น รักจิตของตัวเองเป็น ด้วยสติปัญญาที่เรามี ใคร่ครวญเหตและผล ทั้งที่ดีและไม่ดี ดีทำให้เกิดอะไรบ้าง ไม่ดีทำให้เกิดอะไรบ้าง แล้วเรานั่นเป็นผู้ตัดสิน ในการขยับเขยื้อนกายวาจาใจของเราเอง .ใช้กิริยากายวาจาใจของเราไปในทางดีทางร้าย ทำให้เกิดทุกข์หรือสุข เราเป็นผู้ที่ใช้ เพราะผลที่เราได้ ..เพราะเวลาเราทุกข์จิตเราทุกข์ ก็ไม่มีใครเค้าทุกข์กับเรา อย่างดีก็มีแค่คำปลอบใจ ..้
โฆษณา