28 พ.ค. 2023 เวลา 10:19 • ไลฟ์สไตล์

"กูเบื่อร้านเหล้าขายนม!"

...ใครคนหนึ่ง สบถออกมากลางวงสุราแบบนั้น....
จุดเริ่มของบทสนทนา คือ เพื่อนถามผมว่า
จะไม่เปิดร้านเหล้าอีกแล้วเหรอ?
หลังจากผมร้างมือไปนาน จากช่วงโควิด
...คือ หลังโควิด เคยไปแจมๆกับรุ่นพี่ทำมาเหมือนกัน
แต่ไม่ถือว่าจริงจัง และไม่ใช่ร้านแบบที่ต้องการ
แบบที่เคยทำมา แล้วขายได้ ที่พวกๆต้องการ...
ผมตอบคำถามนี้ว่า ดูก่อน ก็มีไอเดียในหัวแหละ
ดูจังหวะอีกนิดแล้วกัน พอดีเพิ่งเปิดส่วนงาน CG
โดยเฉพาะเพิ่ม ที่บริษัท เลยยุ่งๆ....
1
...มันก็เลยพูดขึ้นมาแบบที่จั่วหัวนั่นแหละ...
ผมคิดว่ามีคนจำนวนไม่น้อยเหมือนกันที่เห็นแบบนี้
เพราะร้านเหล้าสมัยนี้ ทั้งร้านหรูร้านไม่หรู
...เน้นขาย "นม"...
ไอ้ประเภทจะมีเพลงดีๆฟัง อาหารดีๆ น้อยลงมาก
มันมีแหละ แต่มักเป็นย่านฝรั่งเที่ยว ไม่ก็มีราคาแพงไปเลย เช่นพวกร้านในตำนานอย่าง Saxophone
ไม่ก็ต้องถ่อไปฟังเพลงถึงเชียงใหม่ ซึ่งยังหลงเหลือ
ร้านขายดนตรีจริงๆ อีกพอสมควร นักดนตรีเก่งๆ
ส่วนมากสุมหัวกันอยู่ที่นั่น...
ส่วนอาหารนั้น กลายเป็นว่า ร้านเน้นอาหาร ก็กลายเป็น
ร้านอาหารจริงๆไปหมด ไม่มีเพลงดีๆฟังเท่าไหร่
แล้วปัจจุบันร้านเหล้าระดับกลางๆ
คุณภาพอาหารก็ตกลงไปมาก
1
...เพราะไปเน้นขาย "นม" กันมากไป....
สมัยผมทำร้าน ถ้าเป็นร้านตัวเอง ไม่ใช่เป็นหุ้นคนอื่น
ผมจะเน้นมากในทั้งสองเรื่อง คือ ดนตรี และ อาหาร
อาจเพราะ เคยเป็นนักดนตรี และชอบทำกับข้าวด้วย
ผมเลยมองจุดนี้เป็นหลัก
...แล้วมันก็ประสบความสำเร็จมาตลอด...
จากประสบการณ์ ผมมองว่าการขายแบบเจาะกลุ่มนั่น
ดีกับร้านมากึขายหว่าน เอาตลาดทุกกลุ่ม
ร้านผมทุกร้าน ยอมจ้างนักดนตรีแพงๆ
เน้นเพลงสากล เพราะต้องการลูกค้าผู้ใหญ่เป็นหลัก
คนฟังเพลงประมาณ C.C.R. , The Who , LynardSkynard หรือเพลงสากลยุค 60-70
พวกนี้ปัจจุบัน ไม่มีพวกกระจอกกระเป๋าบางหรอก
1
กลุ่มนี้คือคนอายุ 40-70 ซึ่งเป็นช่วงพีคของคน
ลูกค้ากลุ่มนี้มีกำลังซื้อสูงที่สุดในทุกตลาด
แต่ก็พิถีพิถันในทุกเรื่องมากเช่นกัน
ดนตรีต้องดี อาหารต้องอร่อย ที่สำคัญ สะอาด
บริการต้องดีจริงๆเท่านั้น ถึงจะดึงลูกค้ากลุ่มนี้
ให้ยอมมาจ่ายเงินบ่อยๆได้
...ส่วนเรื่องนม สำหรับลูกค้ากลุ่มนี้นั้น....
ถ้าเขาต้องการ เดี๋ยวเขาก็โทรเรียกเองแหละ ไม่ต้องไปยัดเยียด เอาเด็กมาเดินล่าดื่มให้เขาแบบร้านคาราโอเกะ แบบนั้นลูกค้ากลุ่มนี้จะรำคาญ มากกว่าชอบ
เพราะส่วนมากลูกค้ากลุ่มนี้มาฟังเพลงจริงๆ
หรือถ้ามาเป็นกลุ่ม ก็ต้องการคุยกันเองมากกว่า
ที่จะมีคนนอกเพราะส่วนมากจะมีวาระเรื่องงาน
แอบแฝงเข้ามาด้วย
สมัยผมทำร้าน จะเน้นมาก ที่จะเอากลุ่มนี้ไว้ให้ได้
และโชคดี ที่ผมรู้จักนักดนตรีเก่งๆ ที่เล่นเพลงสากลเก่าเยอะเพราะเคยเล่นมาก่อน จึงหาได้ในราคาที่อาจถูกกว่าคนอื่นบ้าง หลายคนแค่อยากเล่น อยากปล่อยของ
เล่นเพลงที่อยาก ก็เลยยอมเล่นให้
ถึงแบบนั้น มันก็แพงกว่าคนเล่นเพลงตลาดอยู่ดี
แต่มันคุ้มนะ เราขายได้แพง ไม่ต้องสู้ในสงครามราคา
กับร้านทั่วไป สมัยผมทำร้านสุดท้ายก่อนโควิด
ผมขายเบียร์ Heineken ขวดใหญ่ได้ถึง 200 บาท
เบียร์สิงห์ 180 ก็มีคนนั่งเต็ม เพราะลูกค้าผู้ใหญ่เขา
มองว่าคุ้มที่จะจ่ายมาฟังเพลงดีๆ
ซึ่งถ้าขายแบบหว่าน เอาตลาดทุกกลุ่ม จะทำแบบนี้ไม่ได้เลย คุณจะเจอสงครามการดัมพ์ราคาแข่งกัน อย่างเบียร์สิงห์นี่ อาจโดนลากไปแข่งในราคา 3 ขวด 239 บาทได้เลย ตอนนี้ส่วนมาก ผับระดับกลางๆ ก็ราคานี้แหละ
1
ส่วนหนึ่ง ที่ต้องขายถูกขนาดนั้น
...ก็เพราะ "นม" นี่แหละ คือต้นเหตุ....
เพราะกลุ่มลูกค้าไม่แน่นอน
ถ้าคนน้อย นมก็ไม่มาทำงานอีก มันหาดื่มไม่ได้
จึงต้องเอากลยุทธ์ราคามาดึงคนเข้าร้านเป็นหลัก
ดังนั้นจึงเหมือนกับ นม บีบให้ร้านขายถูกไปโดยปริยาย
และนมได้ตัง ก็ไม่ใช่ว่าร้านได้ไปด้วยนะ
อาจหักได้แค่ดื่มหรือสองดื่มแรกเท่านั้น
ร้านขายนม อาจมียอดหวือหวาจากค่าดื่มน้อง
แต่มันแค่ผ่านมือ สุดท้ายก็ต้องไปที่นม
ในมุมมองผม ขายลูกค้าตลาดบน
ฟังเพลงมันคุ้มกว่าเยอะ ถึงจะต้องจ่ายนักดนตรีแพงก็ตาม
ส่วนมากค่าใช้จ่ายจ้างนักดนตรีเพลงสากล คือ ราวๆ 3,000-5,000 ต่อวัน กับนักดนตรีสองช่วง
ช่วงละ 2-3 คน
แต่ลูกค้าผู้ใหญ่นั้นโดยมากกินเฉลี่ยแล้ว เรากำไรหัวละเกิน 500 บาทแน่ๆ มันจึงค่อนข้างคุ้มในกรณีมีคน
...ซึ่งปัจจุบันนี้ คู่แข่งร้านลักษณะนี้น้อยลงมาก....
...มันก็แปลกเหมือนกัน ที่ไม่มีใครสนใจลงทุน....
" มึงรอหน่อย กูทำแบบไว้แล้ว กำลังหาที่อยู่ "
...ผมบอกมันแบบนั่น
...น่าจะถึงเวลาแล้วมั้ง ปีนี้สักสองที่ก็ไม่เลว...
...ขืนรอเศรษฐกิจดี ก็คงไม่ต้องทำอะไรกันพอดี....
...คิดว่ามีไม่น้อยหรอก ที่เบื่อ "นม"....
โฆษณา