Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
PPam_Cashury
•
ติดตาม
15 พ.ค. 2023 เวลา 11:00 • ความคิดเห็น
The Wealthy Mindset
#สรุปสัมมนา CFP PROFESSIONAL FORUM
หัวข้อ “The Wealthy Mindset”
1
โดย คุณวิน พรหมแพทย์, CFAผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
1. Pay Yourself First and Set Target
- จ่ายเงินให้ตัวเองก่อนไปจ่ายให้คนอื่น เช่น เจ้าหนี้ พ่อค้า- สมการของคนรวย “ออมก่อนใช้” คือ เงินเดือน - เงินออม = เงินเหลือใช้ (สมการนี้ใช้ได้กับทุกคนที่มีรายได้)
- สำหรับสายฟรีแลนซ์ เงินไม่ได้มาประจำทุกเดือน เมื่อมีเงินมาก็หักออมก่อนทุกครั้งแทน
- เราควรตั้งเป้าหมายทางการเงินให้ชัดเจน และตั้งคำสั่งหักเงินซื้อหน่วยลงทุนอัตโนมัติ (ทำ DCA ทุกเดือน) เพื่อสร้างวินัยการลงทุนและทำให้เคยชิน
- ลงทุนเรื่อยๆ ทุกเดือน จะรู้สึกชินไปเอง และไม่รู้สึกว่าเป็นภาระ- ทำ DCA กับกองทุนลดหย่อนภาษีอย่าง RMF ทุกเดือนก็ได้
2. Start Early, Finish Rich
- ออมก่อน รวย (เร็ว) กว่า
- ถ้าเรามัวแต่ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่รีบลงทุน ยิ่งเวลาเหลือน้อยลงก็จะต้องเก็บออมเงินต่อเดือนมากขึ้น และอาจจะต้องเก็บเงินออมมากกว่าคนที่เริ่มออมเร็วถึง 2 เท่ากว่าๆ
- เช่น อยากมีเงิน 1 ล้านบาท ตอนอายุ 35 ปี นำเงินไปลงทุนได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5% ต่อปี ถ้าเริ่มออมตอนอายุ 25 จะออมเงินเดือนละ 6,625 บาท แต่ถ้าเริ่มออมตอนอายุ 30 จะต้องออมเงินมากถึงเดือนละ 15,000 บาท
- การเริ่มก่อนและเริ่มด้วยจำนวนเงินน้อยๆ จะทำให้เราถึงเป้าหมายได้ง่ายกว่า ถ้ามัวแต่รอไปก่อนเดี๋ยวค่อยออม ตอนนั้นจะต้องออมเงินต่อเดือนมากขึ้น ซึ่งก็น่าจะทำได้ยาก (ต่อให้เงินเดือน 40,000 บาท ถ้าจะหักออมสัก 15,000 บาทต่อเดือน ก็คงจะทำได้ยาก)
3. Wealth is What You Don’t See
- ความร่ำรวย คือ สิ่งที่เรามองเห็น แต่ความมั่งคั่ง คือ สิ่งที่เรามองไม่เห็น
- เช่น รถหรูแสดงออกถึงความร่ำรวย แต่เบื้องหลังอาจจะเป็นแชร์ลูกโซ่ หรือเป็นหนี้สินมากมาย
- ส่วนใหญ่คนที่รวยจริงจะไม่ค่อยโชว์ความรวย เช่น Jeff Bezos กับ Mark Zuckerberg ตอนที่กำลังทำธุรกิจและสร้างความมั่งคั่งก็ใช้เพียงรถยนต์ธรรมดาคันนึง ไม่ได้ใช้รถหรู แต่เบื้องหลังคือมีเงินมหาศาล รวมถึงลูกค้าบางคนที่รวยเป็นหมื่นล้านก็ใช้รถญี่ปุ่นธรรมดา (ที่ไม่ใช่รถสปอร์ต)
- บางทีการสร้างความมั่งคั่ง เราก็สร้างแบบเงียบๆ เรื่อยๆ ก็ได้ เดี๋ยววันนึงก็มั่งคั่งเอง ไม่ต้องรีบอวด ถ้ารีบอวดเกินไปอาจจะกลายเป็นหนี้และเป็นภาระ
- ถ้าอยากรวยอยากมั่งคั่ง ก็ต้องใช้เงินให้เป็นด้วย ไม่ใช้เงินฟุ่มเฟือย
4. Focus on Asset Allocation, not Market Timing
- 93.6% ของผลตอบแทนการลงทุนที่ได้ มาจากการจัดสัดส่วนการลงทุน (Asset Allocation) ดังนั้น การจัดพอร์ตสำคัญสุดในการสร้างผลตอบแทน และทำให้ประสบความสำเร็จจากการลงทุน
- อย่าเสียเวลากับการจับจังหวะตลาด (Market Timing) เพราะในชีวิตจริงเราคาดการณ์ผลตอบแทนตลาดได้ยากมาก ขนาดนักวิเคราะห์ที่เชี่ยวชาญในตลาดหุ้น Wall Street ก็ยังทายผิดมากกว่าถูก
5. Think Long Term, Stay Invested and Stay Diversified
1
- ต้องลงทุนระยะยาว เวลาเกิดปัญหาต้องไม่ตกใจขาย และกระจายความเสี่ยงด้วย
- อย่าง Warren Buffett กว่าจะประสบความสำเร็จในการลงทุนก็ใช้เวลานาน เค้าเริ่มลงทุนเมื่ออายุ 14 ปี ด้วยเงิน $5,000 และกว่าจะมีสินทรัพย์เกินพันล้านก็อายุเกิน 55 แล้ว
- การสร้างความมั่งคั่งจึงต้องใช้ความรู้ เวลา และความอดทน
- การลงทุนถ้าสั้นไปก็มีโอกาสขาดทุนเยอะ ถ้าเราให้เวลานานหน่อย จะช่วยลงโอกาสการขาดทุนลงได้มาก โดยถ้าลงทุน 1 วัน โอกาสขาดทุนสูงถึง 46% ถ้าลงทุน 1 ปี โอกาสขาดทุน 27% ถ้าลงทุน 10 ปี โอกาสขาดทุน 6% และถ้าลงทุนนานถึง 20 ปี โอกาสขาดทุน 0%
- บทเรียนในอดีตสอนว่า การคงเงินลงทุนไว้ (Stay Invested) ในช่วงตลาดลงแรงช่วยให้เราไม่พลาดโอกาสทำกำไรช่วงตลาดเป็นขาขึ้น
- เวลาหุ้นตกคนจะตกใจ และลังเลว่าจะ Cutloss ดีมั้ย จะขายดีมั้ย ถ้าเราอดทนอยู่ต่อไปก็จะเอนจอยช่วงตลาดฟื้น
- การจัดพอร์ตแบบกระจายความเสี่ยง (Diversified Portfolio) ช่วยลดความผันผวนของผลตอบแทนการลงทุน
- ไม่มีสินทรัพย์ไหนให้ผลตอบแทนเป็นอันดับ 1 ตลอดเวลา จะผัดกันขึ้นลง และบางสินทรัพย์ก็มีความหวือหวา (ปีก่อนผลตอบแทนได้ที่โหล่ ปีถัดมาได้เป็นที่ 1 ปีต่อไปร่วงลงมาอยู่รองบ๊วย)
6. In Extreme Fear, We Buy
- โอกาสการลงทุนที่ดีที่สุด คือ วันที่ตลาดเต็มไปด้วยความกลัว และคนส่วนใหญ่พร้อมใจกันเทขายหุ้น
- ยิ่งตลาดหุ้นขึ้น เราจะมีความโลภ อยากเกาะกระแส กลัวตกรถ ส่วนใหญ่ก็จะมาซื้อตอนอยู่แถวยอดดอยแล้ว พอตลาดร่วงช่วงแรกๆ ขาดทุนนิดหน่อยเราก็ยังไม่เป็นไร เมื่อตลาดร่วงหนักจนถึงจุดต่ำสุดถึงจะกลัวสุดขีดและถอดใจขายจุดนั้นไป บางคนถึงซื้อแพงขายถูก
- เมื่อคนกลัวเราต้องกล้าที่จะซื้อ และเมื่อคนโลภเราก็ต้องกล้าที่จะขาย
- ตลาดหุ้นสะท้อนใจคนได้ชัดเจนมาก ถ้าเราอ่านใจคนได้ก็จะเข้าใจมากขึ้นว่าคนคิดอะไรอยู่ คนกลัวอะไรอยู่ คนโลภอะไรอยู่ ช่วยให้เราตั้งหลักได้และตัดสินใจได้ดีขึ้น
- นักลงทุนส่วนใหญ่จะเป็น Trend Followers ใครซื้อก็ซื้อตามด้วย แต่นักลงทุนที่เก่งและประสบความสำเร็จจะเป็น Contrarian กล้าคิดต่างจากคนอื่น คิดตรงข้ามในด้านอารมณ์ ก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า
- เราสามารถติดตามว่าตอนนี้คนกล้าหรือคนกลัวได้จาก VIX Index และ Fear and Greed Index ในเว็บ CNN.7. Avoid Taking too much Risk
- สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การบริหารความเสี่ยง เราต้องระมัดระวัง ไม่เสี่ยงจนเกินไป
- เงินในพอร์ตเป็นเงินของเรา เราต้องปกป้องรักษาให้ดี การเก็งกำไรบ้าระห่ำมากเกินไป โอกาสจะเสียเงินก็มีเยอะ และเราจะเสียหายเยอะมาก
- แนะนำให้จำกัดเงินลงทุนในส่วนท่ีเสี่ยงสูง เพราะเมื่อพอร์ต -50% จะต้องการผลตอบแทนเป็น +100% เพียงเพื่อกลับมาเท่าเดิม
- วิธีจัดพอร์ตให้คุมความเสี่ยง ควรจัดพอร์ตแบบ Core - Satellite โดยเงินส่วนใหญ่ประมาณ 80% เป็น Core Portfolio ลงทุนกระจายหลายสินทรัพย์ และแต่สินทรัพย์ก็ควรกระจายเยอะๆ ด้วย เช่น ลงทุนหุ้นก็ต้องกระจายทั่วโลก เป็นต้น ส่วนที่เหลือ ไม่ควรเกิน 20% เป็น Satellite Portfolio ลงทุนเสี่ยงสูงได้ เช่น หุ้นจีน หุ้นเวียดนาม ทองคำ แนะนำกระจายลงหลายกองทุน แต่ละกองทุนไม่ควรเกิน 5%
สรุปและเรียบเรียง โดย
พรรัตน์ โสภณธนกิจ, AFPT™
พัฒนาตัวเอง
การลงทุน
ไลฟ์สไตล์
บันทึก
1
4
1
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย