27 เม.ย. 2023 เวลา 00:40 • ความคิดเห็น
ที่ไหนสักแห่งบนโลก
ส่วนมาผู้ที่ตัวว่าจะ ชีวิตเหลือ อยู่ไม่นาน ก็มักเจ็บป่วย บ้างนอนอยู่ตามโรงพยาบาล หรือ ว่าว่าป่วยอยู่กับบ้าน ก็ยังไม่มีใคร คิดถึงความตายได้เลย ว่าลมจะหมดวันไหนแน่นอน ก็เจ็บปวด ทั่วสรรพางค์กาย ด้วยธาตุทั้งสี่ในกาย นั่นจะแยกออกจากกัน น้ำเลือดน้ำหนองในกาย ลมที่เข้าออกในกาย ก็ไหลเวียนไม่ปกติ อารมณ์กรรม..กรรมที่สะสมมา ทั้งชีวิต ก็ไหลออกมา ..แม้คนไข้..เจ็บทุกข์มรมานร่างกายไม่ตอบสนอง บ้างก็คิดจะช่วย ..ส่งให้ตายเร็ว ..ช่วยฉีดยา..เค้าว่ายาให้ความสุขก่อนตาย..แต่จิตข้างใน..ทุกข์ทรมานอย่างไร..ไม่มีใครรู้เลย
เมื่อใกล้เวลามรณะ หูก็จะอื้ออึง เหมือนถูกปิด ปากก็จะขับเขยื้อนบอกใครไม่ได้ พูดไม่ได้ ..จิตที่อยู่ภายในกาย ..ต้องทุกข์มาน กว่าจิตจะแทรกออกมาจากกายที่ ธาตุทั้งสี่แยกออกจากกัน บ้างก็บอกว่า คล้ายไฟไหม้บ้าน..
เพราะฉะนั้น มันจึงเป็นเรื่องยากว่า .เวลารู้ว่าจะตาย..แม้แต่คนป่วย ..เราก็เห็นใช้ชีวิต..ประจำวันเป็นปกติ..เหมือนที่เคยทำ..ไม่เห็นมีใครคิดว่า จะทำไอ้นั่นไอี่นี่ ถึงเวลามรณะ ปีนี้ เดือนนี้ เวลานี้ สถานที่นี้..ต้องตาย..มันไม่ใครรู้ล่วงหน้าได้ จะรู้สึกตัวอีกทีก็ บอกใครไม่ได้ ..หมดโอกาส..ที่จะใช้เรือนกาย ขยับเขยื้อนเรือนกาย เนื้อตัวมันเจ็บปวด จิตก็เหมือนถูกกักขังจมอยู่ในคอก..คือกายที่เป็นเหมือนบ้านกำลังถูกเพลิงไหม้ .จิตอยู่ภายในมีแต่จะดิ้นรน..หนีออกจากเรือนกาย ไปหาสถานที่อยู่ใหม่ ..คิดสิ้งใดไม่ได้เลย
เค้าจึงแนะนำว่า..ให้พิจารณา นึกถึงความตายไว้ ..อย่าประมาท ..อยากทำอะไรดี ..ก็ขวนขวาย กระทำขึ้น ..เพราะจิตเรามาแต่จิตดวงเดียว ไปก็ไปดวงจิตดวงเดียว เวลาเจ็บปวดที่เรือนกาย ไปบอกให้พ่อแม่พี่น้องลูกสามีภรรยา ที่ว่ารักกัน ..ช่วยเอาความเจ็บปวดออกไปจากเรือรกายนี้ได้มั้ย..ช่วยเอาออกไปได้มั้ย..นั่นจึงเป็นเรื่องที่ควร เรียนรู้จัก ว่าจิตเรามาอาศัยกายนี้ชั่วขณะหนึ่ง เราจะใช้กายนี้ ฝึกจิตให้เกิดเป็นคุณแก่จิตของตนอย่างไร
..มีพระเรานับถือ ..คืนที่ท่านละสังขาร เราสวดมนต์เสร็จ เราเห็นท่านมายืน ..ถือผ้ากาสาวพัสตร์..ให้เราได้เห็น..แล้วท่านก็บอกมาก่อนล่วงหน้า เป็นปี สามเดือนล่วงหน้า ท่านก็บอกอีก ..เรื่องละสังขาร ..เราก็ขออาราธนา ขอให้ท่านอยู่ต่อ ..ท่านบอกว่า..ครั้งนี้..ไม่ได้อยู่กับท่าน ..แล้วท่านก็แนะนำว่า ..ใครที่สามารถ..อนุญาตให้อยู่ต่อได้ ..เราก็ไปขอ..ท่านบอกว่า .เวลานี้ ..เค้าเตรียมงานรับพระที่เรานับถือกลับ..สถานที่ของท่าน ..ซึ่งท่านก็บอกว่าดูซิ ..เค้ามากันเยอะแยะ ..เราก็เห็นได้แค่แสงสี่เขียว ..รอบตัวไปหมด
ก่อนท่านมรณะ..ปัจจัยที่ญาติโยมถวายท่าน ท่านก็เอาไปให้เจ้าอาวาส ใช้เพื่อถนุบำรุงสถานที่ปฏิบัติธรรม บำรุงศาสนา..
ปัจจัยอีกส่วนหนึ่ง ..ท่านก็ให้เราเก็บ..ท่านบอกว่า..ฝากไว้เผื่อเรียก .ซึ่งเราก็นำปัจจัยนี้ นำมาเป็นเชื้อ ..เพื่อทำบุญ เลี้ยงพระ ทำผ้าป่า ชวนคนเค้าทำบุญ ..แบ่งออกมาทีละเล็กทีละน้อย ..ก็ทำกันไป เพื่อกระจัดกระจายแปรสภาพให้เกิดเป็นบุญ แก่ผู้ที่อนุโมทนา..เพื่อจะให้คนที่มาร่วม เค้ารู้จักบุญกุศล รู้จักเรื่องของกรรมบ้าง จิตเค้าจะได้มีบุญ ..สัมผัสว่าบุญนั้นเป็นอย่างไร ..ทำอย่างไรจึงเกิดเป็นบุญกุศลที่ดีหล่อเลี้ยงจิต
..เรื่องเงิน สาธุนี้ ท่านระมัดระวังมาก ..เพราะเค้าถวายพระพุทธเจ้า ..ไม่ได้ถวายท่าน ..ท่านก็มักถรม ผู้ที่ถวายปัจจัย ..ว่าถวายปัจจัยเพื่อทำอะไร ใช้ทำอะไร ..จะได้ไม่ผิดเจตนา ยักหยอกปัจจัยเค้าไปทำเรื่องอื่น ที่ผิดเจตนา..
เรื่องที่นำมาเล่านี้ .ก็เพื่อเป็นอนุสติ จะว่าเป็นการอุปโลกน์ก็ได้ .เรื่องการตาย ..มันกำหนดไม่ได้ แล้วจิตของเรา ก็เป็นจิตน้อยๆ ไม่มีความขันติเป็นบารมี ..ที่จะฝืน ต่อสู้ กับความทุกข์ทรมาน ..ในกายได้ ..ถ้าจิตเราไม่สร้างบุญกุศล ฝึกหัดปฏิบัติ ..ย่อมทำจิตเหนือเวทนากายไม่ได้เลย ปล่อยวางความยึดถือกายไม่ได้เลย .ท่านจึงยอกให้ฝึกหัดปฏิบัติ ทำให้ได้ก่อน กายเค้าตาย..โอกาสที่ฝึกหัดเรียนรู้..เมื่อตอนมีกายเป็นมนุษย์เท่านั้น
โฆษณา