2 มิ.ย. 2023 เวลา 13:00 • การตลาด

การตลาดแบบใส่ใจ ทำอย่างไรให้ลูกค้ารักเรา

ไม่ว่าเราจะทำธุรกิจอะไรก็ตาม “การตลาด” ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ เพราะถ้าไม่มีการตลาด (รวมถึงการขาย) สินค้าและบริการของเรา จะไม่มีทางเข้าถึงมือลูกค้า ไม่มีทางเกิดยอดขาย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ธุรกิจยังคงดำเนินกิจการต่อไปได้
หากจะเจาะลึกแนวคิดเรื่อง “การตลาด” อาจจะนึกไปถึง การทำคอนเทนต์ การตลาดออนไลน์ หรือการที่ต้องใช้เครื่องมือ เทคโนโลยี ข้อมูล ในการช่วยทำการตลาด แต่จริงแล้วๆ แนวคิดการตลาดที่สำคัญและหลายคนอาจหลงลืมไป คือ “การตลาดแบบใส่ใจ” ซึ่งเป็นการทำการตลาดแบบเอาใจใส่ คิดถึงประโยชน์ที่กลุ่มเป้าหมายรวมถึงผู้มีส่วนได้เสียจะได้รับจากการจำหน่ายสินค้าและบริการรของเรา ไม่ใช่แค่คิดถึงแต่เป้าหมายของธุรกิจเท่านั้น
โดยเมื่อลูกค้าสัมผัสได้ถึงความรัก ความห่วงใยจากการดำเนินธุรกิจตามแนวคิดนี้ ก็จะส่งผลให้ลูกค้าประทับใจและกลับมาซื้อซ้ำ แม้จะเกิดปัญหาขึ้น เราก็สามารถแก้ไขจนลูกค้ายังคงพึงพอใจ สำหรับกลยุทธ์การตลาดแบบใส่ใจที่น่าสนใจ มีดังนี้
1) อยากใส่ใจลูกค้า ต้องเข้าใจว่า ลูกค้าคิดอย่างไร
เราจะไม่มีทางใส่ใจลูกค้าได้ตรงกับความต้องการของพวกเขา ถ้าเรายังไม่รู้ว่า ลูกค้าคิดอย่างไร ต้องการอะไรจากสินค้าหรือบริการของเรา ซึ่งเรื่องเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องเดาสุ่ม แต่สามารถหาข้อมูลจากวิธีการต่างๆ มากมายในปัจจุบัน
มีประเด็นหนึ่งที่เราต้องทำความเข้าใจ คือ ควรมีการเก็บข้อมูลจากพื้นที่จริง หรือจากการสังเกตตอนที่ลูกค้าเข้ามาสั่งซื้อสินค้าที่หน้าร้าน หรือจำลองเหตุการณ์ถ้าลูกค้าซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ จะทำให้เราได้ข้อเท็จจริงแบบไม่บิดเบือน และมองเห็นความต้องการลึกๆ ที่ลูกค้าอาจไม่ได้พูดออกมาโดยตรง แต่แสดงออกมาในกระบวนการสั่งซื้อ
2) ความใส่ใจอยู่ในทุกรายละเอียด ไม่ใช่แค่ตอนกระบวนการซื้อ-ขาย และการให้บริการเท่านั้น
ความใส่ใจไม่ใช่แค่ทำตอนหน้างาน หรือพูดง่ายๆ ว่า แค่ตอนที่ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับเราในตอนซื้อ—ขาย แต่ความใส่ใจที่แท้จริง หมายถึง ใส่ใจในทุกขั้นตอนตั้งแต่เริ่มต้นผลิตสินค้าจนถึงปลายทาง นับตั้งแต่กระบวนการเลือกวัตถุดิบ กระบวนการผลิต บรรจุภัณฑ์ การขาย จนไปถึงการส่งสินค้าถึงมือลูกค้า
หรือแม้กระทั่งบริการหลังการขาย โดยในฐานะเจ้าของกิจการ ควรมีโอกาสได้ลงไปคลุกคลีในทุกขั้นตอน อย่าแค่สั่งการหรือออกคำสั่ง เพราะทำให้เราไม่สามารถเห็นได้ว่า ในขั้นตอนไหน มีการละเลยความใส่ใจ ซึ่งทำให้ลูกค้าอาจจะเกิดความไม่ประทับใจ จนทำให้ไม่กลับมาซื้ออีกครั้ง
3) จงใส่ใจอย่างสม่ำเสมอ อย่าเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
แม้เรื่องของความใส่ใจ อาจจะทำให้มีต้นทุนเพิ่มขึ้นบ้าง จนทำให้ผู้ประกอบการในยุคนี้ที่เจอความผันผวนทางเศรษฐกิจ ไม่อาจแบกรับต้นทุนจากส่วนนี้ได้ แต่แท้จริงแล้วมีวิธีการสร้างสรรค์มากมายในการเพิ่มความใส่ใจโดยแทบไม่เกี่ยวกับต้นทุน
เช่น เพิ่มโปสการ์ดขอบคุณไปในกล่องที่ส่งสินค้าให้ลูกค้า หรือเมื่อลูกค้ามาหาที่ร้าน ผู้จัดการหรือคนที่มีอำนาจแวะมาดูแลลูกค้าทำให้เกิดความประทับใจ ฯลฯ โดยบริษัทที่ใส่ใจอย่างสม่ำเสมอ ไม่เปลี่ยนแปลง ยังยืนหยัดเพื่อลูกค้า สุดท้าย ลูกค้าจะยังคงซื้อกับเรา ไม่หนีหายไปไหน ซึ่งเป็นการรักษาลูกค้าได้ดีที่สุด
4) เรามองลูกค้าแบบไหน เราจะใส่ใจแบบนั้น
ไม่ใช่แค่เรารับรู้หรือเข้าใจความต้องการของลูกค้า แล้วจะเกิดความใส่ใจในการทำการตลาด เพราะไม่ใช่แค่เราเข้าใจ แต่ต้องปรับเปลี่ยนมุมมองในการทำการตลาดแบบเดิมๆ ที่มักไม่ได้ให้ความสำคัญหรือใส่ใจลูกค้า
โดยเฉพาะการทำธุรกิจในยุคนี้ ที่เราเองอาจจะรู้สึกว่า “การทำให้ธุรกิจอยู่รอด” เป็นเรื่องสำคัญ ต้องทำอย่างไรก็ได้ให้ขายได้ จนลืมไปว่า การขายสินค้า อาจจะขายได้ครั้งเดียว ถ้าเรามุ่งแต่ขายเอากำไร แต่ไม่มองในมุมลูกค้าว่า สิ่งที่เขาต้องการนั้นตรงกับสิ่งที่เราอยากขายหรือไม่ วิธีแก้ไข เริ่มจากการเปลี่ยนมุมมองให้คิดถึงลูกค้าก่อนจะคิดถึงกำไรของธุรกิจ จากนั้นทำการปรับเปลี่ยนขั้นตอนที่เราละเลยหรือไม่ใส่ใจ ทำแบบนี้อย่างต่อเนื่อง แล้วลูกค้าจะเริ่มเห็นความใส่ใจของเราเอง
การตลาดแบบใส่ใจ เริ่มต้นจากความใส่ใจของเจ้าของธุรกิจ คือ ตัวเราเอง แล้วถ่ายทอดแนวคิดนี้ไปให้กับพนักงานทุกคนในบริษัท จนเมื่อทุกคนเข้าใจ และเต็มใจในการนำแนวคิดไปปฏิบัติจนเป็นนิสัย เกิดเป็นวัฒนธรรมองค์กร แก่นของธุรกิจเราก็จะมี “ความใส่ใจ” ที่พร้อมเปล่งประกายจากภายในสู่ภายนอก
เมื่อทุกคนทำไปในทิศทางเดียวกัน ทุกสินค้าหรือบริการที่ส่งมอบไปนั้น ลูกค้าก็จะสัมผัสได้ถึงความใส่ใจ หลงรักในสินค้าและบริการของเรา จนกลายเป็นแฟนพันธุ์แท้ของธุรกิจของเราในท้ายที่สุด
บทความห้องเรียนผู้ประกอบการ
เขียนโดย: ธนโชค โลเกศกระวี
นักเขียนอิสระและผู้ประกอบการออนไลน์
โฆษณา