16 เม.ย. 2023 เวลา 15:31 • หนังสือ

รีวิว "ในสวนแปลกหน้า" 11 เรื่องสั้นที่อ่านแล้วรู้สึกคาใจเหมือนดูหนังไม่จบ

ชีวิตของคนเราอาจเต็มไปด้วยเรื่องราวที่เราตัดสินใจผิดพลาดหรือพูดผิดพลั้ง เต็มไปด้วยโอกาสที่เราไม่ทันมองเห็นหรือจงใจมองข้าม แต่ในชีวิตเดียวกันนี้ก็มีห้วงยามสั้น ๆ แห่งความสุขเบียดแทรกอยู่ด้วย จะมากบ้างน้อยบ้างนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง สิ่งที่สำคัญกว่าคือ เราจะมองเห็นความสุขหรือไม่ต่างหากเมื่อมันย่างกรายเข้ามาเยี่ยมเยือนเรา
ชลิต ดุรงค์พันธุ์
ผู้มาเยี่ยมเยือน
"ในสวนแปลกหน้า" เป็นวรรณกรรมแปลเยอรมัน (รวม 11 เรื่องสั้น) จากปลายปากกาของ Peter Stamm นักเขียนชาวสวิสเซอร์แลนด์ซึ่งมีผลงานดัง ๆ ที่ถูกแปลไปแล้วหลายภาษา สำหรับผลงานรวมเรื่องสั้นเล่มนี้ เป็นงานเขียนเรื่องแรกที่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยในปี 2551 ผู้แปลก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นนักแปลภาษาเยอรมันมากฝีมืออย่างคุณ ชลิต ดุรงค์พันธุ์ ผู้แปลงานเขียนสุดคลาสสิกอย่าง 4 เล่มของเพเตอร์ บิคเซล แน่นอนว่า 1 ในนั้นก็คือเรื่อง โต๊ะก็คือโต๊ะ ที่หลาย ๆ คนอาจจะคุ้นตากันมาบ้าง
กำแพงเพลิง
เราว่า "ในสวนแปลกหน้า" เป็นวรรณกรรมที่มีกลิ่นอายของ Slice of Life ว่ากันว่านิยายหรือเรื่องเล่าประเภทนี้มักจะดำเนินไปได้ค่อนข้างน่าเบื่อ ไม่ค่อยมีอะไรดึงดูดความสนใจได้มากนัก เนื่องจากสไตล์การเล่าเรื่องแบบนี้จะเป็นเพียงแค่การเล่าเรื่องเสี้ยวหนึ่งของชีวิตตามชื่อของมันตรง ๆ แค่ชีวิตธรรมดา ๆ ที่ไม่มีอะไรหวือหวา ไม่มีอะไรพิเศษ ก็เหมือนชีวิตของคนเราในวันธรรมดา ๆ วันหนึ่ง
ในสวนแปลกหน้า
แต่ก็อย่างที่บอกว่าแค่กลิ่นอายเท่านั้น จะ Slice of Life หรือวรรณกรรมประเภทไหนก็มักมีคุณค่าบางอย่างซ่อนอยู่เสมอ แน่นอนว่าเรื่องสั้นของสตัมม์ไม่ได้เรียบเฉื่อยอย่างนั้นเลย แม้อารมณ์และสถานการณ์ในเรื่องต่าง ๆ จะชวนให้คิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล่าธรรมดา ๆ
ทั้งคืน
แต่วิธีการเล่า วิธีการดำเนินเรื่องของเค้าทำให้หลาย ๆ คนต้องนึกสะกิดใจระหว่างที่อ่านขึ้นมาบ้างแน่ ๆ และทำให้เรารู้อยู่ลึก ๆ ว่าทุกตัวละครต่างโหยหาอะไรบางอย่าง
แต่ละเรื่องมันเหมือนภาพถ่ายที่ทำหน้าที่แช่แข็งกาลเวลา เรารับรู้ได้แค่บางฉากบางตอนของตัวละครใดตัวละครหนึ่งที่กำลังกระทำบางสิ่ง หยุดอยู่ ณ สถานที่บางแห่ง หรือกำลังจะพูดบางอย่างอยู่ ไม่อาจล่วงรู้อารมณ์ แรงจูงใจ หรือเหตุการณ์ก่อนหน้าและหลังจากนั้นได้ ให้อารมณ์หม่น ๆ เทา ๆ อย่างที่นักแปลได้บอกไว้จริง ๆ ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า มันช่างแตกต่างจากเรื่องสั้นทั่ว ๆ ไปนัก
ราวกับเด็ก ราวกับเทวดา
ปกติแล้วเรื่องสั้นมักจะใช้การเล่าเรื่องที่มีจุดเหนี่ยวนำหรือมีพล็อตแบบหักมุม เพื่อให้เกิดแรงจูงใจบางอย่าง และไม่ทำให้เรื่องสั้นนั้นเป็นเพียงเรื่องสั้นธรรมดา ๆ เพราะด้วยความสั้นของมันก็เป็นข้อจำกัดที่มากพออยู่แล้ว แต่ผลงานของสตัมม์กลับไม่มีจุดหักเหตรงไหนเลย ถึงมี มันก็คือความเป็นจริงที่เกิดขึ้นได้ และถึงอย่างนั้นก็สร้างความตื่นตาตื่นใจให้เราได้มาก เพราะสิ่งที่เป็นผลลัพธ์ กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ความคิดของเราค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่เราคาดคะเนว่ามันจะเป็นเช่นนั้นเลย
ฟาโด
ทั้ง 11 เรื่องสั้น เป็นเรื่องเล่าของชีวิตแต่ละตัวละครที่ดำเนินไปตามบทบาทของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของแม่ผู้เป็นม่าย ลูก ๆ แยกย้ายไปใช้ชีวิตของตัวเอง และบ้านที่เคยอบอุ่นก็กลายเป็นบ้านหลังใหญ่ที่เปลี่ยวเหงา หรือเรื่องราวของหนุ่มพเนจรที่ติดตามคณะกายกรรมผาดโผนไปทำงานที่นู่นที่นี่เรื่อยมา กระทั่งได้เจอะเจอกับความรักจริง ๆ สักครั้ง แต่ก็มีสถานการณ์บางอย่างที่พลิกผัน จากความจริงที่เหมือนฝันก็กลายเป็นความว่างเปล่าอีกครั้ง เป็นต้น
ทุกตัวละครล้วนออกเดินทาง ล้วนตามหาบางอย่าง แต่แท้ที่จริง มันไม่ใช่การเดินทางออกไปท่องโลกภายนอก
มันคือการออกไปข้างในต่างหาก
แม้จะไม่ได้พิสดาร แต่ก็ไม่ได้จืดชืด แถมยังสร้างความฉงนเล็ก ๆ ในใจไปตลอดจนกระทั่งอ่านจบเล่ม
ทุกอย่างที่ขาดหาย
การตัดจบที่ดูค้าง ๆ คา ๆ มันสร้างความน่าอึดอัดบางอย่างให้เรา กระตุ้นให้เราอยากรู้อะไรต่อไปอีก เหมือนเวลาเราอ่านนิยายสักเรื่องหรือดูหนังสักตอน ที่ไม่ว่ายังไงก็ต้องไล่ลำดับเหตุการณ์ไปตั้งแต่ต้นจนจบ เรารู้แน่ว่ามันต้องมีตอนต่อไป หรือไม่ก็ดันทุรังคิดไปว่ามันจะต้องมีตอนต่อไปแน่
แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อพบว่าในเล่มนี้ เหตุผลของการกระทำต่าง ๆ สุดท้ายมันคือความว่างเปล่า ทิ้งภาพหยุดนิ่งค้างเติ่งชั่วขณะราวกับเป็นภาพถ่าย ภาพที่กำลังมีคนอ้าปากพูด แต่เราก็ดูไม่ออกว่าเค้าพูดอะไร และไม่มีทางรู้ว่าเหตุการณ์ใดต่อไปจะเกิดขึ้น
นั่นแหละคือภาพฉายของชีวิต เหมือนตัวละครในเรื่องสั้นทั้งหมดนี้ต้องการจะบอกเราว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่จำเป็นต้องมีคำตอบ แม้จะมีคำตอบบางอย่างอยู่จริง ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้รับสิทธิ์ให้รู้มัน
แวะพัก
เราอ่านจนจบก็พบว่า นอกจากเรื่องสั้นทั้ง 11 เรื่องที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว คำตามจากผู้แปลก็ชวนดึงดูดได้ไม่แพ้กันเลย เราเลยเก็บมาฝากกันว่าผู้แปลได้เล่าไว้ในคำตามว่ายังไงบ้าง
"เรื่องสั้นที่มีรูปแบบคลาสสิก ส่วนใหญ่มีความยาวไม่เกิน 10 หน้ากระดาษ เหตุการณ์ที่ได้รับการบอกเล่าจึงจำกัดตัวอยู่ในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งหรือห้วงเวลาใดห้วงเวลาหนึ่ง ด้วยไม่มีเนื้อหาที่ให้ขยายมิติเวลาและมิติของอารมณ์ของตัวละครได้มากนัก
ปฏิกิริยาโต้ตอบในหลาย ๆ เหตุการ์ที่ตัวละครเจอะเจอ บ่อยครั้งจึงไม่มีเหตุผลเกี่ยวกับการกระทำนั้น ๆ และไม่มีพัฒนาการด้านความรู้สึกนึกคิดใด ๆ ดังนั้น เรื่องสั้นแบบที่ปีเตอร์ สตัมม์ เขียน จึงมักเล่าถึงเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ ส่วนใหญ่เป็นการเล่าแบบเปิด และหลีกเลี่ยงการชั่งวัดคุณค่าของการกระทำหรือเหตุการณ์ที่บอกเล่า"
"Deep Furrows"
"ผู้คนในสวนแปลกหน้าของสตัมม์เป็นผู้คนที่ไม่อาจจัดอยู่ในกลุ่มผู้ชนะหรือผู้แพ้ของเกมชีวิตได้อย่างชัดเจน แต่เป็นทั้งสองอย่างไปพร้อม ๆ กัน"
"ความสังหรณ์ว่ามีอะไรบางอย่างที่ขาดหายไปในชีวิต และการตระหนักรู้ว่าจะไม่มีอะไรหรือใครมาเปลี่ยนแปลงชีวิตเพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปได้ คือบรรยากาศหลักของเรื่องสั้นส่วนใหญ่ใน "ในสวนแปลกหน้า" ไม่ต่างอะไรจากม่านสีเทาหม่นที่ปกคลุมความคิดและการกระทำของตัวละคร แต่ภายใต้ม่านหม่นผืนนี้ก็มีแสงเรื่อส่องลอดออกมาให้เห็นด้วย เป็นแสงที่ตัวละครเองอาจมองไม่เห็นในห้วงเวลานั้น แต่อาจสะดุดตาเราซึ่งเป็นผู้มองเข้าไปในสวนแปลกหน้านี้"
การทดลอง
ความรู้สึกหลังอ่านจบ เหมือนตอนอ่านหนังสือลุงมุราคามินิด ๆ แบบพออ่านจบก็อุทานในใจประมาณว่า อ่านอะไรอยู่วะเนี่ยยย 555 พออ่านจบแล้วรู้สึกโหวง ๆ งง ๆ หลายอย่างหาคำตอบให้กับคำถามในใจไม่ได้ แต่ก็ดูเหมือนหนังสือเล่มนี้จะถูกเขียนขึ้นก็เพื่อจุดประสงค์นี้แหละ เราว่านักเขียนต้องการให้มันเป็นแบบนั้น เพื่อเปิดโอกาสให้เราจินตนาการต่อได้เต็มที่ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องแปะป้ายผิดถูกให้มัน และไม่เอากรอบความคิดบางอย่างทาบทับลงไปในนั้น
ข้อสังเกตของเล่มนี้ก็จะมีเรื่องภาษาในการเล่าเรื่องที่อาจจะดูเนือย ๆ ทื่อ ๆ ไปบ้าง และการเรียบเรียงเนื้อหาที่ทำให้รู้สึกว่าอ่านยาก เพราะเค้าไม่แยกบทสนทนาของตัวละครออกมา แต่รวมไว้ในบรรทัดของการบรรยายด้วย แม้จะมีคำกำกับตามมาทุกครั้งว่าประโยคก่อนหน้านี้ใครเป็นคนพูด แต่มันก็ชวนให้สับสนอยู่ไม่ใช่น้อย เนื่องจากการเรียบเรียงแบบนี้เราไม่ค่อยจะเจอกันแล้วในวรรณกรรมสมัยใหม่
แต่ก่อนหน้านั้นเราเจอจากเรื่อง ผมเรียกเขาว่าเน็กไท ซึ่งตอนแรกก็ค่อนข้างแปลกใจ จึงลองทักไปสอบถามทางสำนักพิมพ์ก็ได้ใจความว่าต้นฉบับเขียนมาแบบนั้น เราก็เลยคิดว่า อะไรก็ตามที่เราอ่านแล้วรู้สึกว่ามันแปลก ก็อาจเป็นเพราะว่าทางผู้แปลหรือสำนักพิมพ์ต้องการคงความเป็นต้นฉบับเอาไว้นั่นเอง ซึ่งก็ดีแล้ว มันก็เป็นเอกลักษณ์ดีเหมือนกัน
จูบ
Fun Fact เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่หาได้ มาจากเรื่อง กำแพงเพลิง ในเล่ม ที่เล่าเรื่องคณะกายกรรมผาดโผนเร่รอนซึ่งเค้ามีโชว์ที่เรียกว่ากำแพงเพลิง ด้วยความสงสัยว่ามันมีจริงมั้ยก็เลยไปหาข้อมูลแต่ก็ไม่รู้จะเสิร์ชคำว่าอะไร เลยลองถามผู้ช่วยสุดเจ๋งอย่างคุณ Chat GPT ซึ่งเค้าได้สรุปมาให้ว่าโชว์นี้มีชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า Fire car stunts โดยตัวละครหลักในเรื่องต้องรับหน้าที่เป็นปีศาจเพลิงในการแสดงชุดนี้ เค้าต้องนอนบนหลังคารถ แล้วคนขับก็จะขับรถคันนั้นพุ่งชนกำแพงไม้ที่มีไฟลุกโชนอยู่
แล้วก็พึ่งรู้เหมือนกันว่าโชว์สมัยก่อนเค้าจัดกันกลางแจ้ง เพราะเราจะคุ้นชินกับภาพจำในหนังที่การแสดงคณะละครสัตว์หรือคณะกายกรรมจะต้องจัดในเตนท์สีแดงใหญ่ยักษ์
"Performances where a person lays on a car and drives through a wall of fire are often referred to as "fire stunts" or "fire car stunts." These types of stunts can be performed as part of a larger circus show, a stunt show, or as a standalone act. However, it's important to note that these types of stunts can be dangerous and should only be attempted by trained professionals in a controlled environment.
The origins of fire stunts and other dangerous circus acts can be traced back to the early days of circus performance, which began in the late 18th century. In those days, circus shows were often held in open-air arenas and featured a variety of entertainment, including acrobatics, juggling, and animal acts. Over time, performers began incorporating more dangerous and thrilling acts into their shows, such as walking on tightropes or riding horses at high speeds."
สรุป ถ้าจะประทับใจเรื่องไหนในเล่มเป็นพิเศษ คงจะเป็นเรื่องสุดท้ายของเล่มนี้แหละ ไม่เชิงว่าอ่านแล้วแฮปปี้ แต่อ่านแล้วมันจุดประกายอะไรบางอย่างได้ รู้สึกอบอุ่นในใจแบบแปลก ๆ
ขอไม่บอกไปมากกว่านี้แล้วกันว่าประทับใจอะไรอีกบ้าง เพราะที่เขียนมาทั้งหมดก็คงจะบอกเพื่อน ๆ ที่กำลังอ่านรีวิวนี้อยู่ได้แล้วว่า งานเขียนชิ้นนี้ เป็นงานที่มีคุณค่าและมีความหมายมากมายจริง ๆ ลองอ่านดูเถอะ แล้วมาแชร์กันว่าคุณมีความคิดเห็นยังไงกับเล่มนี้บ้าง เชื่อว่าบางคนพออ่านไปสักเรื่องก็คงวางมันลงแล้วไม่แตะอีก แต่ขอให้ใจเย็นและอ่านจนจบเล่ม
คุณอาจพบว่าคุณกำลังอ่านเรื่องของตัวเอง หรือกำลังเพ่งจ้องชีวิตของใครสักคนที่คุณรู้สึกคุ้นเคยในความทรงจำ
การเกิดไม่ใช่สิ่งตรงข้ามกับความตาย แต่คือสิ่งเดียวกัน
พวกเราล้วนมาจากความตาย และจะกลับไปสู่ความตาย ไม่ต่างอะไรจากการที่เราเดินเข้าไปในห้อง ๆ หนึ่ง และออกจากห้องนั้นไปอีกครั้ง
ดร. เคนเนดี จาก "Deep Furrows"
ปล. หนังสือเล่มนี้พิมพ์นานมากแล้วโดยสำนักพิมพ์วงกลม เราซื้อมาจากร้านขายหนังสือมือสองก็จริง แต่หนังสือน่าจะยังใหม่อยู่ แค่มีร่องรอยความเก่า ๆ อยู่บ้าง ตอนนี้ยังพอตามเก็บได้ ใครอยากอ่านรีบไปหาซื้อกันด่วน ๆ มีในแอปส้ม ๆ ค่ะ
เราประทับใจสำนักพิมพ์นี้มาก ๆ มีแต่งานเขียนดี ๆ ทั้งนั้น เสียดายที่มาติดตามช้าไป และหลาย ๆ สำนักพิมพ์ที่โด่งดัง ณ ขณะนั้นก็ปิดตัวลงไปหลาย ๆ ที่ แต่เราก็ยังอุตส่าห์ตามเก็บวรรณกรรมแปลเยอรมันร่วมสมัยจนครบนะ อิอิ แน่นอนว่าคงตามเก็บเล่มแปลอื่น ๆ อีก หากใครสักคนจากสำนักพิมพ์วงกลมผ่านมาเห็น อยากบอกว่าเราชื่นชอบงานของสำนักพิมพ์มากนะคะ ดีใจที่ได้มีโอกาสอ่านผลงานของทางทีมงานและสำนักพิมพ์วงกลมค่ะ
Bonafide impression :
★ คะแนนภาพรวม 5/5
★ ภาษาการแปล 5/5
★ ความแรร์ 5/5
🔥ในสวนแปลกหน้า IN FREMDEN GÄRTEN
ผู้เขียน Peter Stamm (เพเทอร์ สตัมม์)
ผู้แปล ชลิต ดุรงค์พันธุ์
จำนวนหน้า 155 หน้า
ราคาปก 160 บาท
#รีวิว #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #หนังสือ #วรรณกรรม #วรรณกรรมแปล #วรรณกรรมเยอรมัน #วรรณกรรมร่วมสมัย #เรื่องสั้น #เรื่องสั้นเยอรมัน #ในสวนแปลกหน้า #INFREMDENGÄRTEN #INFREMDENGARTEN #PeterStamm #ชลิตดุรงค์พันธุ์ #สำนักพิมพ์วงกลม
รีวิวหนังสือ "ในสวนแปลกหน้า" เรื่องสั้นเยอรมันที่แบ่งปันความเว้าโหวงของชีวิต และพาเราออกไปสำรวจภายในตนเองพร้อม ๆ กับตัวละครในเล่ม
#bonafidereadingroom
โฆษณา