9 พ.ค. 2023 เวลา 05:47 • ท่องเที่ยว

ทริปเกิด เพราะหมอดูทัก! ฮ่องกง ep.1

"ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไร คนบอกว่าดาวพฤหัสย้าย ไม่รู้เกี่ยวไหม เเต่จิตใจผมหมองหม่นมากๆ ทั้งที่ปกติเป็นคนมีความสุขได้ง่ายมากๆ" เราถามเเม่หมอ
"พลังของเธอหมด จะเป็นเเบบนี้ไปจนกว่าจะเข้าเบญจเพศ ไปไหว้เจ้าเเม่กวนอิมที่ฮ่องกง เธอจะได้ชาร์จพลัง" เเม่หมอตอบ
ฮ่องกง เป็นหนึ่งในจุดหมายที่อยู่ในใจมานานมาก เเต่ไม่ได้ไปสักที เลยคิดว่า คงถึงเวลาเเล้วหล่ะ เราเลยชวนเเม่ เเละจองตั๋วทันที
เป้าหมายเเรกของทริป คือการไหว้พระ ส่วนเป้าหมายรองนั่นก็คือ การตะลุยกิน!!!
ทริปนี้ เราจะไปเที่ยวฮ่องกงกัน 4 วัน 3 คืน เดินทางด้วย Hong Kong Airline เที่ยวบิน HX780 ออกเดินทางจากสุวรรณภูมิ 2:00 น. เเละจะถึงที่ฮ่องกง เวลา 5:45 น. (เวลาท้องถิ่น) ((เวลาที่ฮ่องกง จะเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง))
ใครอยากอ่านรีวิวการเดินทางไปฮ่องกง ด้วยชั้นธุรกิจ Hong Kong Airline เพิ่มเติม ตามไปอ่านได้ที่ blog นี้เลย
Day 1
หลับตายังไม่ทันจะได้หลับ เครื่องบินก็พาเราลัดฟ้ามาสู่ฮ่องกงเเล้ว หากนับเวลาตั้งเเต่ก้าวเท้าขึ้นเครื่อง จนออกจากเครื่อง ใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น (เร็วกว่าที่คิดเอาไว้มากๆ)
ภาพถ่ายขณะเครื่องกำลังจะเเลนดิ้ง
05:30 น. ตามเวลาฮ่องกง เครื่องก็ landed เเล้ว
ก่อนมาอ่านเจอเรื่อง ตม ฮ่องกง เขาว่ากันว่า มาดักส่องกันตั้งเเต่ลงจากเครื่อง เเละก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ พ้นประตูเครื่องปุ๊บ ก็เจอคุณพี่ๆ 3 คน ยืนหน้านิ่ง คอยจ้องผู้โดยสารเดินผ่านไป
เช้ามากๆ สนามบินโล่งสุดๆ
เที่ยวบินเราเช้ามากๆ สนามบินเลยเงียบสุดๆ เดินไปเรื่อยๆ จนถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง ไม่มีคิวเลยเเม้เเต่คิวเดียว เเละที่งงไปกว่านั้น นี่เป็นครั้งเเรก ที่เขาถามว่ามาด้วยกันหรือ เเล้วให้ผมเข้าช่องไปพร้อมกับเเม่ ยังกับผมเป็นเด็ก 3 ขวบ
ตม ก็ไม่ถามอะไรสักคำ ไม่ถึง 5 นาที ก็ผ่านออกมา กระเป๋าสัมภาระก็หมุนวนอยู่บนสายพานรออยู่เเล้ว เร็วมากๆ หรือนี่คงเป็นอีกหนึ่งข้อดี ของ flight ที่เช้าสุดๆ ทุกอย่างเลยเร็วไปหมด
ออกมาจาก ตม กระเป๋าก็วนรออยู่บนสายพานเเล้ว
ทริปนี้เราไม่ได้ซื้อ sim ไปจากไทย กะไปเช่า pocket wifi ที่สนามบิน เเต่!!! เรามาเช้าไป ยังไม่มีผู้ให้เช่าเจ้าไหนเปิดเลย (ดูเหมือนว่า pocket wifi จะไม่ฮิตกันเท่าไหร่ในฮ่องกง) เอาไงหละทีนี้ ไม่มี internet ก็หลงเเน่ เลยจำใจต้องซื้อ sim ใน 7-11 (ซึ่งเเพงกว่าซื้อไปจากไทย)
เราเลือกเข้าเมืองด้วยรถไฟ Airport Express จากสนามบิน สู่สถานีเกาลูน เพราะที่พักเราอยู่ย่านจิมซาจุ่ย ตัวสถานีรถไฟหาง่ายมากๆ (รับกระเป๋าเเล้วออกมา ก็จะเจอเลย) เพราะตัวสถานีจะพาดยาวขนานไปกับอาคารผู้โดยสาร เเละอยู่ชั้นเดียวกับขาเข้าด้วย จะซื้อบัตรโดยสารจากตู้อัตโนมัติหรือพนักงานก็ได้ เราเลือกซื้อกับพนักงาน เพราะจะซื้อบัตร Octopus ด้วยเลยทีเดียว
เราซื้อบัตรโดยสาร Airport Express จาก สนามบิน ไปสถานีเกาลูน เเบบขาเดียว (เผื่อวันกลับ shopping เเล้วสัมภาระเยอะ เผื่อจะนั่ง taxi มาสนามบิน) ราคาคนละ 105 HKD เเละ บัตร Octopus อีก 200 HKD (ใช้ได้ 150 HKD อีก 50 HKD เป็นค่ามัดจำ ค่อยมาเอาคืนตอนคืนบัตร สมมติเติมเงินเข้าไป เเล้วใช้ไม่หมด ก็เเลกคืนได้ด้วย)
Airport Express Single Journey Ticket
ข้อดีของบัตร Octopus
1.ความสะดวก เเตะอย่างเดียว เเล้วเข้าได้เลย อารมณ์บัตร Rabbit เเต่ของเขาจะลง MTR ขึ้นรถบัส ซื้อของใน 7-11 ใช้ใบนี้เเตะได้หมด
2.ค่าเดินทางที่ถูกกว่าซื้อรายเที่ยว ซึ่งถูกลงประมาณ 0.4-1.4 HKD หรือประมาณ 1.7-6.1 บาท ต่อเที่ยวเลยทีเดียว (เเล้วเเต่ระยะทาง)
Octopus Card
ยืนรอรถไม่นาน รถก็เข้ามาเทียบชานชาลา เป็นรถเเบบนั่งล้วน ไม่ใช่นั่งผสมยืนเเบบ Airport Rail Link บ้านเรา เพราะฉะนั้น นั่งยาวสบายๆ ในรถจะมีป้ายคอยบอก ว่าอีกไกลเเค่ไหน จะถึงสถานีที่เราจะลง เพราะฉะนั้น หายห่วงได้เลย
นั่งรถไฟประมาณ 20 นาที เราก็ถึงสถานีเกาลูน ด้วยความที่เราชอบเดินอยู่เเล้ว ตอนเเรกเลยกะเดินไปโรงเเรม ประมาณ 1 กิโล เเต่อากาศเริ่มร้อน ประมาณ 25-26 องศา บวกกับมีกระเป๋าเเละเริ่มงงทิศทาง เราเลยตัดสินใจโบก taxi ให้ไปส่งถึงโรงเเรม เสียไป 41 HKD (180 บาท)
ทริปนี้เราเลือกโรงเเรม โดยมองหาโรงเเรมราคาประมาณคืนละ 4-5 พัน ดูสะอาด ดูใหม่(ดูไม่มีผี) ดูปลอดภัย อยู่ในเเหล่งที่คนพลุกพล่าน เเละใกล้ MTR scope ลงมาเหลือ 3 ย่าน คือ จิมซาจุ่ย มงก๊ก เเละคอสเวย์เบย์ เนื่องจากดูเป็นย่านที่นักท่องเที่ยวเยอะ เเละกลางคืนมีที่ให้เดินเล่น ไม่เงียบเหงา สุดท้าย เราก็ได้โรงเเรม The OTTO Hotel มาได้ในราคาคืนละ 4700 บาท ผ่าน Agoda
ทางเข้า The OTTO Hotel
The OTTO Hotel เป็นโรงเเรมเล็กๆ 3 ดาว อยู่บนถนน Cameron หาง่ายมาก ขึ้น MTR สถานี Tsim Sha Tsui ทางออก B2 มาก็จะเจอเลย Lobby อยู่ชั้น 3 กลิ่นในโรงเเรมหอมสะอาดมาก ตกเเต่งสไตล์ไม้ๆ มูจิๆ เเต่ละชั้นจะมีเเค่ 4 ห้อง
เราได้ห้องพักชั้น 12 ห้องนอนมีกระจก มองวิวข้างนอกได้ ไม่ชนกับตึกอื่นระยะประชิด ห้องน้ำเป็นกระจกใส มีม่านปิดได้ (เเต่ก็เเหวกจากข้างนอกได้อยู่ดี ถ้าไปกับคนไม่สนิท ไปกับเพื่อนขี้เเกล้ง อาจรู้สึกไม่ปลอดภัยได้) อุปกรณ์ต่างๆ มีครบ ทั้งผ้าขนหนู สบู่ ไดร์เป่าผม มินิบาร์ทานได้ฟรี เเอร์เย็นฉ่ำ จุดด้อยมีเเค่ 2 อย่าง คือไม่มีที่ฉีดก้น (คนไทยอย่างเราอาจจะไม่ค่อยสะดวก) กับประตูไม่มี double lock ที่เป็นเเบบคล้อง
ภายในห้องนอน The OTTO Hotel Tsim Sha Tsui
เรามาถึงกันเช้ามาก เลยฝากกระเป๋าเเละออกไปเที่ยวกันก่อน เริ่มต้นจากหาร้านอาหารเช้ากินในย่าน ซึ่งส่วนมาก ก่อน 11 โมง ร้านต่างๆ จะมีเเค่เมนูอาหารเช้า สไตล์ค่อนๆ ไปทางตะวันตก
เราสุ่มๆ เดินเข้าร้าน Yung Kee Roast Goose Restaurant สั่งเมนู Continential Breakfast มาเเบบสุ่มๆ อารมณ์คล้ายๆ ก๋วยเตี๋ยว เส้นคล้ายๆ เส้นเล็กผสมเฝอ เราเลือก topping เป็น scrambled egg กับ pork chop (46 HKD) โดยในชุดมีเครื่องดื่มร้อนให้ฟรี ถ้าอยากได้เป็นเย็น ก็เพิ่ม 3 HKD เลยเลือกคู่กับชานม ส่วนเเม่สั่งเป็นขนมปังปิ้ง ทาเนย ราดนมข้นหวาน กับโอวัลตินเย็น (30 HKD+3 HKD)
Continential Breakfast เเละ ขนมปังปิ้งราดนมข้น
รสชาติอาหารไม่ค่อยมันใจสักเท่าไหร่ ว่าเเบบนี้คืออร่อยไหม สำหรับเมนู Continential Breakfast เพราะไม่เคยทานมาก่อนเลย เลยเปรียบเทียบไม่ถูก เเต่สำหรับเรา รู้สึกไม่ค่อยถูกปากสักเท่าไหร่ อาจจะเพราะว่าเราติดรสชาติจัด เเต่ชามนี้มาเเบบจืดๆ ส่วนขนมปังอร่อยดี เป็นเมนูคลาสสิกกันตายได้อย่างดี
วันนี้เราวางเเผนจะไป 4 วัดด้วยกัน ทานเสร็จไม่รอช้า รีบออกเดินทางกันต่อ ด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน MTR
วัดเจ้าเเม่กวนอิมฮ่องฮำ (Kwun Yum Temple, Hung Hom)
วัดเจ้าเเม่กวนอิมฮ่องฮำ
เดินทางจากจิมซาจุ่ยมาเพียง 2 สถานี เเละเดินต่ออีกนิด ก็จะถึงวัดเจ้าเเม่กวนอิมฮ่องฮำ หรือวันที่ขึ้นชื่อเรื่องการมาขอกู้เงินจากเจ้าเเม่กวนอิม เป็นวัดที่คนมักจะนำซองเเดงเเบบอั่งเปามาทำพิธีขอยืมหรือกู้เงินกลับไป เวลาไหว้ เขาบอกว่า ให้ตั้งจิต เอ่ยชื่อ นามสกุล ที่อยู่ วันเดือนปีเกิด เเล้วภาวนาว่า “โอม มณี แปะ มี่ ฮง” ต่อด้วยขอพร เช่น ขอให้เรามีสติปัญญาในทางที่ถูกที่ควร เพื่อที่เราจะสามารถนำไปสร้างความร่ำรวยให้กับตัวเราเอง
วัดปักไต้ (Pak Tai Temple, Hung Hom)
Pak Tai Temple, Hung Hom
เดินต่อจากวัดเจ้าเเม่กวนอิมฮ่องฮำประมาณ 5 นาที ก็จะเจอวัดเล็กๆ ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางตึก โดยเทพประธานของวัด คือเทพเจ้าปักไต้ เป็นเทพแห่งท้องทะเล เชื่อกันว่าสามารถปัดเป่าโรคร้ายได้
เราไม่ค่อยเเน่ใจ ว่าใช่วัดปักไต้ที่คนไทยนิยมไปไหว้กันรึเปล่า เเต่ค่อนข้างคิดว่าไม่ใช่ เพราะวัดนี้เล็กมากๆ จุคนน่าจะได้เเค่ประมาณ 10 คน เเต่เรากลับชอบที่นี่มากๆ เพราะภายในวัด ช่างสงบเหลือเกิน เเละต่อให้เราจะไหว้เทพเจ้าในวัดที่ใหญ่หรือเล็ก ก็เชื่อว่าหากเราศรัทธาเเล้ว ท่านจะรับรู้เราได้เช่นเดียวกัน
ขากลับเพื่อจะเดินไปลงรถใต้ดิน เราเดินผ่านตลาดฮ่องฮำ (Hung Hom Market) เป็นตลาดสด อารมณ์คล้ายๆ ตลาดสามย่าน มีขายทั้งอาหารทะเลสดๆ เนื้อหมู ผัก อาหารเเห้ง รวมไปถึงผลไม้มากมาย
Hung Hom Market
วัดเเชกงหมิว (Sha Tin Che Kung Temple)
วัดเเชกงหมิว
เดินทางจากย่านฮ่องฮำมา 6 สถานี ก็จะถึงวัดเเชกงหมิว หรือวัดกังหัน เดินเข้าประตูวัดมา จะเจอซุ้มขายธูปอยู่ทางซ้าย ส่วนทางขวาขายของที่ระลึก ธูปมีให้เลือกหลายขนาด หลายราคา ไม่ต้องกลัวทำไม่ถูกเลย มีทั้งป้ายเเละเจ้าหน้าที่ยืนพูดตลอดเวลา เเละที่สำคัญ เขาพูดเป็นภาษาไทยด้วย (ตอนเเรกก็ว่า ทำไมจู่ๆ ก็ฟังภาษาจีนออกซะงั้น)
รายละเอียดวิธีไหว้ท่านเเชกง
สรุปง่ายๆ คือ 3 ดอก หันหน้าออกนอกวัด ไหว้ฟ้าดิน บอกชื่อ นามสกุล ไหว้ 3 ครั้ง เเล้วหันกลับมาหาวัด ไหว้อีก 3 ครั้ง
3 ดอก นำไปไหว้เจ้าที่ ที่ศาลข้างๆ ทางเข้า
นำ 3 ดอกกันออกมาก่อน (เก็บไว้ไหว้ท่านเเชกง) เเล้วจุดธูปที่เหลือทั้งหมด ปักที่กระถางกลางเเจ้ง
เข้าไปด้านใน อธิษฐานขอพร ให้มองหน้าท่านเวลาขอ ปักธูป 3 ดอก หมุนกังหัน ตามเข็มนาฬิกา (ในเน็ตบ้างก็เขียนว่าตามเข็ม บางคนก็บอกทวนเข็ม ตอนเเรกไม่รู้ต้องเชื่อตำราไหน สุดท้าย ทางวัดเขามีเขียนเเปะป้ายเอาไว้เลย ว่า “ตามเข็มนาฬิกา”) เเละตีกลองอีก 3 ครั้ง เพื่อให้กังหัน ขจัดสิ่งไม่ดีให้ออกไป นำสิ่งดีๆ เข้ามา เเละส่งเสียงกลองไปยังสวรรค์ให้รับรู้คำขอของเรา
ท่านเเชกง
วัดหว่องไทซิน หรือ หวังต้าเซียน (Wong Tai Sin Temple)
วัดหว่องไทซิน หรือ หวังต้าเซียน
นั่งรถไฟจากวัดกังหันประมาณ 15 นาที ก็จะมาถึงวัดหวังต้าเซียน วัดยอดฮิตในฮ่องกง ฮิตจริงๆ เพราะคนเยอะสุดๆ โดยเฉพาะทัวร์จีน ออกมาจากสถานีรถไฟ ก็จะเจอคุณลุงคุณป้ายืนดักเพื่อขายธูปให้ พอดีเราไม่ได้จะจุดธูป กะไหว้ด้วยมือเปล่า เลยเดินๆ ผ่านไป
ที่นี่ไม่รู้ขั้นตอนมากนัก เพราะคนเยอะมากๆ เลยไหลๆ ตามคนไปเรื่อยๆ เขาไหว้ตรงจุดไหน ลูบรูปปั้นองค์ใด เราก็ทำตามเขาไป เเต่ที่นี่เหมือนจะมีห้องที่ต้องเสียเงินเพื่อเข้าไปสักการะบูชา เทพเจ้าเต๋าโหมว (เป็นเทพเจ้าเเห่งกาลเวลา) เทพเจ้าประจำปี (ปีนี้ปีเถาะ) เเละเทพเจ้าประจำปีเกิด ราศีเกิดของเราเเต่ละคน เป็นอารมณ์ไหว้เทพเจ้าเเบบ customized ให้เราเเต่ละคนเเบบสุดๆ
ออกจากหวังต้าเซียน ก็จะเที่ยงเเล้ว เราเลยตัดสินใจไปเดินเล่น เเละหาอาหารเที่ยง กันที่ย่านซัมซุยโป (Sham Shui Po)
ย่านซัมซุยโป
จากที่ค้นหาข้อมูลมา เขาว่ากันว่า ย่านซัมซุยโป (Sham Shui Po) เป็นศูนย์รวมของชาวฮ่องกงดั้งเดิม ที่ทำมาหากินกันมาตั้งเเต่สมัยบรรพบุรุษ ย่านนี้จึงสะท้อนกลิ่นอายวัฒนธรรมเเละวิถีชีวิตเเบบชาวฮ่องกงเเท้ๆ สมัยก่อนเคยเป็นฐานที่ตั้งกองกำลังทหาร และพื้นที่ค่ายผู้อพยพลี้ภัย ก่อนจะปลูกสร้างบ้านเรือนตึกเเถวการเคหะของรัฐบาล พร้อมๆ กับการเข้ามาของโรงงานอุตสาหกรรมเเละร้านค้าต่างๆ ถ้าให้เทียบง่ายๆ ส่วนตัวรู้สึกว่าย่านนี้คล้ายๆ คลองถม สำเพ็งบ้านเรา
มื้อเที่ยงเราจัดบะหมี่ กันที่ร้าน เหล่า ซัม เก (Lau Sum Kee) โดยมีรางวัลมิชลิน บิบ กูร์มองด์ การันตี (Michelin Bib Gourmand เป็นรางวัลร้านอาหารอร่อยคุ้มค่าในราคาย่อมเยา) เป็นร้านเล็กๆ เล็กจนตอนเเรกเดินเลยร้านไปเพราะหาไม่เจอ เปิดขายมาเเล้ว 67 ปี (นานมากก) ในร้านมีอยู่ประมาณ 6-7 โต๊ะ เเต่ก็นั่งรวมๆ เเบบเบียดๆ กันได้เป็นสิบ
1
ร้าน เหล่า ซัม เก
เราสั่ง Noodles with Shrimp Wonton (40 HKD) ประมาณ 175 บาท เป็นบะหมี่น้ำเกี๊ยวกุ้ง ชามใหญ่มาก นึกว่าบะหมี่จับกัง เด็ดสุดในชามนี้ขอยกให้กับเส้นบะหมี่ สุดจริงๆ ไม่เหมือนที่เคยทานในไทย ตัวเส้นบะหมี่จะมีขนาดเล็ก มีความกรุบ เเต่ไม่ใช่เเข็ง ลวกมาอย่างพอดี ตัวเกี๊ยวกุ้งคือใหญ่อวบมาก กุ้งเเน่นๆ เต็มตัว เเป้งเกี๊ยวนุ่มมาก เเต่ไม่เละ ส่วนน้ำซุปมีรสเค็มอ่อน (อ่อนมาก) เลยไม่ค่อยถูกปากสักเท่าไร กินไปได้ไม่มากก็ค่อนข้างเริ่มเลี่ยน
บะหมี่เกี๊ยวกุ้งน้ำ 175 บาท
บ้านเขาไม่มีเครื่องปรุงเเบบบ้านเรา ใครที่ติดทานรสจัด ซุปเค็มๆ อาจไม่ถูกปาก เเต่ใดๆ เรื่องความอร่อยไม่มีถูกผิด เป็นเพียงรสนิยมการทานของเเต่ละคน
ทานบะหมี่เสร็จ เราก็ออกมาเดินเล่น เดินผ่านร้านอาหาร ที่มีขนมถาดๆ โชว์อยู่ในตู้ อารมณ์คล้ายๆ วุ้นถาดบ้านเรา เลยเข้าไปสั่ง ได้มา 3 ชิ้น 15 HKD (65 บาท) ซ้ายสุดเป็นอารมณ์เยลลี่นิ่มๆ กลิ่นคล้ายๆ เก็กฮวย เเต่ก็ไม่เชิง เดาว่าเป็นพวกดอกหอมหมื่นลี้ (เเต่ไม่เเน่ใจสักเท่าไหร่) ชิ้นตรงกลางเป็นวุ้นถั่วเขียว รสชาติคล้ายๆ ไส้ลูกชุบที่ไม่มีกลิ่นควันเทียน เนื้อวุ้นรสชาติคล้ายๆ นมผสมกะทิอ่อนๆ ส่วนริมขวาสุด เนื้อเหมือนก้อนตรงกลาง เเต่เป็นถั่วเเดง อันไหนอร่อยสุด ให้ภาพเป็นคำตอบเเทนเรา
ต่อของหวานกันอีกร้าน ที่ Kung Wo Beancurd Factory อีกร้านหนึ่งในย่านซัมซุยโป ที่ได้รางวัลมิชลิน บิบ กูร์มองด์ เป็นร้านที่ขายเมนูจากเต้าหู้ ขายทั้งเต้าหู้สำหรับซื้อไปทำอาหาร รวมถึงเต้าหู้ที่พร้อมทาน ทั้งเต้าหู้ก้อน เต้าหู้ทอด พุดดิ้งเต้าหู้ น้ำเต้าหู้ ไอศครีมเต้าหู้ วันนี้เราลองน้ำเต้าหู้เเละไอศครีมเต้าหู้
มี 2 ร้านอยู่ติดกัน เป็นร้านเดียวกัน เเต่อารมณ์ร้านดั้งเดิมกับร้านใหม่ส่วนต่อขยาย
น้ำเต้าหู้ เขาจะมีหลายรส มีเเก้ว 2 ขนาด คือเล็ก 7 HKD (30 บาท) เเละใหญ่ 10 HKD (44 บาท) ทุกเเก้วซีลไว้อย่างดี เเช่ในถังน้ำเเข็งเย็นๆ เวลาเลือกให้ดูดีๆ เขาจะติดสติกเกอร์เล็กๆ ไว้บนฝา ว่าคือรสอะไร ตอนเเรกเราไม่รู้ว่ามีหลายรส จ้วงมือลงไป เจออะไรก็คว้ามา (มันอร่อยมากจนเดินกลับมากินอีกรอบ เเต่รอบ 2 รสชาติมันไม่เหมือนเดิม ถึงเห็นว่าบนฝาเขามีติดรสชาติ ระดับความหวานเอาไว้)
น้ำเต้าหู้เเสนอร่อย
วันนี้เราดื่มเเบบ less sugar เเละ sugar free ทั้ง 2 เเก้วหอมถั่วเหลืองมากๆ เป็นสิ่งเเรกในทริปฮ่องกงที่กินเเล้วรู้สึกว่าอร่อยมาก ส่วนตัวชอบ less sugar มากกว่า เพราะมันหวานน้อยจริงๆ หวานน้อยเเต่พอให้เราสดชื่น อากาศร้อนๆ ได้ดื่มเครื่องดื่มหวานน้อยๆ เย็นฉ่ำๆ มันชื่นใจ ส่วนตัว sugar free ซึ่งไม่มีน้ำตาลเลย มันก็จะจืดสนิท เเต่ยังอร่อยเพราะกลิ่นที่หอมมากๆ ของถั่วเหลือง
ไอศครีมเต้าหู้ 14 HKD (60 บาท) เนื้อเเน่นมาก คล้ายๆ กินกรีกโยเกิร์ตเเน่นๆ ตัวไอศครีมไม่หวานมาก ออกเเนวหอมเเน่น เเต่ได้ความหวานฉ่ำจากน้ำผึ้งที่ราดมาข้างบน
ไอศครีมเต้าหู้เนื้อเเน่น
บ่ายๆ เราก็เดินทางกลับจิมซาจุ่ย เพื่อ check-in เข้าโรงเเรม
ด้วยความที่เหนื่อยเพลียจากการเดินทาง เพราะเมื่อคืนก็เเทบจะไม่ได้นอน พอเข้าห้องได้ เราเลยนอนสักงีบ ตื่นมาอีกทีก็ 4 โมงเย็นซะเเล้ว จึงตัดสินใจออกไปเดินเล่นริมอ่าววิคตอเรีย
ระหว่างทางเจอคนต่อเเถวยืนซื้ออะไรสักอย่าง พอเข้าไปดูใกล้ๆ มันคือรถเเดง Mister Softee ขายไอศครีม soft serve ในตำนาน (เเม่บอกว่าเคยได้ยินคนพูดถึงบ่อยมาก) เราเลยจัดมา 1 โคน 13 HKD (57 บาท) รสเเรกที่เรารับได้ มันงงๆ จนร้อง “หื้ออ” ออกมา เเม่ถามว่าไม่อร่อยหรอ พอคิดๆ มันก็อร่อย เเต่ทำไมร้องหื้อออกมาก็ไม่รู้เหมือนกัน ยิ่งกินยิ่งอร่อย ไอศครีมนุ่มเนียน รสมัน นมๆ หอมวนิลาอ่อนๆ ตัวโคนรสชาติเเบบไอศครีมคอนเน็กโต้ของวอลล์เลย เเละนี่คืออย่างที่ 2 ในทริปนี้ที่เราคิดว่ามันอร่อยมาก
Mister Softee Ice Cream Truck คันสีเเดง
บริเวณ Avenue of Stars ริมอ่าววิคตอเรีย คนเยอะ เเต่ไม่หนาเเน่นจนเบียด ผู้คนมาเดินเล่น นั่งเล่นชมวิว บ้างก็วิ่งออกกำลังกันเป็นกลุ่ม ส่วนนักท่องเที่ยวอย่างเราก็ถ่ายรูปกับวิวเกาะฮ่องกงที่อยู่อีกฝั่ง
ริมอ่าววิคตอเรีย
เเม่เล่าว่า 30 กว่าปีก่อน เคยมาเที่ยวเเละกินร้านเเถวๆ ข้างหลังห้าง Yue Hwa อร่อยมาก ไม่รู้ยังอยู่ไหม หรือจะหาเจอรึเปล่า เป็นร้านอาหารเเบบกับข้าว อารมณ์ข้าวต้มกุ๊ยบ้านเรา เราตัดสินใจเดินย้อนริมถนนนาธานขึ้นไปเรื่อยๆ จาก Avenue of Star จนถึงย่านจอร์เเดน เดินดูผู้คน บ้านเรือน ร้านต่างๆ นานา ไม่นานก็ถึง
Temple Street Night Market ย่าน Jordan
ข้างหลังห้าง Yue Hwa คือ Temple Street Night Market สองข้างทางขายของพวกรูปภาพ ภาพวาด ของที่ระลึก เข็มขัด กระเป๋า เเกดเจ็ตต่างๆ คนไม่เยอะ ทีเเรกที่เห็นว่าเป็น night market สิ่งที่เราคาดหวังคือ street food เเบบที่ไต้หวันหรือไทยบ้านเรา เเต่ผิดคาด ไม่มีเลย มีร้านอาหารเเบบนั่งทานอยู่ไม่กี่ร้าน เเต่นี่เเหละ สิ่งที่เราตั้งใจมาทาน
บรรยากาศหลังพระอาทิตย์ตกดิน
เราเดินวนๆ ดูร้านอยู่สักพัก เเต่สุดท้ายเดินเข้าร้าน Temple Spicy Crab เพราะมีกลิ่นกระเทียมที่หอมมากๆ โชยออกมา เราตัดสินใจเดินเข้าร้านทันที เป็นร้านเเบบเปิดโล่งไม่มีประตู เเต่ก็มีติดเเอร์เพิ่มความเย็น ทำให้เวลาทานเเล้วไม่ร้อนอ้าว วันนี้เราเลือกสั่งมา 3 เมนูด้วยกัน (เเต่จำราคาที่เเน่นอนไม่ได้สักจานเลย ที่จดไว้ดันหายไป)
ภายในร้าน Temple Spicy Crab
ปลาเก๋านึ่งซีอิ้ว สดมากๆ เนื้อหวานเเละเด้งสุดๆ ตัวไม่ใหญ่มาก ราคาถ้าจำไม่ผิด น่าจะประมาณร้อยกว่าเหรียญ นึ่งมาสไตล์เหลาบ้านเราเลย เเต่รสชาติไม่ได้จัดหวานเค็มเท่าบ้านเรา
ผัดคะน้าฮ่องกง จานนี้คือ the must ห้ามพลาด คะน้าฮ่องกงของเเท้ กรอบ นุ่ม หวาน ผัดมาอย่างดี คิดว่าน่าจะเป็นกระเทียมกับเกลือ เเละซีอิ้วนิดหน่อยเท่านั้น
เต้าหู้ทอดไข่เค็ม จานนี้เฉยๆ ค่อนข้างเลี่ยน เป็นเต้าหู้เอาไปทอดเเบบเต้าหู้ทอดบ้านเราเลย เเล้วคลุกผงไข่เค็ม ที่เหมือนเอาไข่เเดงเค็มไปป่นให้เป็นผง รวมๆ จานนี้เลยเลี่ยน เเต่เขาก็เสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำจิ้ม ที่รสชาติออกไปทางจิ๊กโฉ่วเปรี้ยวๆ สุดท้ายเราขอน้ำจิ้มไก่มาเพื่อตัดรสอีกที
กินจนเกลี้ยง
ทานเสร็จเลยตัดสินใจกลับโรงเเรมพักผ่อน เก็บเเรงเอาไว้เที่ยวต่อวันพรุ่งนี้ โดยเรามีเเพลนที่จะไปไหว้เจ้าเเม่กวนอิม ที่อ่าวรีพัลส์ / เที่ยวย่าน Causeway Bay / ทาน kakigori ที่เขาว่าห้ามพลาด / นั่งเรือเฟอรี่ข้ามฝั่ง จากฮ่องกงมาเกาลูน
โฆษณา