26 พ.ค. 2023 เวลา 08:27 • การเมือง

ความเห็นที่ดีที่สุด และสมควรรับฟัง...

ประเด็นร้อนเมืองไทย ตอนนี้ ว่ากันตรงๆ
ก็คงไม่มีอะไรเกินมาตรา 112
เพราะถูกนำมาใช้เป็นเงื่อนไข ในการตั้งรัฐบาล
ส่วนมากมีแต่คนให้ความเห็นแบบสุดโต่ง
เอาอคติทางการเมืองนำทั้งสองฝ่าย ทั้ง
แก้ เลิก และ ไม่เลิก ไม่แก้เลย
แต่ผมว่าความเห็นของท่านนายกสภาทนายความ
นี่เข้าท่าสุด และน่าจะเป็นแนวทางที่ดี ที่จะยุติปัญหาได้
แนะนำว่า อ่านเนื้อหาที่ท่านว่าตามลิงค์ก่อนจะอ่านโพสต์นี้ต่อเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน
จะเห็นว่า ผู้รู้ทางกฎหมาย ก็ทราบดีถึงปัญหา
การบังคับใช้ ซึ่งมันมีอยู่จริง
ถ้าว่าตามตำรากฎหมาย คือ มันเป็นกฎหมาย
ที่ให้อำนาจกับดุลพินิจเจ้าพนักงานมากจนเกินไป
เพราะเขียนไว้กว้างมาก และไม่จำกัดว่าผู้ร้องเป็นใคร
ทำให้เกิดการกลั่นแกล้งได้ง่าย
อีกอย่างเป็นกฎหมายที่ไม่แยกลักษณะโจร
เพื่อระบุอัตราโทษเหมือนคดีอาญาปกติ
ลักษณะโจรคืออะไร ?
ก็คือลักษณะการกระทำผิดต่างๆ
เช่น ในคดีเกี่ยวกับชีวิตคน เราจะแยกไปเลย
ว่า ฆ่าคนโดยเจตนากับไม่เจตนา มีอัตราโทษต่างกัน
หรือ พยายามฆ่า ก็จะมีอัตราโทษที่ไม่เท่ากับฆ่าไปแล้ว
แบบนี้เป็นต้น
ซึ่งการแยกลักษณะนี้ อาจแยกมาตราออกไป
หรือเขียนเป็นอนุมาตราก็ได้
มันจะทำให้มีกรอบของการบังคับใช้
เพื่อให้เหมาะสมกับพฤติการณ์ของคดี
ซึ่งมันมีผลมากในการขอประกันตัวเพื่อสู้คดี
ในกรณีมาตรา 112 ด้วยความที่ถูกระบุอยู่ใน
หมวดความมั่นคง และถูกเขียนรวม
ไม่แยกลักษณะฐานความผิดให้ชัดเจน
ทำให้เจ้าพนักงาน มักจะแจ้งฐานความผิดสูงสุดไว้ก่อน
และอาจเกิดการกลั่นแกล้งจากผู้ถืออำนาจรัฐได้
ประเด็นนี้ ดูจากคำพูดท่านนายกฯท่านก็ว่าควรแก้
เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิ์ประกันตัวได้มากขึ้น
ตามหลักกฎหมาย ที่ว่า ต้องยึดว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก่อน
จนกว่าคดีจะถึงที่สุด
ซึ่งผมเห็นด้วยนะ
และการเปลี่ยนคนรับเรื่องจากเจ้าพนักงานตำรวจโดยตรง
เป็นคณะกรรมการพิจารณาเรื่องนี้โดยเฉพาะ ก็เป็นแนวทางที่ดี แม้จะไม่ระบุว่ามาจากไหนบ้างก็ตาม
ซึ่งคงต้องไปว่าในรายละเอียดอีกที
...โดยสรุป ผมเห็นด้วยกับแนวทางของท่านนี้มาก
อาจค่อนข้างคล้ายกับกรณีของคุณเสรีพิสุทธิ์ อยู่บ้าง
แต่ดูแล้ว ก็ควรรับฟัง ...
กฎหมายคุ้มครองประมุขแห่งรัฐนั้น จะอย่างไรก็ต้องมี
ผมเห็นด้วย ว่ายกเลิกไม่ได้
แต่หากมันมีปัญหาการบังคับใช้ เพราะความไม่ชัดเจน
และเขียนไว้กว้างจนเกินไป มันก็สมควรปรับปรุง
ส่วนตัว ผมว่าอย่างหนึ่งที่ควรปรับ
คือ การพิจารณาว่าการนำเสนอข่าวต่างๆ
โดยบริสุทธิ์ใจนั้นสามารถทำได้หรือไม่ ?
เรื่องนี้โดยผมมองว่า สมควรแก้ไขให้ทันยุคสมัย
เพื่อป้องกันการนำไปหาประโยชน์ของคนบางกลุ่ม
และเพื่อความชัดเจนต่อสังคม
บางครั้ง สังคมตั้งคำถาม เพราะมีข่าวจากสื่อต่างประเทศ
ที่เราไม่สามารถปิดกั้นเอาไว้ได้
สิ่งนี้หากพูดไม่ได้โดยบริสุทธิ์ใจ ก็จะไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริง
ความสงสัยมักนำมาซึ่งทฤษฎีสมคบคิดต่างๆ
มันจะยิ่งทำให้สังคมสับสน
และส่งผลเสียต่อสถาบันมากกว่า
เพราะบางคนก็นำไปหาผลประโยชน์ อย่างที่เป็นข่าว
ทั้งอดีตพระ หรือผู้ออกตัวว่าสนับสนุนสถาบัน
ที่ใช้สิ่งนี้ไปหลอกลวง สร้างราคาให้ตนเอง
เมื่อพูดอะไรไม่ได้เลย คนเหล่านี้จึงสบายไป
และสามารถหลอกลวงคนได้เป็นจำนวนมากๆ
เจ้าหน้าที่ก็เกรงใจ ไม่กล้าตรวจสอบ
...ซึ่งสุดท้ายผลเสียมันตกอยู่ที่ใครที่สุดล่ะ?...
ส่วนตัวผมมองว่า ในเรื่องที่มันอาจเป็นข้อเท็จจริง
และไม่ใช่เรื่องส่วนพระองค์
ควรเปิดโอกาสให้พูดได้ ในเบื้องต้นก่อน
แต่ต้องให้รับผิดชอบกับข้อมูลกันมากขึ้น
โดยหากเป็นข้อมูลเท็จเพื่อหวังสร้างความเสียหาย
ก็เพิ่มโทษให้รุนแรงขึ้น
จะได้ระวังกันมากๆ ก่อนจะเผยแพร่อะไรออกไป
ส่วนนี้มันเป็นปัญหา
เพราะบางคนไม่ต้องการให้พูดถึงเลย
ซึ่งถ้าว่ากันตามตรง มันเป็นไปไม่ได้ในปัจจุบัน
การแก้กฎหมาย เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์
มันน่าจะเป็นเรื่องที่ควรทำมากกว่า....
112 นั้น โดยตัวกฎหมาย มันไม่มีส่วนไหนที่ไม่ดี
ทั้งแง่เนื้อหา และเจตนารมณ์
ปัญหาคือมันเขียนกว้างไป และมีช่องว่างมาก
จึงถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทำลายช้างทางการเมือง
มาตลอดทุกยุคสมัย
น่าสังเกตว่า กฎหมายฉบับปัจจุบัน เขียนขึ้นในช่วงปี
2499 และถูกประกาศใช้ในปี 2500 ซึ่งประเทศเริ่มเผชิญกับภัยคอมมิวนิสต์ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ซึ่งการต่อต้านคอมมิวนิสต์อาจเป็นเหตุผลหนึ่ง
ที่ทำให้กฎหมายถูกเขียนแบบนี้
แต่โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว...
หนึ่งในคดีตัวอย่าง ที่บอกได้ชัดว่า
มีการใช้มาตรานี้กลั่นแกล้งกัน
ก็คือคดีของ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล
ซึ่งสู้คดีอยู่นานมาก กว่าจะพ้นข้อกล่าวหามาได้
ซึ่ง เราก็ทราบดี ว่าแกมีจุดยืนอย่างไร มันเป็นไปไม่ได้
อยู่แล้ว ที่แกจะดูหมิ่นหรืออาฆาตมาตรร้ายสถาบัน
แต่ก็โดน นี่คือคดีที่ชัดเจนที่สุด ถึงปัญหาการบังคับใช้
...ดีที่คุณสนธิมีเงินสู้คดี ถ้าเป็นชาวบ้านปกติ
ก็คงติดคุกไปแล้ว เพราะไม่ไหวกับค่าใช้จ่ายในการสู้...
...และนี่ก็คือปัญหาอีกส่วน เพราะบางคนที่โดน ก็ไม่รู้เรื่องอะไร ไม่มีเจตนาจริงๆ แต่ไม่มีเงินสู้คดี....
เนื่องจาก 112 ปัจจุบัน คนใช้คือตำรวจ
และตำรวจก็ถูกครอบงำโดยนักการเมือง
ที่ให้คุณให้โทษในหน้าที่การงานได้ง่าย
ดังนั้น มันไม่มีหลักประกันอะไรเลย ว่าพวกเขาจะทำหน้าที่ได้ถูกต้องตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
หากกฎหมายยังเขียนไว้เปิดกว้างแบบนี้
เอาง่ายๆ นะ สมมุติก้าวไกลเป็นรัฐบาลสำเร็จ
แล้วเขาไม่แก้ เขาก็สามารถใช้กฎหมายนี้เล่นงานฝั่งตรงข้ามได้เช่นกัน โดยร่วมมือกับตำรวจ
...กรณีคุณสนธิเอารูปปูตินที่ตัดต่อมาออก....
...หรือกรณีที่มีคนเอาภาพบางภาพ ไปใส่แคปชั่น
ที่อ้างกระแสรับสั่งที่อาจทำให้เข้าใจว่าสถาบันสนับสนุนฝ่ายตน หวังผลทางการเมือง...
พวกนี้ไม่มีรอดหรอก ถ้าสมมติก้าวไกลเป็นรัฐบาล
แล้วจะใช้ 112 เล่นน่ะนะ...
เพราะการอ้างสถาบันแบบไม่บังควร หรือการเผยแพร่ข้อมูลลักษณะโหนที่อาจเป็นเท็จ มันก็ถูกตีความได้เช่นกันว่าเป็นการหมิ่นฯ หรือแอบอ้างเพื่อผลประโยชน์
ผมมองฝ่ายที่ยืนกระต่ายขาเดียวว่าไม่แก้เลยเนี่ย
คือ พวกเขามั่นใจว่าอำนาจรัฐจะยังอยู่กับพวกเขา
ที่จะยังอาศัยเป็นเครื่องมือทางกฎหมายต่อไปได้
มากกว่าที่จะมองถึงประเด็นให้คุณให้โทษจริงๆ
ของข้อกฎหมายที่มีต่อสังคม
ที่จริงแนวทางที่ท่านนายกฯเสนอมา
มันก็ควรถูกพิจารณานั่นแหละ
ก็หวังว่า ถ้าก้าวไกลหรือใครจะเสนอแก้
จะเสนอแนวทางนี้เข้าไปด้วย
เผื่อมันจะจบ เรื่องวุ่นวายพวกนี้ได้เสียที....
โฆษณา