10 พ.ค. 2023 เวลา 00:15 • ปรัชญา
เรื่องราวของความเจ็บปวด ความเจ็บปวดเรื้อรัง ที่เกิดขึ้น เช่น ผู้ที่มีกระดูกสันหลังเคลื่อน จากอุบัติเหตุ แล้วมีการผ่าตัดใส่เหล็กน๊อตช่วยยึดพยุงกระดูกสันหลัง แล้วก็ยังเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา ก็ต้องอยู่นิ่งๆ เฉยๆ ความเจ็บปวดก็จะลดน้อยลง
มีพระที่เรานับถือท่านองค์หนึ่ง ท่านอธิฐานขอบวชตลอดชีวิต อธิษฐานว่าเจ็บป่วยก็ไม่บอกใคร ..ท่านบวชแล้วก็ ออกธุดงค์ ตั้งแต่รับกฐินเสร็จจน เข้าพรรษา มีระยะหนึ่ง ท่านเป็นโรคกระเพาะ ท่านก็ไม่บอกใคร จนกระเพาะทะลุ สลบตรงบันไดกุฏิ พอดีคนมาเจอ ก็หามท่านส่งโรงพยายาม
เวลาปฏิบัติธรรม ..ท่านก็ยืนสมาธิ ..ยืนนิ่งๆตั้งแต่หกโมงเย็นจนเที่ยงคืน ท่านแนะนำเรื่องของการประพฤติปฏิบัติธรรม เมื่อเกิดเวทนา ก็ต้องใช้ความขันติอดทน เพื่อที่จะผ่านเวทนานั่นไป .ผู้ที่กระทำได้จิต ..ก็จะเกิดคำว่า ขันติเป็นบารมี ต้องใช้ความอดทนมาก เคยถามท่านเรื่องของความขันติ ท่านบอกว่า องค์พระสิทธัตถะ ท่านเป็นสุดยอดของผู้ที่มีขันติ ท่านมีความเข้มแข็งอดทนมาก ไม่มีใครทำได้เยี่ยงอย่างท่าน ..
เรื่องของความขันติ..เรื่องของจิตที่มีกำลังนั้น ที่เค้าบอกว่าเวลาเจ็บปวดเจ็บป่วย นั้นเกิดจากเจ้ากรรมนายเวร
..เมื่อกายเราป่วย เจ็บป่วย เราก็ยังสร้างบุญสร้างกุศล เจ็บป่วยก็ปฏิบัติธรรม นั่งปฏิบัติธรรม ..ไป มันเจ็บปวด..ทุกข์ทรมาน ก็ทำจิตไม่ไปยึดความทุกข์ มีสติอยู่กับลมหายใจ อยู่กับตัว ความทุกข์ที่เกิดขึ้น ก็จะปรากฏออกมาเป็นสีดำปกคลุมทั้งเรือนกาย เราก็พยายามเอาสีแดงสีเหลือง (เรื่องนี้ต้องรู้จักเรื่องการจุดเทียนธรรม) เข้าไปตัดสีดำ คือทำกายให้นิ่ง จิตนิ่ง..ไปเรื่อยๆ เพียรรักษาจิตเช่นนั้นไป ..ก็จะปรากฏ เป็นลักษณะของนามธรรม เป็นภาพที่เราเคยไปกระทำเวรกรรมในอดีต
เคยนั่งคุยกัน เรื่องเจ้ากรรมนายเวร คนนั้นคนนี้ ก็เล่า ว่าเจ้ากรรมนายเวรนาย เป็นวัวมาปรากฏ เพราะเคยไปช่วยเค้าจับกันฆ่าวัว จับที่ขา ..วัวก็มาปรากฏเป็นภาพตอนปฏิบัติ พระท่านก็บอกว่า ของฉัน เจ้ากรรมนายเวรมากันยาวเหยียด ต่อแถวกัน ไปถึงบนเขาเลย นั้นก็คือ ..เรื่องราวของการประพฤติปฏิบัติธรรม จนเกิดมีการอโหสิกรรมเกิดขึ้น
หากเราอยากจะรู้จัก ความเจ็บปวดของตัวเราเองและเข้าใจคนอื่น มีความเห็นอกเห็นใจกัน ก็นำกายนี้ มาประพฤติปฏิบัติธรรม ทำด้วยความหมั่นเพียรอดทน เราจะเข้าใจทั้งเรื่องของทุกข์ ทุกข์ทรมาน จากกาย ความทุกข์ทรมานจากอารมณ์ ..ผู้ที่มีขันติเป็นบารมี ..จึงจะรู้จักทุกข์ ..แล้วก็วางทุกข์นั่นได้
วิธีที่ง่ายๆ จะรู้จัก .ความเจ็บปวด ความหิวกระหาย ก็ทดลอง อดข้าว อดอาหาร ปิดวาจา สักสามวันเจ็ดวัน ดื่มแต่น้ำเปล่า ..แล้วก็ปฏิบัติธรรม เดินจงกรม นั่งสมาธิ ..ตลอดเวลาที่อดอาหาร มีน้องผู้หญิงคนหนึ่ง อดไปสามวัน หิวแทบเป็นแทบตาย ก็ผ่านไปได้ ก็ไปชวนพี่ชายมาทำบ้าง ..อดไปเจ็ดวัน พอครบกำหนดเวา ก็ขอลาสัจจะที่อธิษฐาน ..เค้าเล่าว่า พอกล่าวลาเสร็จ ตัวมันเบาโล่ง เห็นอะไรก็รู้สึกมีความสุข นั่นก็คือ ความปิติของจิตที่เกิดขึ้นนั่นเอง
เรื่องของพระ..พระที่ท่านรู้ ..ท่านก็ไม่อยากรับปัจจัย ..อะไรของญาติโยมที่ยื่นให้ ท่านจะถามว่า โยมไม่เสียดายปัจจัยหรือ อุตส่าห์เอากายเอาสังขารพ่อแม่ ไปหามา กายก็เหน็ดเหนื่อย อ่อนเปลี้ย ต้องใช้อารมณ์มากมาย..ไม่เสียดายหรือ อยู่ๆก็เอามายื่นให้พระ .ไม่เสียดายหรือ พระที่ท่านรู้ ..รู้จักว่า ..บวชมาทำไม ..รู้ว่าอาหารที่ฉัน เพียงแค่ประทังสังขาร ให้ปฏิบัติธรรม
แล้วหากไม่ได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์ ใครเค้าจะเอามาถวาย .การถวายก็ต้องกราบนอบน้อมถวาย ..ใครเค้าจะมาทำ..ให้ หากไม่ครองผ้ากาสาวพัสตร์..นั่นก็เป็นเรื่องของจิต ที่ครองตนอยู่ในศาสนา เพื่อใ้ห้จิตของตน อาศัยกายปฏิบัติธรรม เพื่อให้จิตบรรเทาทุกข์ พ้นทุกข์
ท่านก็ระมัดระวังจิตของท่าน .เพราะมันมีคำว่า หนี้สิน..อยู่ในปัจจัยวัตถุสิ่งของที่เค้าถวาย ท่านมักบอก ..ให้ตั้งจิตถวายพระพุทธเจ้า แล้วท่านถึงจะรับ ..เพราะเป็นศิษย์พระตถาคต แล้วก็ให้กรวดน้ำอุทิศกุศล ปัจจัยอาหารที่ลอยมาถวาย มันก็มาจากน้ำพักน้ำแรงของคนมากมาย ที่เหน็ดเหนื่อย กว่าจะมาเป็นอาหารอยู่ตรงหน้า
..เราหมั่นพิจารณา ก็จะค่อยๆ เข้าใจ เรื่องอาหารการกิน เรื่องเสื้อผ้า ที่กว่าจะมาถึงมือเราให้ใช้สอย เกี่ยวพันกันอยู่ ..อุปถัมภ์ค้ำชูกันอยู่ ภัตตาหารมิตตาหารที่ถวายมาตรงหน้า ก็ล้วนมาจากเรือนกายที่ญาติโยมไปหามา ท่านจึงต้องปฏิบัติธรรม ส่งคืนบุญกุศล ที่เค้าเอาอาหารมาถวายให้ฉัน แปรสภาพเป็นน้ำเลือดน้ำหนอง หล่อเลี้ยงเรือนกาย ท่านก็ใช้กายใช้สังขารปฏิบัติธรรม ส่งคืนบุญกุศลย้อนกลับคืนให้แก่ ผู้ที่นำปัจจัยนั้นมาถวายท่าน ให้เกิดคำว่า บุญกุศล แล้วจิตดวงนั้นก็มีพื้นฐานมาดี รู้จักคำว่า กตัญญูรู้คุณ..เป็นอย่างดี.
โฆษณา