8 มิ.ย. 2023 เวลา 13:12 • ไลฟ์สไตล์

ความมหัศจรรย์ของลมหายใจ

ใครเล่าจะรู้ว่า
ยาอายุวัฒนะ ยาบรรเทาความเจ็บปวดสุดยอดแห่งเครื่องมือดับทุกข์ และหนึ่งในยารักษาโรคดีที่สุดในจักรวาลนี้ ซ่อนอยู่ที่ปลายจมูกของเรานี่เอง...
"ลมหายใจ" คือ สิ่งมหัศจรรย์ใกล้ตัวมนุษย์ที่ถูกมองข้ามมากที่สุด
ทั้งๆที่ "การหายใจอย่างถูกต้อง" คือ รากฐานสำคัญของศาสตร์แห่งสมาธิทุกรูปแบบ และศาสตร์แห่งโยคะทุกประเภท รวมทั้งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของจักรวาลอีกด้วย
แม้แต่ศาสตร์แห่งพลังและการบำบัดโรคทางจีนทุกแขนง ก็ให้ความสำคัญกับพลังชีวิตที่เรียกว่า "พลังชี่" เป็นอย่างมาก
ซึ่งแท้จริงแล้วคำว่า "ชี่" (Qi) ก็แปลว่า "ลมหายใจ" นั่นเอง
ความลับอันมหัศจรรย์ของลมหายใจ สามารถแจกแจงออกมาได้เป็นข้อ ๆ ดังต่อไปนี้
1. ลมหายใจ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่กำหนดอายุขัยของเรา
หากลองสังเกตสัตว์ที่มีอายุสั้น เช่น หนู ซึ่งมีอายุขัยโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3-5 ปี จะพบว่า หนูหายใจเข้าและออกถึง 90 ครั้งต่อนาที และมีอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 400 ครั้งต่อนาที
ในขณะที่ เต่า ซึ่งมีอายุขัยโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 120 ปี จะหายใจเข้าและออกเพียง 4-6 ครั้งต่อนาที และมีอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 10-20 ครั้งต่อนาทีเท่านั้น
และหากเราลองจ้องมองพุงของสุนัข หรือแมวที่บ้านเราก็จะพบว่า มันมีอัตราการหายใจที่เร็ว และถี่กว่าเรามาก ซึ่งแน่นอนว่า พวกมันก็มีอายุขัยสั้นกว่าคนเรามากเช่นกัน
ลมหายใจ มีความสัมพันธ์โดยตรงกับอัตราการเต้นของหัวใจครับ
ยิ่งเราหายใจช้า ลึก และยาวมากเท่าไร อัตราการเต้นของหัวใจ จะยิ่งมีจังหวะที่ช้า และสม่ำเสมอมากขึ้นเท่านั้น
ซึ่งส่งผลให้เรามีอายุที่ยืนยาวขึ้นและเป็นโรคต่างๆน้อยลง (ดังที่จะนำเสนอต่อไป ในข้อที่ 2)
มีงานวิจัยที่น่าสนใจพบว่า
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแทบทุกชนิด (รวมทั้งมนุษย์) มีขีดจำกัดของการเต้นของหัวใจ อยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านครั้งในชีวิต
ฉะนั้น เมื่อหัวใจเต้นเกิน 1,000 ล้านครั้ง สัตว์ชนิดนั้นก็จะใกล้ถึงวันตายตามอายุขัย ซึ่งไม่น่าแปลกใจมากนัก
เพราะหัวใจที่เต้นเร็วจากการหายใจตื้นและถี่อยู่ตลอดเวลา ก็ไม่ต่างจากเครื่องจักรที่ต้องทำงานหนักอยู่เสมอ ย่อมส่งผลให้เกิดความเสื่อม และผุพังเร็ว และมีอายุการใช้งานที่สั้นลงกว่าเครื่องจักร ที่ได้รับการดูแลอย่างดี และไม่ถูกใช้งานอย่างหักโหม
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่หายใจเร็วที่สุดในโลก คือ หนูชรูว์ (Shrew) ซึ่งหายใจถี่ถึง 170 ครั้งต่อนาที นับว่าถี่กว่ามนุษย์ ผู้ใหญ่โดยเฉลี่ยถึง 8 เท่า และหัวใจของหนูชูว์เต้นเร็วถึง 1,200 ครั้งต่อนาที ! ซึ่งแน่นอนว่า หนูชรูว์เป็นสัตว์ที่มีอายุขัยสั้นเพียงไม่ถึง 2 ปีเท่านั้น
2. การหายใจอย่างถูกต้องสามารถช่วยป้องกันและเยียวยารักษาโรคร้ายได้สารพัด อาทิเช่น
2.1 โรคไมเกรน
       ผู้ป่วยโรคไมเกรน จะมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงและเฉียบพลัน ซึ่งอาการดังกล่าวอาจได้รับการบรรเทา หรือรักษาให้หายขาดได้ ด้วยการฝึกหายใจให้ลึก ยาว และละเอียดขึ้น
โดยท่านโกเอ็นก้า (S. N. Goenka) อาจารย์ด้านวิปัสสนากรรมฐานที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของโลก หายขาดจากโรคไมเกรน ด้วยการฝึกอานาปานสติ (ฝึกสติโดยใช้ลมหายใจ) ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่มีแพทย์ คนไหนหรือยาขนานใดสามารถช่วยท่านได้เลย แม้ว่าท่านจะได้ไปพบแพทย์ที่ได้ชื่อว่า มีชื่อเสียงที่สุดในโลกแล้วก็ตาม
2.2 โรคหัวใจและโรคความดัน
       การหายใจลึก และช้าสามารถลดความดันโลหิตลงได้อย่างเห็นผลทันตา
         อีกทั้ง ในยามที่ผู้ป่วยมีอาการโรคหัวใจกำเริบ การหายใจลึกๆ ก็สามารถนำสติกลับมาจดจ่ออยู่ที่ร่างกาย และปัจจุบันขณะ ทำให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
2.3 โรคเครียดเรื้อรัง
       ซึ่งส่งผลให้เกิดโรคร้ายอื่นๆตามมามากมาย  สามารถเยียวยารักษาได้ด้วยการ ฝึกหายใจ อย่างถูกวิธี เพราะอันที่จริง 90 เปอร์เซ็นต์ของความเครียดทั้งหมดในชีวิตเกิดจากความห่วงกังวลถึงอนาคตหรือหมกมุ่นอยู่กับอดีต
ดังนั้น การนำจิต และความคิดกลับมาอยู่กับลมหายใจที่ลึกและละเอียดในปัจจุบัน จะสามารถช่วยลดความเครียดได้อย่างชะงัด
นอกจากนั้น จะสังเกตได้ว่า เวลาเราเครียด หรือนอนไม่พอหัวใจของเราจะเต้นไม่เป็นจังหวะ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่า ร่างกายของเรากำลังทำงานบกพร่อง ภูมิคุ้มกันลดต่ำ และสารความเครียดที่ชื่อ "คอร์ติซอล" (cortisol) กำลังออกอาละวาดในกระแสเลือดของเรา
ทั้งนี้ การนั่งสงบสติอารมณ์และฝึกหายใจให้ลึกและยาวเพียง 2-3 นาที จะช่วยปรับหัวใจให้กลับมาเต้นในจังหวะที่สม่ำเสมอมากขึ้นได้ทันที
ทั้งนี้ ยังมีอีกหลายโรคที่สามารถบรรเทา เยียวยา หรือแม้แต่รักษาได้ด้วยการฝึกหายใจ อย่างถูกวิธี เช่น โรคลมบ้าหมู โรคหอบหืด โรคซึมเศร้า และโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งผมจะลงรายละเอียดในข้อต่อไป
3. ลมหายใจเป็น "แม่นมของสมอง"
         สมองของมนุษย์ทุกคนบริโภคออกซิเจน และน้ำตาลกลูโคสเป็นอาหาร ซึ่งแน่นอนว่า สิ่งที่เป็นตัวขับเคลื่อนออกซิเจนและน้ำตาลกลูโคส ก็คือ อากาศที่เราหายใจเข้าปอดไปนั่นเอง
จะสังเกตได้ว่า หากเราลองกลั้นหายใจนาน ๆ (ซึ่งผมไม่แนะนำให้ทำบ่อย ๆ นะครับ) เราจะเริ่มรู้ปวดหัว นั่นก็เพราะหนึ่งในปัจจัยที่กำหนดประสิทธิภาพการทำงานของสมองเรา ก็คือปริมาณของออกซิเจน ที่มันได้รับนั่นเอง
เซลล์สมองของคนที่ขาดอากาศหายใจนานเกิน 3 นาทีจะเริ่มฝ่อและตาย ส่งผลให้เกิดภาวะสมองเสื่อมหรือความทรงจำสั้น และหากสมองขาดอากาศนานเกิน 6 นาที แม้เจ้าของสมองจะไม่ตาย เขาก็มักจะอยู่ในสภาพโคม่า (คือเป็นผักหรือเป็นเจ้าชาย-เจ้าหญิงนิทรา) ไปตลอดกาล
ร่างกายต้องใช้ออกซิเจนในการทำทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหาร กะพริบตา การเคี้ยว การคิด ฯลฯ
ดังนั้น นอกจากการหายใจอย่างถูกต้องจะช่วยบำรุงสมอง รักษาความทรงจำ และชะลอหรือป้องกันโรคอัลไซเมอร์แล้ว มันยังทำให้เราสามารถคิดวางแผนและสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ไอเดียใหม่ ๆ มาขึ้นแก้ปัญหาได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นอีกด้วย
4. การหายใจอย่างถูกวิธี ทำให้คนทายอายุเราผิด
    เคยสังเกตไหมครับว่า คนที่ปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ หรือพระอาจารย์ที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นประจำแทบทุกรูป จะมีใบหน้าที่ดูสดใส และอ่อนกว่าวัย โดยไม่ต้องพึ่งมีดหมอ หรือง้อศัลยกรรมแต่อย่างใด
ในทางตรงกันข้าม คนที่เครียดบ่อย และหงุดหงิดอยู่เสมอจะมีใบหน้าที่หมองคล้ำ เหี่ยวย่น และมีตีนแร้ง (ร้ายกว่า ตีนกา !) ทั่วใบหน้า ส่งผลให้ต้องสรรหาสารพัดวิธีที่จะลบริ้วรอย และดึงหน้าให้เด้งตึงจนแค่ยักคิ้ว ขา ก็แทบจะกระตุกตามอยู่แล้ว
หนึ่งในปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ผู้ที่นั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอมีใบหน้าอ่อนกว่าวัย ก็เพราะพวกเขาได้มีโอกาสฝึกหายใจให้ลึก ยาวละเอียดบ่อยครั้งนั่นเอง
ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มความสงบสุขในใจ และลดสารความเครียดที่เรียกว่า "คอร์ติซอล" (อันเป็นสาเหตุหลักของความแก่ชราก่อนวัยอันควร) แล้ว การหายใจอย่างเต็มปอดยังช่วยฟอกเลือดที่นำพาออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของใบหน้าอย่างทั่วถึงและสม่ำเสมอ
ทำให้ใบหน้าดูมีน้ำมีนวล เต่งตึงสดใส อ่อนกว่าวัย และสุดท้ายเลือดเหล่านั้น ก็ยังช่วยขับสารพิษตกค้างต่าง ๆ (detox) ออกจากอวัยวะทุกส่วนของร่างกายและบนใบหน้าได้อย่างทั่วถึงอีกด้วย
สรุปแล้ว เคล็ดลับอายุยืน หน้าใส สมองไว และใจเป็นสุขโดยที่ไม่ต้องเสียเงินสักสตางค์เดียวก็คือ การฝึกหายใจให้ลึก ยาว และละเอียดมากที่สุดนั่นเอง
ร่างกายของเราขับของเสียจากการเผาผลาญพลังงาน (metabolic waste) ออกทุก ๆ วันจากหลากหลายช่องทาง เช่น
  3% ทางอุจจาระ
  8% ทางปัสสาวะ
19% ทางเหงื่อ ฯลฯ
แต่สิ่งที่หลายคนไม่ทราบ ก็คือ ร่างกายของเราขับของเสียจากการเผาผลาญพลังงานถึง 70% ทางลมหายใจ !
ดังนั้น หากคุณคิดว่า การขับถ่ายเป็นเร่องสำคัญ ก็อย่าลืมความสำคัญของการฝึกหายใจให้ลึกและยาวด้วยเช่นกัน
5. ลมหายใจเป็นหนึ่งในตัวกำหนดระดับความสำเร็จในชีวิตของเรา
คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ตัวการหลักสำคัญที่สุด ที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จต่างกัน คือ เรามีความสามารถในการควบคุมตัวเองที่ต่างกัน
โดยคนที่มีความสามารถในการควบคุมตัวเองมากกว่าจะประสบความสำเร็จ และมีความสุขในชีวิตมากกว่าเสมอ
ยกตัวอย่างเช่น นักมวยชื่อดังอย่าง ไมค์ ไทสัน ที่โกรธจัดจนกัดหูคู่ต่อสู้ของเขาคือ อีแวนเตอร์ โฮลฟีลล์ จนแหว่ง
ส่งผลให้ไทสันถูกปรับแพ้ และนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ชีวิตรวมทั้งอาชีพของเขา ก็อยู่ในขาลงตลอด
ในขณะที่อีแวนเดอร์ โฮลิฟีลล์ ซึ่งอาจจะชกได้ไม่ดุดันเท่า กลับมีการงานที่รุ่งโรจน์ และมีชีวิตที่รุ่งเรืองจนถึงทุกวันนี้
ตั้งแต่นักธุรกิจใหญ่ที่ตัดสินใจผิดอย่างมหันต์เพราะความ “โลภ” ตั้งแต่นักกีฬาที่พลาดท่า เพราะความ “โกรธ” ไปจนถึงพนักงาน หรือข้าราชการทั่วไป ที่จมปลักอยู่ในวงเวียนแห่งอบายมุข เพราะความ “หลง”
ไม่ว่าเราจะทำงานอะไร เพื่อยังชีพ ความสามารถใน
“การควบคุมตัวเอง”
เป็นกุญแจสำคัญอย่างยิ่งที่จะกำหนดความสำเร็จของชีวิต ซึ่งหนึ่งในเครื่องมือควบคุมตัวเองที่ทรงพลังที่สุด ก็คือ ลมหายใจ ของเรานั่นเอง
6. "อากาศ" ส่งผลต่อ "อารมณ์" อย่างน่าอัศจรรย์
หลายคนคงเคยได้ยินคำแนะนำว่า เวลาตื่นเต้น โกรธ กลัว หรือประหม่าให้ลอง
"สูดลมหายใจลึก ๆ"
ซึ่งคำแนะนำนี้มีพื้นฐานอยู่บนวิทยาศาสตร์ เพราะการหายใจลึก ๆ จะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหน้ามากขึ้น ซึ่งเป็นสมองส่วนที่ใช้ในการบริหารและควบคุมอารมณ์ต่าง ๆ
กล่าวคือ การหายใจที่ลึกและยาวเพียงพอจะช่วยเพิ่ม "ขันติ" (ความอดทนต่อการกระทบของอารมณ์) และเพิ่มพลัง "สติ" ซึ่งเกิดจากการสับรางระบบของสมองจากส่วนที่คล้าย "สัตว์ป่า" (limbic) มาเป็นส่วนที่คล้าย "เทวดาในร่างมนุษย์" (neo-cortex)
จะสังเกตได้ว่า เวลาที่เราโกรธ กลัว ตกใจ เครียด หงุดหงิด กังวล หรือทุกข์ ลมหายใจของเราจะสั้นและตื้น
แต่เวลาที่เรามีความสุข สงบ มีพลัง นิ่ง สุขุม มั่นใจ สบายใจ ลมหายใจของเราจะยาวและลึก
ทั้งนี้ สิ่งที่หลายคนไม่รู้ ก็คือ หากเราตั้งใจหายใจให้ยาวและลึกสัก 4-5 ครั้ง สมองของเราจะถูกหลอกว่า เรากำลังรู้สึกสบายใจ สุขุม และมีพลัง เช่นกัน
กระบวนการนี้เรียกว่า การทำ "Biofeedback" (การป้อนกลับทางชีวภาพ) โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือใด ๆ
เทคนิคการหายใจที่ดี คือ การหายใจ อย่าง "ละเอียด" ซึ่งเป็นการหายใจให้ช้า ลึก และเบา โดยสูดลมหายใจเข้าจนสุดปอดให้หน้าท้อง และหน้าอกพองตัว จนไม่สามารถพองต่อไปได้อีก แล้วจึงค่อย ๆ ปล่อยลมหายใจออกยาว ๆ อย่างไม่รีบร้อนจนหมดทั้งปอดทำเท่านี้เพียง 3-4 ครั้งก็จะรู้สึกว่า ร่างกายเริ่มเบา ใจเริ่มเย็น จิตเริ่มโล่ง และสมองเริ่มปลอดโปร่งขึ้นแล้ว
ถามว่า ต้องทำ และต้องฝึกบ่อยแค่ไหน
คำตอบ คือ "รู้ตัวเมื่อไร ก็ทำเมื่อนั้น"
หรือทำทุกครั้งที่รู้สึกว่า จิตกำลังเริ่มตก คือ เริ่มกลัว โกรธ กังวล เหนื่อย เครียด เบื่อ เซ็ง ท้อ ทุกข์
หรือลองทำก่อนรับโทรศัพท์ก็ได้ เช่น ลองสูดลมหายใจเข้าและออกลึก ๆ สัก 1-2 ครั้งแล้วค่อยรับสายด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ หลายครั้งคนที่อยู่ปลายสายจะสัมผัสได้ถึงความเมตตา อ่อนโยน สงบ  อบอุ่น และมีพลังของเรา
@พระอ.สุวัฒน์
โฆษณา