18 เม.ย. 2023 เวลา 14:34 • ดนตรี เพลง

EP.3 Portishead

วง Portishead อาจไม่ใช่ผู้คิดค้นดนตรีแนว trip-hop แต่ก็เป็นวงแรกๆ ที่สร้างสรรค์ผลงานและผลักดันดนตรีแนวนี้จนทำให้เป็นที่นิยม โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา การใช้จังหวะที่ช้าๆ หน่วงๆ และเพิ่มองค์ประกอบของดนตรีแนว Cool Jazz และ Acid House ประกอบเข้าด้วยกัน Portishead ได้สร้างเสียงที่มีบรรยากาศและมืดมนจนน่าหลงใหล
สมาชิกยุคแรกเริ่มของ Portishead (ซ้าย Geoff Barrow, ขวา Beth Gibbons) | ขอขอบคุณภาพจาก https://www.theguardian.com/music/2019/aug/24/portishead-dummy-wasnt-a-chillout-album-25th-anniversary-geoff-barrow-adrian-utley-beth-gibbons
โดยจุดเริ่มต้นของพวกเขามาจาก Geoff Barrow ผู้ที่ทำงานอยู่ใน Coach House ในตำแหน่ง Tape Operator และ Beth Gibbons ที่ขณะนั้นเป็นนักร้องในผับ และทั้งคู่ได้พบกันที่ร้านกาแฟ เริ่มต้นพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องดนตรีจนถูกคอ ต่อมาพวกเขาได้อัดเพลงแรก “It Could Be Sweet” ซึ่งพวกเขาได้พบกับ Adrian Utley มือกีต้าร์แนว Jazz ใน Coach House Studios โดยที่ Adrian Utley ได้ยินเพลงที่พวกเขากำลังบันทึกเสียงอยู่
จึงมาแลกเปลี่ยนไอเดียด้านดนตรีกันจนเกิดเป็นอัลบั้มเดบิวต์อย่าง “Dummy” พร้อมกับปล่อยหนังสั้นแนวสายลับที่ย้อนกลับไปในยุค 60s ชื่อว่า “To Kill a Dead Man” ซึ่งพวกเขาถ่ายทำและกำกับเองทั้งหมด แรกเริ่มของวง Portishead เป็นเพียงวง Duo ที่มีแค่ Geoff Barrow และ Beth Gibbons แต่การที่ Adrian Utley เป็นผู้บรรเลงกีต้าร์ทั้งหมด 9 เพลงและเป็นผู้ช่วยแต่งเพลงอีกทั้งหมด 8 เพลงจึงทำให้เป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของวงหลังจากปล่อยอัลบั้มได้ไม่นาน
ถึงแม้ว่า Geoff Barrow และ Beth Gibbons ทั้งคู่เป็นผู้ไม่ค่อยชอบออกสื่อและมักปฏิเสธการสัมภาษณ์อยู่บ่อยครั้ง แต่อัลบั้มกลับประสบความสำเร็จทั้งในยุโรปและอเมริกา ที่ทำยอดขายได้มากกว่า 150,000 ชุดก่อนพวกเขาจะออกทัวร์ด้วยซ้ำ ทางนิตยสาร Melody Maker ได้นิยามเอาไว้ว่า “ดนตรีหม่นๆสำหรับหนังที่ยังไม่เริ่มต้น” หรืออีกครั้งจากนิตยสาร Rolling Stone ที่นิยามเอาไว้ว่า “Gothic hip-hop”
โดยในสามบทเพลงอย่าง “Numb”, “Sour Times” และ “Glory Box” ได้รับความนิยมอย่างสูงทำให้อัลบั้มนี้คว้ารางวัล Mercury Music Prize 1995 พร้อมกับคว้ารางวัล ศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมจาก Brit Awards ในปีเดียวกัน รวมถึงในปี 2003 ที่อัลบั้มนี้ถูกยกขึ้นหิ้งสู่อันดับที่ 419 จาก 500 อัลบั้มที่ดีที่สุดตลอดกาลจากการจัดอันดับของนิตยาสาร Rolling Stone
Portishead (Adrian Utley, Beth Gibbons, Geoff Barrow เรียงจากซ้ายไปขวา) | ขอขอบคุณภาพจาก https://www.nme.com/blogs/nme-blogs/the-roots-of-portishead-767977
หลังจากประสบความสำเร็จตั้งแต่อัลบั้มเดบิวต์ วง Portishead ก็กลับมาโฟกัสกับการทำเพลงและห่างหายออกไปจากสื่ออีกครั้งเป็นเวลาสามปีจนกระทั่งพวกเขากลับมาพร้อมหิ้วอัลบั้มที่สองในการตั้งชื่อแบบ self-titled album “Portishead” ซึ่งอัลบั้มนี้ถูกวางจำหน่ายในปี 1997 ด้วยซาวด์ของอัลบั้มแตกต่างจาก Dummy จึงเกิดเป็นคาแรคเตอร์ที่เป็นเอกลักษณ์แบบหยาบกระด้าง ซึ่งเพลง "All Mine" ติดอันดับท็อป 10 ในเกาะอังกฤษอีกด้วย หลังจากนั้นทางวงได้บินข้ามทะเลเพื่อไปแสดงคอนเสิร์ตเดี่ยวที่มหานคร New York ประเทศสหรัฐอเมริกา
หลังจากนั้น สมาชิกในวงได้ให้ความสนใจกับการทำโปรเจคเดี่ยวของแต่ละคนทำให้วง Portishead ไม่ได้มีงานใหม่มากมายนัก ซึ่งทางวงได้ปล่อยเพลงใหม่ออกมาเพียงแค่ 2 เพลงตลอดช่วงระยะเวลา 9 ปี ก่อนที่พวกเขาจะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับประกาศปล่อยปล่อยอัลบั้มใหม่ “Third” ในปี 2008 ในระหว่างที่อัลบั้มกำลังใกล้จะเสร็จสมบูรณ์นั้น พวกเขาได้ถูกเชิญให้ไปโชว์ที่เทศการดนตรี All Tomorrow’s Partie
ในเมือง Minehead ณ ประเทศอังกฤษ โดยการโชว์ครั้งนี้ถือว่าเป็นโชว์ครั้งแรกในรอบ 10 ปี พวกเขามาพร้อมกับ 5 บทเพลงจากอัลบั้มใหม่ "Silence", "Hunter", "The Rip", "We Carry On", และ "Machine Gun” ที่ยังไม่ปล่อย ณ ขณะนั้น ซึ่งต่อมาพวกเขาได้ไปแสดงต่อที่เทศกาลดนตรี Coachella Valley Music and Arts Festival ในประเทศสหรัฐอเมริกา
เมื่ออัลบั้ม “Third” เสร็จสมบูรณ์แล้ว ทางเว็บไซต์ Last.fm ได้ทำการสตรีมมิ่งก่อนที่อัลบั้มจะวางขายหนึ่งสัปดาห์และได้รับความสนใจอย่างล้นหลามมากถึง 327,000 ผู้เข้าฟังภายในเวลา 24 ชั่วโมง
แม้ว่าทุกวันนี้ทางวงไม่ได้มีอัลบั้มใหม่ปล่อยออกมา แต่พวกเขาก็ยังคงขึ้นโชว์อยู่ตลอดระยะช่วงเวลากว่า 10 ปีหลังจากการปล่อยอัลบั้มใหม่ในปี 2008 และล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว วง Portishead ได้ปรากฏตัวในงาน O2 Academy Bristol ที่จัดตั้งขึ้นภายใต้องค์กร War Child UK ที่จะนำรายได้ไปช่วยเหลือเด็กและผู้อพยพจากผลกระทบของสงครามยูเครน
โฆษณา