27 มิ.ย. 2023 เวลา 02:00 • ประวัติศาสตร์

ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๖ ...พระมหาธีรราชเจ้าของชาวสยาม

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นชาวไทยคนแรกที่ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ เมื่อครั้งทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสยามมกุฎราชกุมาร ทรงผนวชที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นพระอุปัชฌาย์ เสด็จประทับจําพรรษาศึกษาพระธรรมวินัย ณ วัดบวรนิเวศวิหารเป็นเวลา ๑ พรรษา
1
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงผนวช : Cr : สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร
และเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมชนกนาถเสด็จสวรรคตในวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ พระองค์ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๖ แห่งราชวงศ์จักรี
ด้วยประสบการณ์ที่ทรงศึกษาอยู่ในทวีปยุโรปนานถึง ๙ ปี ทรงมีมโนปณิธานมุ่งมั่นที่จะพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศ ในขณะเดียวกันให้คงรักษาไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของชาติและพระพุทธศาสนา พระราชกรณียกิจสำคัญหลายประการที่พระองค์ได้ริเริ่มไว้ยังเป็นคุณูปการต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ดังเช่น การประกาศใช้ “พุทธศักราช” เป็นศักราชทางราชการแทนการใช้รัตนโกสินทร์ศก เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๖ ด้วยทรงเห็นว่า คริสต์ศาสนิกชนใช้คริสต์ศักราช (ค.ศ.) ในประเทศตะวันตก ดังนั้น พุทธศาสนิกชนในแผ่นดินสยามจึงควรใช้ศักราชที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนา เพื่อแสดงถึงความผูกพันระหว่างพระพุทธศาสนาและชาวสยามที่มีมาอย่างช้านาน และเป็นการประกาศให้ทั่วโลกทราบด้วยว่าประเทศสยามเป็นเมืองพุทธที่มีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นพุทธมามกะเป็นประมุข ดังพระราชดำริว่า...
“...ศักราชรัตนโกสินทร์ที่ใช้อยู่ในราชการเดี๋ยวนี้ มีข้อบกพร่องสำคัญอยู่ คือเปนศักราชที่สั้นนัก จะกล่าวถึงเหตุการณ์ใดๆ ในอดีตภาคก็ขัดข้อง ด้วยว่าพอกล่าวถึงเรื่องราวที่ก่อนสร้างกรุงขึ้นไปแล้ว ก็ต้องหันไปใช้จุลศักราชบ้าง มหาศักราชบ้าง และข้างในวัดใช้พุทธศักราช ฝ่ายคนไทยสมัยที่อยากจะกล่าวถึงเหตุการณ์อันมีมาก่อนสร้างกรุงรัตนโกสินทร์นี้ ก็มักหันไปใช้คฤสตศักราช ซึ่งดูเปนการเสียรัศมีอยู่
จึงเห็นว่าควรใช้พุทธศักราชจะเหมาะดีด้วยประการทั้งปวง เปนศักราชที่คนไทยเราซึมทราบดีอยู่แล้ว ทั้งในประกาศใช้พุทธศักราชอยู่แล้วและอีกประการ ๑ ในเวลานี้ก็มีแต่เมืองเดียวที่มีพระเจ้าแผ่นดินถือพระพุทธศาสนา...”
***ที่มา หอจดหมายเหตุ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระไตรปิฎกบาลีด้วยอักษรไทยพระราชทานทั้งในและต่างประเทศ มาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอาราธนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา วชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชเจ้า องค์สกลมหาสังฆปรินายกในเวลานั้น ให้ทรงเป็นแม่กองชำระคัมภีร์อรรถกถา แล้วทรงบริจาคพระราชทรัพย์ให้จัดพิมพ์อรรถกถาพระไตรปิฎกเป็นเล่มสมุดพระราชทานในราชอาณาจักร ๒๐๐ จบ และพระราชทานในนานาประเทศ ๔๐๐ จบ
ทั้งทรงสนับสนุนการศึกษาของพระภิกษุ-สามเณร โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส จัดการศึกษาพระปริยัติธรรมขึ้นอีกหลักสูตรหนึ่ง เรียกว่า “นักธรรม” และให้เปลี่ยนการสอบบาลีสนามหลวงจากการสอบปากเปล่ามาเป็นการสอบด้วยวิธีเขียน และให้การเลิกสอบเปรียญตรี โท เอก มาเป็นสอบบาลีตั้งแต่ประโยค ๑-๙ ซึ่งเป็นระบบที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน
ส่วนด้านการศึกษาของกุลบุตร พระองค์ทรงเปลี่ยนคตินิยมการสร้างวัดประจำรัชกาลตามราชประเพณีเดิมมาเป็นการสร้างโรงเรียนแทน เพราะทรงเล็งเห็นว่าวัดต่าง ๆ ซึ่งได้สร้างในรัชกาลก่อนมีจำนวนมากเกินกำลังจะทำนุบำรุงดูแลให้ทั่วถึง ประกอบกับการศึกษาและสถานศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ จึงมิได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดเพิ่มเติม แต่เปลี่ยนมาสร้างโรงเรียนแทน
โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยจึงเปรียบเสมือนวัดประจำรัชกาลของพระองค์ อาคารหลายหลังภายในโรงเรียนจึงมีรูปทรงคล้ายโบสถ์และศาลาวัด ถึงแม้ตลอดช่วง ๑๕ ปี แห่งรัชสมัยทรงมิได้สร้างวัดขึ้นเพิ่มเติม แต่ทุกปีพระองค์ได้ทรงอุทิศพระราชทรัพย์พระราชทาน เรียกว่า “เงินพระราชอุทิศ” เพื่อใช้ในการบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามที่ชำรุดทรุดโทรมอาทิ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และวัดพระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม เป็นต้น
ภาพการบูรณะวัดพระศรีรัตนศาสดารามครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้มีการซ่อมแซมเพิ่มเติม
ในส่วนพระองค์เองทรงเปี่ยมด้วยพระปรีชาสามารถด้านการประพันธ์ ทรงปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมให้แก่พสกนิกรผ่านบทพระราชนิพนธ์จำนวนมาก มีทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง เช่น เทศนาเสือป่า พระราชนิพนธ์ที่รวบรวมพระบรมราโชวาทที่ทรงให้แก่คณะเสือป่า ณ พระราชวังสนามจันทร์ ในวันประชุมไหว้พระ เป็นพระราชนิพนธ์ที่สะท้อนถึงความสำคัญของพระพุทธศาสนาอย่างเด่นชัด เนื้อหาในเรื่องทรงมุ่งเน้นถึงความจำเป็นของคนไทยที่นับถือพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ให้ทุกคนหวงแหนและช่วยกันปกป้องเมื่อคราวศาสนามีภัย ดังความบางตอนที่กล่าวไว้ว่า
“...พระพุทธศาสนาเปนศาสนาสำหรับชาติเรา เราจำเปนต้องถือด้วยความกตัญญูต่อบิดามารดา และโครตวงศ์ของเรา จำเปนต้องถือไม่มีปัญหาอะไร เมื่อข้าพเจ้ารู้ได้แน่นอน จึงได้กล้าลุกขึ้นยืนแสดงเทศนาทางพระพุทธศาสนาแก่ท่านทั้งหลาย เปนความจำเปนที่เราทั้งหลาย
ผู้เปนไทยจะต้องมั่นอยู่ในพระพุทธศาสนา ซึ่งเปนศาสนาสำหรับชาติเรา ถ้ามีอันตรายอย่างใดมาถึงพระพุทธศาสนา เราทั้งหลายจะเปนผู้ที่ได้รับความอับอายด้วยกันเปนอันมาก เหตุฉะนี้ เปนหน้าที่ของเราที่จะต้องตั้งใจ ที่จะรักษาความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย อย่าให้มีอันตรายมาถึงได้...”
คุณูปการที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่แสดงถึงความเทิดทูนพระพุทธศาสนา คือทรงคิดค้นธงไตรรงค์เป็นธงประจำชาติ และทรงให้ความหมายไว้ชัดว่าสี สีขาว หมายถึง พระรัตนตรัย ธงค์ไตรรงค์นี้ปรากฏสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรก เมื่อทหารอาสาของไทยเข้าร่วมการสวนสนามฉลองชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ณ ประเทศฝรั่งเศส
แต่ธงที่ได้เชิญไปในครั้งนั้นมีลักษณะพิเศษที่ต่างจากธงไตรรงค์ปัจจุบัน คือ ด้านหน้าเป็นรูปทรงช้างเผือก ด้านหลังเป็นตราพระปรมาภิไธยย่อ แถบบนและแถบล่างมีพุทธชัยมงคลคาถาบทแรก ในท่อนสุดท้ายพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนข้อความจาก "ตนฺเตชสา ภวตุ เต ชยมงฺคลานิ" (ด้วยเดชแห่งชัยชนะนั้น ขอชัยมงคลจงมีแก่ท่าน) เป็น "ตนฺเตชสา ภวตุ เม ชยสิทฺธินิจฺจํ" (ด้วยเดชแห่งชัยชนะนั้น ขอชัยชนะจงมีแก่ข้าพเจ้าเสมอ) เพื่อเป็นการแสดงชัยชนะของสยามประเทศเมื่อเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑
พระปรีชาสามารถในด้านต่าง ๆ ของพระองค์ประกอบกับพระราชกรณียกิจอันเป็นคุณประโยชน์แก่ประชาชนและประเทศนานัปการ พระองค์จึงทรงได้รับการยกย่องเทิดพระเกียรติคุณและถวายพระราชสมัญญานามว่า "สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า" ซึ่งหมายถึง มหาราชผู้ซึ่งเป็นจอมปราชญ์
ติดตามความรู้เนื้อหาสาระดีๆ ได้ที่
โฆษณา