8 มิ.ย. 2023 เวลา 06:11 • หนังสือ

#31 HWG. — บทที่ 1️⃣9️⃣

“เวลาไม่ได้เคลื่อนไหว เธอเองต่างหากที่กำลังเคลื่อนไหวผ่านเวลา”
▪️ผู้แปล : แอดมิน
🔸นี่เป็นงานแปลชิ้นที่ 2 ที่ผมตั้งใจแปลมากๆ หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
𝗬𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗶𝗺𝗮𝗴𝗶𝗻𝗲𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝘀𝗼 𝗺𝘂𝗰𝗵 𝘆𝗼𝘂 𝗻𝗲𝗲𝗱 𝗶𝗻 𝗼𝗿𝗱𝗲𝗿 𝘁𝗼 𝗯𝗲 𝗵𝗮𝗽𝗽𝘆, 𝗮𝗻𝗱 𝗲𝘃𝗲𝗿 𝘁𝗼 𝘀𝘂𝗿𝘃𝗶𝘃𝗲. 𝗬𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗺𝗮𝗱𝗲 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗮𝗹𝗹 𝘂𝗽.
“เธอจินตนาการไปเองว่ามีหลายอย่างที่จำเป็นในการที่จะมีความสุขและมีชีวิตรอดให้ได้อย่างต่อเนื่อง เธอเป็นคนสร้างเรื่อง (อุปโลกน์) ทั้งหมดนี้ขึ้นมาเองทั้งสิ้น”
𝗖𝗵𝗮𝗽𝘁𝗲𝗿 𝟭𝟵
บทที่ 1️⃣9️⃣
𝗚𝗼𝗱 : 𝗖𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲 𝗮 𝗽𝗶𝗰𝘁𝘂𝗿𝗲 𝗶𝗻 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗺𝗶𝗻𝗱 𝗼𝗳 𝗮 𝗻𝗶𝗰𝗲, 𝗿𝗼𝘂𝗻𝗱, 𝗷𝘂𝗶𝗰𝘆 𝗿𝗲𝗱 𝗮𝗽𝗽𝗹𝗲. 𝗖𝗮𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗮𝗽𝗽𝗹𝗲 '𝗧𝗶𝗺𝗲,' 𝗮𝗻𝗱 𝗰𝗮𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗲 𝗶𝗻𝘀𝗶𝗱𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗮𝗽𝗽𝗹𝗲 '𝗦𝗽𝗮𝗰𝗲.'
G : ให้ลองสร้างภาพผลแอปเปิลสีแดงที่ดูสดใหม่ขึ้นในใจของเธอ และเรียกแอปเปิลผลนี้ว่า “เวลา” และเรียกพื้นที่ภายในของแอปเปิลผลนี้ว่า “ที่ว่าง”
𝗡𝗲𝗮𝗹𝗲 : 𝗜𝘁'𝘀 𝗵𝗮𝗿𝗱 𝗳𝗼𝗿 𝗺𝗲 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗸 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗶𝗻𝘀𝗶𝗱𝗲 𝗼𝗳 𝗮𝗻 𝗮𝗽𝗽𝗹𝗲 𝗮𝘀 '𝘀𝗽𝗮𝗰𝗲,' 𝗯𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲'𝘀 𝘀𝗼 𝗺𝘂𝗰𝗵 𝗠𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲.
N : มันยากสำหรับผมนะครับที่จะคิดว่าข้างในผลแอปเปิลเป็น “ที่ว่าง” เพราะมันมีสสารมากมายอยู่ในนั้น
𝗚 : "𝗜𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗮𝘄 𝗵𝗼𝘄 𝗺𝘂𝗰𝗵 𝗠𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘄𝗮𝘀 𝗶𝗻 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗹𝗹 '𝗼𝘂𝘁𝗲𝗿 𝘀𝗽𝗮𝗰𝗲,' 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗻𝗼 𝗽𝗿𝗼𝗯𝗹𝗲𝗺 𝗮𝘁 𝗮𝗹𝗹. 𝗣𝗿𝗼𝗽𝗼𝗿𝘁𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹𝗹𝘆, 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗼𝗹𝗲𝗰𝘂𝗹𝗲𝘀 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝗺𝗮𝗴𝗶𝗻𝗮𝗿𝘆 𝗮𝗽𝗽𝗹𝗲 𝗮𝗿𝗲 𝗮𝘁 𝗹𝗲𝗮𝘀𝘁 𝗮𝘀 𝗳𝗮𝗿 𝗮𝗽𝗮𝗿𝘁 𝗮𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗼𝗹𝗶𝗱 𝗺𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗰𝗼𝘀𝗺𝗼𝘀."
G : ถ้าเธอเห็นว่ามีสสารอยู่มากมายแค่ไหนในสิ่งที่เธอเรียกมันว่า “ห้วงอวกาศในจักรวาล” เธอจะไม่มีปัญหาอะไรกับเรื่องนี้เลย หากเทียบกันแล้ว โมเลกุลของแอปเปิลในจินตนาการของเธอนั้นอย่างน้อยก็ห่างกันพอๆกับสสารที่เป็นของแข็ง (ดวงดาว และ อื่นๆ) ที่มีอยู่ในจักรวาล
𝗡 : 𝗢𝗸𝗮𝘆...
N : ตกลงครับ...
𝗚 : "𝗡𝗼𝘄 𝗶𝗺𝗮𝗴𝗶𝗻𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗮𝗻 𝗶𝗻𝗳𝗶𝗻𝗶𝘁𝗲𝘀𝗶𝗺𝗮𝗹 𝗺𝗶𝗰𝗿𝗼𝗯𝗲, 𝘀𝗺𝗮𝗹𝗹 𝗯𝘂𝘁 𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗺𝘂𝗰𝗵 𝗮𝗹𝗶𝘃𝗲, 𝗺𝗼𝘃𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝗮 𝘁𝘂𝗻𝗻𝗲𝗹 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗮𝗽𝗽𝗹𝗲.
G : ทีนี้ ให้ลองจินตนาการต่อว่าตัวเธอเป็นจุลินทรีย์ที่มีขนาดเล็กมากๆ ตัวเล็กแต่ก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวา กำลังเคลื่อนที่ผ่านอุโมงค์ที่อยู่ในแอปเปิลผลนี้
"𝗜𝗻 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗺𝗲𝘁𝗮𝗽𝗵𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗲 𝘄𝗮𝗹𝗹𝘀 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 '𝘁𝘂𝗻𝗻𝗲𝗹 𝗮𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗖𝗼𝗿𝗿𝗶𝗱𝗼𝗿𝘀 𝗼𝗳 𝗧𝗶𝗺𝗲. 𝗔𝗹𝗼𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗲 𝗰𝗼𝗿𝗿𝗶𝗱𝗼𝗿 𝗮𝗿𝗲 𝗺𝗮𝗿𝗸𝗶𝗻𝗴𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗺𝗮𝗸𝗲 𝗲𝗮𝗰𝗵 𝗺𝗶𝗹𝗹𝗶𝗺𝗲𝘁𝗲𝗿 𝗼𝗳 𝘄𝗮𝗹𝗹 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗲𝗿𝗲𝗻𝘁 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝗮𝗻𝘆 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿. 𝗖𝗮𝗻 𝘆𝗼𝘂 𝗽𝗶𝗰𝘁𝘂𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗶𝘀 '𝘁𝗶𝗺𝗲 𝘁𝘂𝗻𝗻𝗲𝗹' 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗶𝘁𝘀 𝗺𝗮𝗻𝘆 𝗺𝗮𝗿𝗸𝗶𝗻𝗴𝘀?"
ในการอุปมานี้ ผนังของ “อุโมงค์” ในแอปเปิลก็คือทางเดินของกาลเวลา ซึ่งตามทางเดินดังกล่าวมีเครื่องหมายอยู่มากมายที่ทำให้ผนังอุโมงค์ในแต่ละมิลลิเมตรแตกต่างกัน เธอนึกภาพ “อุโมงค์เวลา” กับเครื่องหมายมากมายนี้ได้อยู่ใช่ไหม❓
𝗡 : 𝗬𝗲𝘀, 𝗜 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗮 𝗽𝗶𝗰𝘁𝘂𝗿𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗮𝘁.
N : ได้ครับ ผมพอนึกภาพออก
𝗚 : "𝗚𝗼𝗼𝗱. 𝗡𝗼𝘄 𝗻𝗼𝘁𝗶𝗰𝗲 𝗮𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗼𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝘁𝘂𝗻𝗻𝗲𝗹 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗶𝗺𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗽𝗮𝘀𝘀𝗶𝗻𝗴. 𝗬𝗢𝗨 𝗮𝗿𝗲 𝗽𝗮𝘀𝘀𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝗧𝗜𝗠𝗘."
G : ดี ตอนนี้ให้สังเกตว่าในขณะที่เธอเคลื่อนผ่านอุโมงค์นี้เวลาไม่ได้เคลื่อนผ่านไป (มันหยุดนิ่งอยู่กับที่) #แต่ตัวเธอเองต่างหากที่กำลังเคลื่อนผ่านเวลา
𝗡 : 𝗢𝗵, 𝗴𝗼𝘀𝗵. 𝗜 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝘀𝗮𝘄 𝘁𝗵𝗮𝘁. 𝗬𝗼𝘂 𝘀𝗮𝗶𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗯𝗲𝗳𝗼𝗿𝗲, 𝗯𝘂𝘁 𝗜 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝘀𝗮𝘄 𝘁𝗵𝗮𝘁! 𝗕𝗼𝘆, 𝗮 𝗽𝗶𝗰𝘁𝘂𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝘄𝗼𝗿𝘁𝗵 𝗮 𝘁𝗵𝗼𝘂𝘀𝗮𝗻𝗱𝘀 𝘄𝗼𝗿𝗱𝘀. 𝗔𝗻𝗱 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗮𝗻 𝗶𝗻𝘁𝗲𝗿𝗲𝘀𝘁𝗶𝗻𝗴 𝗿𝗲𝘃𝗲𝗿𝘀𝗮𝗹 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗽𝗶𝗰𝘁𝘂𝗿𝗲 𝗽𝗿𝗲𝘀𝗲𝗻𝘁𝘀. 𝗜𝘁'𝘀 𝗮 𝘁𝗼𝘁𝗮𝗹 𝗰𝗼𝗻𝗰𝗲𝗽𝘁𝘂𝗮𝗹 𝗳𝗹𝗶𝗽.
N : โอ้วว พระเจ้า ผมเพิ่งจะเข้าใจเดี๋ยวนี้เอง ก่อนหน้านี้พระองค์เคยพูดไปแล้วหนหนึ่ง แต่ผมเพิ่งจะเข้าใจมันได้ตอนนี้เอง❗ รูปภาพเพียงหนึ่ง สามารถใช้อธิบายแทนถ้อยคำได้เป็นพันๆคำ ภาพนี้เพียงภาพเดียวได้อธิบายให้เห็นถึงแนวคิดที่จะพลิกกลับความรู้ความเข้าใจที่พวกเราเคยมีได้ทั้งหมด
𝗚 : "𝗦𝘁𝗮𝘆 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗶𝘁. 𝗖𝗼𝗻𝘁𝗶𝗻𝘂𝗲 𝘁𝗼 𝘀𝗲𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗧𝗶𝗺𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗴𝗼𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻𝘆𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲. 𝗧𝗶𝗺𝗲 𝗶𝘀 '𝗶𝗻 𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲' 𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗻𝗼𝘄. 𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝘀𝘁𝗮𝘁𝗶𝗰, 𝘀𝘁𝗮𝗯𝗹𝗲, 𝘀𝘁𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻𝗮𝗿𝘆. 𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝗮𝗹𝘄𝗮𝘆𝘀 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲, 𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁 𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘁 𝗶𝘀. 𝗪𝗵𝗲𝗿𝗲𝘃𝗲𝗿 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗶𝗻 𝘁𝗶𝗺𝗲, 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗮𝗹𝘄𝗮𝘆𝘀 𝗡𝗼𝘄.
G : อยู่กับภาพนั้นต่อ และสังเกตต่อไปว่า จริงๆเวลานั้นไม่ได้เคลื่อนที่ไปที่ไหน เวลาหยุดอยู่ “กับที่” คือ “ณ ขณะนี้” มันคงที่ เสถียร หยุดนิ่งอยู่กับที่ มันอยู่ที่นั่นเสมอ ในที่ที่มันอยู่ ไม่ว่าเธอจะอยู่ตรงไหนของ (อุโมงค์) เวลา มันก็จะเป็น #ปัจจุบันขณะอยู่เสมอ
"𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗵𝗼 𝗮𝗿𝗲 𝗼𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗷𝗼𝘂𝗿𝗻𝗲𝘆. 𝗬𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗺𝗼𝘃𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝗧𝗶𝗺𝗲."
เธอเองนั่นแหละที่เป็นผู้เดินทาง (ไม่ใช่เวลา) ตัวเธอเองนั่นแหละที่กำลังเคลื่อนผ่านเวลา (ที่หยุดนิ่งอยู่กับที่)
𝗡 : 𝗢𝗸𝗮𝘆, 𝗜'𝘃𝗲 𝗴𝗼𝘁 𝗶𝘁. 𝗜'𝗺 𝗵𝗼𝗹𝗱𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗲 𝗶𝗺𝗮𝗴𝗲. 𝗜 𝗮𝗺 𝗺𝗼𝘃𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝗧𝗶𝗺𝗲.
N : โอเคครับ ผมเข้าใจแล้ว ผมกำลังนึกภาพนั้นไว้ตลอด เป็นเองผมที่กำลังเคลื่อนผ่านเวลา
𝗚 : "𝗡𝗼𝘄, 𝗶𝗺𝗮𝗴𝗶𝗻𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗶𝗰𝗿𝗼𝗯𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗲 𝗮𝗿𝗲 𝗰𝗮𝗹𝗹𝗶𝗻𝗴 '𝘆𝗼𝘂' 𝗶𝘀 𝗮 𝗽𝗮𝗿𝘁 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗮𝗽𝗽𝗹𝗲."
G : ตอนนี้ ให้ลองจินตนาการต่อว่าจุลินทรีย์ที่เราเรียกว่า “ตัวเธอ” เป็นส่วนหนึ่งของแอปเปิล
𝗡 : 𝗜'𝗺 𝘀𝗼𝗿𝗿𝘆?
N : ยังไงนะครับ❓
𝗚 : "𝗜𝗺𝗮𝗴𝗶𝗻𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗮 𝘁𝗶𝗻𝘆 𝗽𝗮𝗿𝘁, 𝗮𝗻 𝗮𝘁𝗼𝗺, 𝗶𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹, 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗮𝗽𝗽𝗹𝗲 𝗶𝘁𝘀𝗲𝗹𝗳. 𝗔𝗻𝗱 𝘀𝗼, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗯𝗲 𝗺𝗼𝘃𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘆𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲𝗹𝗳, 𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁?"
G : จินตนาการว่าตัวเธอนั้นเป็นส่วนที่เล็กมากๆส่วนหนึ่งของแอปเปิล หรือจินตนาการว่าตัวเธอเป็นอะตอมอะตอมหนึ่งของแอปเปิลก็ได้ ดังนั้น ในแง่นี้ เธอที่เป็นอะตอมที่เป็นส่วนหนึ่งของแอปเปิลจึงกำลังเคลื่อนที่ผ่านตัวเองที่เป็นแอปเปิลทั้งผลอยู่ใช่ไหมล่ะ❓
𝗡 : 𝗨𝗵, 𝘆𝗲𝘀. 𝗜 𝗴𝘂𝗲𝘀𝘀 𝘀𝗼. 𝗜 𝘀𝘂𝗽𝗽𝗼𝘀𝗲 𝘀𝗼.
N : เอ่อ ใช่ครับ ผมคิดว่าอย่างนั้นนะครับ มันก็สมควรเป็นอย่างนั้น
𝗚 : "𝗬𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗮𝗻 𝗮𝘁𝗼𝗺 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗮𝗽𝗽𝗹𝗲, 𝗮 𝗽𝗮𝗿𝘁 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲𝗹𝗳 𝗺𝗼𝘃𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘆𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲𝗹𝗳. 𝗬𝗼𝘂 𝗰𝗼𝘂𝗹𝗱 𝘁𝗵𝗲𝗻 𝘀𝗮𝘆 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝗮𝘁𝗼𝗺'𝘀 𝗮𝗽𝗽𝗹𝗲."
G : เธอคืออะตอมหนึ่งของแอปเปิลลูกนี้ คือภาคส่วนหนึ่งของตัวเธอเองที่กำลังเคลื่อนที่ผ่านตัวเอง เธอสามารถพูดอีกอย่างได้ว่านี่คือ แอปเปิลของอะตอม★
★อะตอมเป็นส่วนหนึ่งของแอปเปิล ในขณะเดียวกัน แอปเปิลก็เป็นส่วนหนึ่งของอะตอมด้วย ทั้งคู่ต่างก็คือตัวเรา อะตอมทุกอะตอม คือตัวเราในขนาดเล็ก ที่เป็นส่วนเล็กๆของตัวเราขนาดใหญ่ หรือเป็นผลรวมที่ประกอบกันขึ้นเป็นตัวเราที่แท้จริง –ผู้แปล–
1
𝗡 : 𝗖𝗹𝗲𝘃𝗲𝗿. 𝗬𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗲𝗻𝗱𝗹𝗲𝘀𝘀𝗹𝘆 𝗰𝗹𝗲𝘃𝗲𝗿.
N : ฉลาดมากครับ พระองค์ฉลาดอย่างไม่รู้จบจริงๆ
𝗚 : "𝗪𝗲𝗹𝗹, 𝗜'𝗺 𝘁𝗿𝘆𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝘂𝘀𝗲 𝗶𝗺𝗮𝗴𝗲𝗿𝘆 𝗮𝗻𝗱 𝘄𝗼𝗿𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗵𝗲𝗹𝗽 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗼 𝗳𝗼𝗿𝗺 𝗮𝗻 𝗶𝗻𝗱𝗲𝗹𝗶𝗯𝗹𝗲 𝗶𝗱𝗲𝗮 𝗶𝗻 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗺𝗶𝗻𝗱.
G : ก็นะ ฉันกำลังพยายามใช้ภาพและคำที่จะช่วยให้เธอสามารถก่อรูปความคิดให้กลายเป็นมโนคติ (ความเชื่อ) ที่ไม่สามารถถูกลบออกไปจากจิตใจของเธอได้ (เพราะเธอจะสามารถจดจำภาพๆนี้ได้ไม่มีวันลืม)
𝗡 : 𝗬𝗼𝘂'𝘃𝗲 𝗮𝗰𝗰𝗼𝗺𝗽𝗹𝗶𝘀𝗵𝗲𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁.
N : พระองค์ทำสำเร็จแล้วครับ
𝗚 : "𝗚𝗼𝗼𝗱.
G : ดี
"𝗡𝗼𝘄, 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝘁𝗿𝗮𝘃𝗲𝗹𝗶𝗻𝗴 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘁𝗵𝗲 𝗼𝘂𝘁𝘀𝗶𝗱𝗲 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝗶𝗻𝘀𝗶𝗱𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗮𝗽𝗽𝗹𝗲—𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘁𝗵𝗲 𝗼𝘂𝘁𝗲𝗿𝗺𝗼𝘀𝘁 𝗽𝗮𝗿𝘁 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝗶𝗻𝗻𝗲𝗿𝗺𝗼𝘀𝘁 𝗽𝗮𝗿𝘁 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗦𝗲𝗹𝗳. 𝗖𝗮𝗻 𝘆𝗼𝘂 𝗽𝗶𝗰𝘁𝘂𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁?"
ทีนี้ ให้เธอจินตนาการต่อว่า ตัวเธอที่เป็นอะตอมกําลังเดินทางจากด้านนอกเข้าสู่ด้านในของแอปเปิล —จากส่วนนอกสุดไปยังส่วนในสุดของตัวตนของเธอ เธอนึกภาพตามได้อยู่ใช่ไหม❓
𝗡 : 𝗬𝗲𝘀.
N : ได้ครับ
𝗚 : "𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗷𝗼𝘂𝗿𝗻𝗲𝘆 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝗟𝗶𝗳𝗲. 𝗧𝗵𝗲 𝗺𝗮𝗿𝗸𝗶𝗻𝗴𝘀 𝗼𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝘁𝘂𝗻𝗻𝗲𝗹 𝘁𝗲𝗹𝗹 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲. 𝗧𝗵𝗲𝘀𝗲 𝗺𝗮𝗿𝗸𝗶𝗻𝗴𝘀 𝗮𝗿𝗲 𝗮𝗰𝘁𝘂𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗽𝗶𝗰𝘁𝘂𝗿𝗲𝘀, 𝗮𝗻𝗱 𝗲𝗮𝗰𝗵 𝗺𝗮𝗿𝗸𝘀 𝗮 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁. 𝗘𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗠𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗶𝘀 𝗹𝗶𝗸𝗲 𝗮 𝘀𝗻𝗼𝘄𝗳𝗹𝗮𝗸𝗲. 𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗮𝗿𝗲 𝗻𝗼 𝘁𝘄𝗼 𝗮𝗹𝗶𝗸𝗲 𝗶𝗻 𝗮𝗹𝗹 𝗼𝗳 𝗘𝘁𝗲𝗿𝗻𝗶𝘁𝘆.
G : นี่คือการเดินทางผ่านชีวิตของเธอ (ในแง่นี้ ชีวิตก็คือการเดินทางอย่างแท้จริง)★ เครื่องหมายบนอุโมงค์เวลาจะเป็นตัวบอกเธอว่าเธออยู่ที่ไหน หรือตรงไหนของอุโมงค์ ซึ่งเครื่องหมายเหล่านี้จริงๆแล้วก็คือภาพแต่ละภาพที่แตกต่างกัน และแต่ละเครื่องหมายก็เป็นตัวบ่งบอกถึงห้วงเวลานั้นๆ และทุกห้วงเวลาก็เป็นเหมือนดั่งเกล็ดหิมะ ที่ไม่มีสักเกร็ดเลยที่เหมือนกัน ไม่มีห้วงเวลาใดเลยที่เหมือนกัน มันไม่มีสองห้วงเวลาที่เหมือนกันอยู่ในความเป็นนิรันดร์
★ซึ่งเราก็กำลังเดินทางผ่านการใช้ชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนไปพร้อมกันในขณะเดียวกัน เพราะอะตอมในแอปเปิลมีอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน และอะตอมทั้งหมดเหล่านั้นก็กำลังเดินทางไปพร้อมๆกันจากหลากหลายทิศทาง –ผู้แปล–
"𝗬𝗼𝘂 𝗹𝗼𝗼𝗸 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗶𝗺𝗮𝗴𝗲𝘀 𝗮𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝗴𝗼 𝗯𝘆. 𝗬𝗼𝘂 𝗳𝗼𝗰𝘂𝘀 𝗼𝗻 𝘁𝗵𝗲𝗺, 𝗮𝗻𝗱 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗼𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝘁𝘂𝗻𝗻𝗲𝗹 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝘄𝗮𝘆, 𝗳𝗼𝗰𝘂𝘀𝗶𝗻𝗴 𝗼𝗻 𝗼𝗻𝗲 𝗽𝗶𝗰𝘁𝘂𝗿𝗲 𝗮𝗳𝘁𝗲𝗿 𝘁𝗵𝗲 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿. 𝗙𝗶𝗻𝗮𝗹𝗹𝘆, 𝘆𝗼𝘂 𝗴𝗲𝘁 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝗖𝗲𝗻𝘁𝗲𝗿 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗮𝗽𝗽𝗹𝗲. 𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗵𝗮𝘀 𝗯𝗲𝗲𝗻 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗱𝗲𝘀𝘁𝗶𝗻𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗮𝗹𝗹 𝗮𝗹𝗼𝗻𝗴. 𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗽𝗮𝗿𝘁 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗷𝗼𝘂𝗿𝗻𝗲𝘆 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘄 𝗼𝘃𝗲𝗿."
ในขณะที่เธอกำลังเคลื่อนผ่านไปเธอก็มองดูภาพเหล่านั้นไปด้วย เธอเพ่งความสนใจไปที่พวกมัน และเคลื่อนตัวผ่านอุโมงค์เวลาไปในลักษณะนี้ เธอเพ่งความสนใจไปที่ภาพหนึ่งแล้วก็อีกภาพหนึ่ง จนในที่สุดเธอก็มาถึงใจกลางของแอปเปิล ที่เป็นจุดหมายปลายทางของเธอมาโดยตลอด การเดินทางในส่วนนี้ของเธอได้สิ้นสุดลงแล้ว
𝗡 : 𝗜 𝘀𝗲𝗻𝘀𝗲 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝘄𝗵𝗲𝗻 𝗜 '𝗱𝗶𝗲.' 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝘄𝗵𝗲𝗻 𝗜 '𝗱𝗶𝗲'?
N : ผมรู้สึกได้ว่าการสิ้นสุดของการเดินทางผ่านอุโมงค์เวลาที่ว่านี้ก็คือตอนที่ผม “ตาย” มันคือตอนที่ผม “ตาย” ใช่ไหมครับ❓
𝗚 : "𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝘄𝗵𝗲𝗻 𝘆𝗼𝘂 '𝗱𝗶𝗲.' 𝗬𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗺𝗼𝘃𝗲𝗱 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝘄𝗼𝗿𝗹𝗱 𝗮𝗻𝗱 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗿𝗲𝗮𝗰𝗵𝗲𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗖𝗼𝗿𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝘀𝗽𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗮𝗶𝗻𝘀 𝗮𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗲 𝘁𝗶𝗺𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝘀𝗽𝗮𝗰𝗲. 𝗬𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗮𝘁 '𝗱𝗲𝗮𝗱 𝗰𝗲𝗻𝘁𝗲𝗿.""
G : ในตอนที่เธอ “ตาย” เธอได้เคลื่อนจากโลกทางกายภาพ (ผ่านอุโมงค์เวลา) และมาถึงแกนกลางของทรงกลมนี้ที่บรรจุไว้ด้วยกาลเวลาและที่ว่างทั้งมวล เธอกำลังอยู่ ณ ที่จุดหรือสภาวะ “ที่ไม่มีการเคลื่อนไหวอีกต่อไป”★
★dead center มันแปลได้ว่า สภาวะที่ไม่มีการเคลื่อนไหว หรือ สภาวะที่หยุดนิ่ง ในความหมายหนึ่ง ความตาย ก็คือ สภาวะที่หยุดนิ่ง ส่วนชีวิต ก็คือ สภาวะที่เคลื่อนไหว
ตรงนี้เป็นการเล่นคำครับ แกนกลางของวงกลม (ใจกลางแห่งตัวตนที่แท้จริงของเรา ในแง่นี้ตัวตนใหญ่ของเราที่ก็คือแอปเปิล ก็คือ เวลาและที่ว่างทั้งหมดนั้นด้วย) ที่เป็นจุดที่การเดินทางจบลง เมื่อการเดินทางจบ จึงไม่ได้เคลื่อนไหว เมื่อไม่ได้เคลื่อนไหว จึงไม่ได้มีชีวิต เมื่อไม่ได้มีชีวิต-ใช้ชีวิตทางกายภาพอีกต่อไป จึงเรียกว่า ตาย นั่นเอง แต่ชีวิตในโลกวิญญาณ ในรูปแบบวิญญาณ ที่อยู่นอกเหนือเวลาและที่ว่าง ยังดำเนินต่อไป
หากมองกันในแง่นี้ เวลาเกิดขึ้นก็เพราะมีการเดินทาง เพราะเวลาหมายถึง การให้ค่า หรือ การให้ความหมาย หรือการวัด การเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง เช่น อะตอม (เรา) เคลื่อนจากด้านนอก ไปยังด้านใน ใช้เวลา 100 ปี ซึ่งจริงๆเวลามันไม่ได้เคลื่อนไปไหน มันหยุดอยู่ เป็นปัจจุบันขณะของมันอยู่ จิตเราจึงเป็นคนให้ค่า หรือสร้างเวลาที่ถูกแบ่งเป็น อดีต ปัจจุบัน อนาคต ขึ้นมาเอง เวลาจึงเป็นมายาในแง่นี้ คือ มายาแห่งจิตใจ
และในตัวเราเอง ก็มีที่ว่างอยู่แล้ว เพื่อให้ตัวเราขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วน สามารถเดินทางได้ในหลากหลายทิศทางนั่นเอง ซึ่งทั้งหมดนี้ก็กำลังเกิดขึ้นไปพร้อมๆกัน (อะตอมทั้งหมดกำลังเดินทางอยู่พร้อมๆกัน) อยู่ในตัวของเราเองนี่แหละ –ผู้แปล–
3
𝗡 : 𝗔𝗴𝗮𝗶𝗻, 𝗰𝗹𝗲𝘃𝗲𝗿. 𝗔𝗻𝗱 𝗜 𝗿𝗲𝗺𝗮𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗳𝗼𝗿𝗲𝘃𝗲𝗿, 𝗰𝘂𝗱𝗱𝗹𝗲𝗱 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝘄𝗮𝗿𝗺𝘁𝗵 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗰𝗼𝗿𝗲...
N : พระองค์ฉลาดอีกแล้วครับ★ และผมก็คงอยู่ ณ ที่แห่งนั้นตลอดไป คงอยู่ในความอบอุ่นของแกนกลาง...
[★เพราะเอาคำว่า 𝗱𝗲𝗮𝗱 มา+กับ 𝗰𝗲𝗻𝘁𝗲𝗿 ให้กลายเป็นอีกความหมายหนึ่ง แต่ยังคงมีคำว่า ความตายประกอบอยู่ในนั้น –ผู้แปล–]
𝗚 : "𝗡𝗼. 𝗬𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘀𝗼𝗺𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲𝘀 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 (𝘀𝗼𝗺𝗲 𝗼𝗳 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝗜 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗮𝗹𝗿𝗲𝗮𝗱𝘆 𝗱𝗲𝘀𝗰𝗿𝗶𝗯𝗲𝗱 𝗮𝗻𝗱 𝗺𝗼𝗿𝗲 𝗼𝗳 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝗜 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗱𝗲𝘀𝗰𝗿𝗶𝗯𝗲 𝗹𝗮𝘁𝗲𝗿), 𝘁𝗵𝗲𝗻 𝘆𝗼𝘂 𝗲𝗺𝗲𝗿𝗴𝗲 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝗶𝘁 𝗮𝗻𝗱 𝗵𝗲𝗮𝗱 𝘁𝗼𝘄𝗮𝗿𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗼𝗽𝗽𝗼𝘀𝗶𝘁𝗲 𝗼𝘂𝘁𝗲𝗿𝗺𝗼𝘀𝘁 𝗽𝗮𝗿𝘁 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗦𝗽𝗮𝗰𝗲/𝗧𝗶𝗺𝗲 𝗖𝗼𝗻𝘁𝗶𝗻𝘂𝘂𝗺—𝘁𝗵𝗲 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘀𝗶𝗱𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗽𝗵𝗲𝗿𝗲.
G : ไม่หรอก เธอจะมีประสบการณ์อยู่ที่นั่นพอสมควร (แต่ไม่ตลอดไป ซึ่งฉันได้อธิบายถึงเรื่องนี้ไปแล้วบางส่วนและฉันจะอธิบายเพิ่มเติมอีกในภายหลัง) จากนั้นเธอก็จะออกจากที่นั่นและมุ่งหน้าตรงไปยังส่วนนอกสุดที่อยู่ตรงข้ามสุดของความต่อเนื่องโยงใยกันของพื้นที่ว่างและเวลา —ที่ซึ่งเป็นอีกด้านหนึ่งของทรงกลม
"𝗬𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗺𝗮𝗱𝗲 𝗶𝘁 𝘁𝗼 '𝘁𝗵𝗲 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘀𝗶𝗱𝗲."
เธอทำเช่นนั้นเพื่อไปยัง “อีกด้านหนึ่ง”
𝗡 : '𝗧𝗵𝗲 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘀𝗶𝗱𝗲.' 𝗼𝗳 𝗰𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲. 𝗜𝗻𝘁𝗲𝗿𝗲𝘀𝘁𝗶𝗻𝗴 𝗺𝗲𝘁𝗮𝗽𝗵𝗼𝗿. 𝗢𝗸𝗮𝘆, 𝗮𝗻𝗱 𝘄𝗵𝗮𝘁'𝘀 𝗼𝗻 '𝘁𝗵𝗲 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘀𝗶𝗱𝗲'?
N : “อีกด้านหนึ่ง” เป็นคำอุปมาที่น่าสนใจมากครับ โอเค แล้ว “อีกด้านหนึ่ง” ที่ว่านั้นคืออะไรครับ❓
𝗚 : "𝗔 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗲𝗿𝗲𝗻𝘁 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆."
G : ความจริงที่แตกต่างออกไป
𝗡 : 𝗛𝗼𝘄 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗲𝗿𝗲𝗻𝘁?
N : แตกต่างยังไงครับ❓
𝗚 : "𝗘𝗻𝘁𝗶𝗿𝗲𝗹𝘆 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗲𝗿𝗲𝗻𝘁. 𝗦𝗼 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗲𝗿𝗲𝗻𝘁, 𝗶𝘁 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗯𝗲 𝗮𝘀 𝗶𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗮𝗽𝗽𝗹𝗲 𝗵𝗮𝗱 𝘁𝘂𝗿𝗻𝗲𝗱 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝗮𝗻 𝗼𝗿𝗮𝗻𝗴𝗲. 𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗲 𝘀𝗵𝗮𝗹𝗹 𝗰𝗮𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁𝘂𝗮𝗹 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗺, 𝗮𝗻𝗱 𝗰𝗼𝗺𝗽𝗮𝗿𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝘄𝗼𝗿𝗹𝗱 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗯𝗲—
G : แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง แตกต่างกันมาก ราวกับว่าแอปเปิลได้กลายเป็นส้ม นี่คือสิ่งที่เราจะเรียกว่าโลก (มิติ) วิญญาณ และเปรียบเทียบสิ่งนี้กับโลกทางกายภาพซึ่งจะเป็น—
𝗡 : —𝗱𝗼𝗻'𝘁 𝘁𝗲𝗹𝗹 𝗺𝗲. 𝗜 𝗸𝗻𝗼𝘄. 𝗜𝘁 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗯𝗲 𝗹𝗶𝗸𝗲 𝗰𝗼𝗺𝗽𝗮𝗿𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗽𝗽𝗹𝗲𝘀 𝘁𝗼 𝗼𝗿𝗮𝗻𝗴𝗲𝘀. 𝗬𝗼𝘂 𝘀𝗲𝗲? 𝗜'𝗺 𝘀𝘁𝗮𝗿𝘁𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝗰𝗮𝘁𝗰𝗵 𝗼𝗻𝘁𝗼 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗪𝗼𝗿𝗱 𝗮𝗻𝗱 𝗜𝗺𝗮𝗴𝗲 𝗚𝗮𝗺𝗲𝘀.
N : —อย่าเพิ่งเฉลยครับ ผมรู้ มันก็เหมือนกับการเปรียบเทียบแอปเปิลกับส้ม เห็นมั้ยครับ❓ ผมเริ่มตามเกมคำศัพท์และรูปภาพของพระองค์ทันแล้ว
𝗚 : "𝗚𝗼𝗼𝗱. 𝗧𝗵𝗮𝘁'𝘀 𝗴𝗼𝗼𝗱. 𝗣𝗹𝗮𝘆 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗶𝗱𝗲𝗮𝘀. 𝗣𝗹𝗮𝘆 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘁𝗵𝗲𝗺. 𝗡𝗲𝘃𝗲𝗿 𝗹𝗲𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗺 𝗯𝗲𝗰𝗼𝗺𝗲 𝘄𝗼𝗿𝗸. 𝗣𝗹𝗮𝘆 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘁𝗵𝗲𝗺. 𝗔𝗻𝗱 𝗽𝗹𝗮𝘆 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗹𝗶𝗳𝗲.
G : ดี ดีมาก จงเล่นกับความคิดเห็น แนวคิด มโนคติ ให้เหมือนกับการเล่นเกมส์ เล่นกับพวกมัน อย่าปล่อยให้พวกมันกลายเป็นงาน (ที่จำเป็นต้องทำให้สำเร็จก่อนเส้นตาย—ที่ต้องมีเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง) เล่นกับพวกมัน และเช่นกัน จงใช้ชีวิตให้เหมือนกับการเล่นเกมส์ด้วย★
★ใช้ชีวิตให้สนุกสนานตื่นเต้น และ เบิกบาน เหมือนกับการเล่นเกมส์ เพราะรู้ดีว่า เราจะเริ่มต้นใหม่อีกกี่ครั้งก็ได้ และการผจญภัยของชีวิตในโลกทางกายภาพนั้นไม่ใช่ของจริง ความทุกข์ไม่ใช่ของจริง ความขาดแคลนไม่ใช่ของจริง
หรือ อาจบอกอีกอย่างได้ว่า อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ความจริงทุกอย่างในทุกๆรูปแบบนั้นมีอยู่แล้ว มันอยู่ที่ว่าเราจะเลือกประสบกับความจริงใดเท่านั้นเอง (หรือดึงดูดความจริงแบบใดมาให้ตัวเองได้ประสบ) ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตนั้นเราสามารถเลือกได้ อะไรก็ได้ เราเลือกได้หมด ฉะนั้นจงเลือกแต่ความสนุก ความสุข ความมั่งคั่ง ความรัก ฯลฯ ตามแต่ที่พวกคุณปรารถนา ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า พวกคุณจะเชื่อแบบใดกันล่ะครับ? (การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป หรือ สุขร่ำไป???) 😄 –ผู้แปล–
4
"𝗔𝗻𝗱 𝗽𝗹𝗮𝘆 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗲𝗮𝗰𝗵 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿, 𝘄𝗵𝗶𝗹𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗮𝘁 𝗶𝘁. 𝗟𝗲𝗮𝗿𝗻 𝘁𝗼 𝗽𝗹𝗮𝘆 𝘄𝗲𝗹𝗹. 𝗜 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘀𝗲𝗻𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝗚𝗮𝗿𝗱𝗲𝗻 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗚𝗼𝗱𝘀 𝗮𝗻𝗱 𝗼𝗳𝗳𝗲𝗿𝗲𝗱 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗵𝗲 𝘄𝗵𝗼𝗹𝗲 𝘄𝗼𝗿𝗹𝗱 𝗶𝗻 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝘁𝗼 𝗽𝗹𝗮𝘆. 𝗜 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗽𝗿𝗼𝘃𝗶𝗱𝗲𝗱 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗵𝗲 𝘄𝗵𝗼𝗹𝗲 𝘄𝗼𝗿𝗹𝗱 𝗶𝗻 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝘁𝗼 𝗽𝗹𝗮𝘆.
𝗜 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗽𝗿𝗼𝘃𝗶𝗱𝗲𝗱 𝘀𝘂𝗳𝗳𝗶𝗰𝗶𝗲𝗻𝘁 𝗯𝗼𝘂𝗻𝘁𝘆 𝘁𝗼 𝗺𝗮𝗸𝗲 𝗰𝗲𝗿𝘁𝗮𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗲𝗻𝗼𝘂𝗴𝗵 𝗳𝗼𝗿 𝗲𝘃𝗲𝗿𝘆𝗼𝗻𝗲. 𝗡𝗼 𝗼𝗻𝗲 𝘀𝗵𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗴𝗼 𝗵𝘂𝗻𝗴𝗿𝘆, 𝗹𝗲𝗮𝘀𝘁 𝗼𝗳 𝗮𝗹𝗹 𝗱𝗶𝗲 𝗼𝗳 𝗵𝘂𝗻𝗴𝗲𝗿. 𝗡𝗼 𝗼𝗻𝗲 𝗻𝗲𝗲𝗱 𝗯𝗲 𝘄𝗶𝘁𝗵𝗼𝘂𝘁 𝗰𝗹𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝗸𝗲𝗲𝗽 𝘄𝗮𝗿𝗺, 𝗻𝗼𝗿 𝘀𝗵𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗮𝗻𝘆𝗼𝗻𝗲 𝗯𝗲 𝘄𝗶𝘁𝗵𝗼𝘂𝘁 𝘀𝗵𝗲𝗹𝘁𝗲𝗿 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝘁𝗼𝗿𝗺. 𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗲𝗻𝗼𝘂𝗴𝗵 𝗳𝗼𝗿 𝗲𝘃𝗲𝗿𝘆𝗼𝗻𝗲.
และจงเล่นด้วยกันกับทุกคนในขณะที่เธออยู่ที่นั่น เรียนรู้ที่จะเล่นให้ดี ฉันได้ส่งเธอไปที่สวนของพระเจ้าและมอบโลกทั้งใบให้เธอเล่น ฉันได้จัดเตรียมโลกทั้งใบไว้ให้เธอเล่น ฉันได้ให้ทรัพยากรไว้เพื่อให้แน่ใจว่ามันมีเพียงพอสำหรับทุกคน ไม่มีใครควรต้องอดอยากและหิวโหย อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ควรมีใครต้องตายเพราะความหิว ไม่มีใครควรต้องขาดเสื้อผ้าสวมใส่เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น และไม่ควรมีใครปราศจากที่กำบังจากพายุหรือภัยพิบัติ ทุกอย่างมีเพียงพอสำหรับทุกคน
"𝗕𝗲𝘆𝗼𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁, 𝗻𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘀 𝗻𝗲𝗲𝗱𝗲𝗱 𝘁𝗼 𝗽𝗹𝗮𝘆 𝘄𝗲𝗹𝗹. 𝗡𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗺𝗼𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗿𝗲𝗾𝘂𝗶𝗿𝗲𝗱 𝗶𝗻 𝗼𝗿𝗱𝗲𝗿 𝘁𝗼 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗮 𝗴𝗹𝗼𝗿𝗶𝗼𝘂𝘀 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝗪𝗵𝗼 𝗬𝗼𝘂 𝗔𝗿𝗲. 𝗬𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗶𝗺𝗮𝗴𝗶𝗻𝗲𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝘀𝗼 𝗺𝘂𝗰𝗵 𝘆𝗼𝘂 𝗻𝗲𝗲𝗱 𝗶𝗻 𝗼𝗿𝗱𝗲𝗿 𝘁𝗼 𝗯𝗲 𝗵𝗮𝗽𝗽𝘆, 𝗮𝗻𝗱 𝗲𝘃𝗲𝗻 𝘁𝗼 𝘀𝘂𝗿𝘃𝗶𝘃𝗲. 𝗬𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗺𝗮𝗱𝗲 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗮𝗹𝗹 𝘂𝗽.
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีอะไรที่จำเป็นสำหรับการเล่นให้ดี ไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งใดเพิ่มเติมเพื่อที่จะมีประสบการณ์อันงดงามในแบบที่เธอเป็น เธอจินตนาการไปเองว่ามีหลายอย่างที่จำเป็นในการที่จะมีความสุขและมีชีวิตรอดให้ได้อย่างต่อเนื่อง เธอเป็นคนสร้างเรื่อง (อุปโลกน์) ทั้งหมดนี้ขึ้นมาเองทั้งสิ้น
"𝗔𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗽𝗽𝗿𝗼𝗮𝗰𝗵 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘇𝗲 𝗵𝗼𝘄 𝗹𝗶𝘁𝘁𝗹𝗲 𝗼𝗳 𝗮𝗻𝘆 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗺𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝘀. 𝗔𝗻𝘆 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗶𝘀. 𝗔𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗱𝗲𝗽𝗮𝗿𝘁𝘂𝗿𝗲 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘀𝘁𝗿𝘂𝗴𝗴𝗹𝗲𝗱 𝗳𝗼𝗿 𝗻𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴. 𝗔𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲𝗻 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗹𝗼𝗻𝗴 𝘀𝘁𝗿𝘂𝗴𝗴𝗹𝗲 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝗼𝘃𝗲𝗿.
ในขณะที่เธอเข้าใกล้ความตายมากขึ้นเรื่อยๆ เธอจะรู้ว่าเรื่องพวกนี้มีความสำคัญแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ณ ห้วงขณะที่เธอเดินออกจากชีวิตทางกายภาพ เธอจะรู้ว่าเธอต่อสู้ดิ้นรนเพื่อสิ่งที่ไม่มีความหมายหรือสำคัญอะไรเลย (กับตัวตนที่แท้จริงหรือวิญญาณของเธอ) แล้วการต่อสู้อันยาวนานของเธอจะจบสิ้นลง
"𝗬𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝗮𝗿𝗿𝗶𝘃𝗲 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗮𝘄𝗮𝗿𝗲𝗻𝗲𝘀𝘀 𝗮𝘁 𝗮𝗻𝘆 𝘁𝗶𝗺𝗲, 𝗮𝗻𝗱 𝗲𝗻𝗱 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝘀𝘁𝗿𝘂𝗴𝗴𝗹𝗲 𝗶𝗻 𝗮𝗻𝘆 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁. 𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗼𝗽𝗽𝗼𝗿𝘁𝘂𝗻𝗶𝘁𝘆 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗮𝗿𝗲 𝗻𝗼𝘁 𝗵𝗲𝗹𝗱 𝗶𝗻 𝗿𝗲𝘀𝗲𝗿𝘃𝗲 𝗳𝗼𝗿 𝗼𝗻𝗹𝘆 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵.
𝗜𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗮𝘁𝗰𝗵 𝗰𝗹𝗼𝘀𝗲𝗹𝘆 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝘀𝗲𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗲𝗮𝗰𝗵 𝗱𝗮𝘆 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗶𝘀 𝗰𝗿𝗼𝘄𝗱𝗲𝗱 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗹𝗶𝘁𝘁𝗹𝗲 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵𝘀.' 𝗬𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝘂𝘀𝗲 𝗮𝗻𝘆 𝗼𝗻𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲𝗺 𝗮𝘀 𝗮 𝗽𝗹𝗮𝘁𝗳𝗼𝗿𝗺 𝗳𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘇𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻."
เธออาจเข้าถึงการตระหนักรู้นี้ได้ทุกเมื่อ และยุติการต่อสู้ดิ้นรนของเธอได้ทุกเมื่อ โอกาสแบบนี้และประสบการณ์เช่นนี้ไม่ได้ถูกสงวนไว้สำหรับช่วงเวลาแห่งความตายของเธอเพียงแค่ช่วงเวลาเดียวเท่านั้น หากเธอจับตาดูและสังเกตอย่างใกล้ชิด เธอจะพบว่าชีวิตของเธอในแต่ละวันนั้นเต็มไปด้วย “ความตายเล็กๆน้อยๆ” อยู่เป็นจำนวนมาก เธอสามารถใช้หนึ่งในความตายเล็กๆน้อยๆเหล่านี้เป็นพื้นฐานของการตระหนักรู้นี้ได้
=========(((จบบทที่ 19))) =========

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา