8 ก.ค. 2023 เวลา 13:56 • ไลฟ์สไตล์

ปฏิเสธ 3 ครั้ง กลอุบายเพื่อ "คุณธรรม"

ความอยากได้ อยากเป็นในกิเลสของมนุษย์นั่น ย่อมมีอยู่ในทุกๆคน แล้วยิ่งได้มาด้วยความถูกต้อง ชอบธรรม และได้รับการยอมรับจากคนทั้งปวงแล้ว ยิ่งเป็นสุดยอดแห่งความปราถนา
หรือแม้นในบางครั้งสิ่งที่อยากครอบครองนั่น อาจทำให้คนทั้งปวงไม่ยอมรับด้วยความเต็มใจ แต่ในอดีต ก็มีกลอุบายหนึ่งที่แยบยลและได้ผลอย่างดีเลิศเพื่อสร้างภาพความมีคุณธรรม และสร้างความชอบธรรมเพื่อให้มวลชนยอมรับ นั่นคือ "ปฏิเสธ 3 ครั้ง"
ในวรรณกรรมสามก๊ก ก็มีการกล่าวถึงกลอุบายดังกล่าวในหลายตอน ครั้งหนึ่ง เมื่อครั้งที่ เล่าปี่ ได้ ขอไปพึ่งพาใบบุญจาก โตเกี๋ยม เจ้าเมืองซีจิ๋ว เวลาต่อมาโตเกี๋ยมด้วยอายุที่มาก บวกกับโรคภัยที่รุมเร้า อีกทั้งบุตรหลาน ก็ไร้ความสามารถ โตเกี๋ยม เห็นว่า เล่าปี่นั่น องอาจ มีคุณธรรม รักประชาชน อีกทั้งยังมีเชื้อสายราชวงศ์ฮั่น จึงคิดจะยกเมืองซีจิ๋ว ให้ปกครอง
แต่เล่าปี่ เกรงว่าใต้หล้าจะประณาม กล่าวหาว่า มาพึ่งพาผู้อื่น แล้วยังมายึดบ้านเมืองเขาเป็นของตน เป็นคนไร้คุณธรรม !!!
เล่าปี่จึงบอกปฎิเสธโตเกี๋ยม ไปถึง สามครั้ง จนสุดท้ายเล่าปี่จึงได้รับขึ้นเป็นเจ้าเมืองซีจิ๋วในที่สุด พร้อมมาด้วยการยอมรับจากปวงชน เพราะเห็นว่าเล่าปี่เองนั่นไม่ได้ต้องการจะยึดเมืองเป็นของตนเอง แต่เป็นเพราะความตั้งใจแน่วแน่ของเจ้าเมืองโตเกี๋ยม ที่อยากให้เมืองซีจิ๋วนั่นได้ปกครองจากคนดีมีคุณธรรมอย่างแท้จริง
อีกเหตุการณ์ ของกลอุบาย การปฏิเสธ 3 ครั้ง นั่นคือช่วงปลายของยุคสามก๊ก เมื่อครั้งที่ โจโฉ ได้ตายจากโลกนี้ไป ผู้ขึ้นมาสืบทอดอำนาจต่อนั่น คือ โจผี บุตรชายคนรอง
ในช่วงที่โจโฉ เรืองอำนาจสูงสุด เหล่าขุนนาง และกุนซือใกล้ชิดต่าง ยุยงให้เขาตั้งตนขึ้นเป็นฮ่องเต้ ก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ แต่ด้วยความเฉลียวฉลาด มองการณ์ใกล้-ไกลชัดเจน หรืออาจด้วยความขลาดกลัว เขาจึงไม่เคยตอบรับ และทำตามคำแนะนำเหล่านั่นเลย
ซึ่งแตกต่างจาก โจผี ผู้ลูก ผู้อยากจะสถาปนาตนขึ้นเป็นฮ่องเต้ ปกครองทั่วหล้า ปราถนาอยู่ทุกลมหายใจ เมื่อครั้นตนได้ขึ้นมามีอำนาจ จึงมีเหล่าขุนนางทั้งหลายต่างจะยกแต่งตั้งขึ้นเป็นฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ใหม่ โจผีนั่น อยากจะตอบรับเสียวินาทีนั่นใจจะขาด
แต่มีกุนซือข้างกายแนะกลอุบายไว้ว่า ถ้ามีคำขอมาให้ท่านปราบดาภิเษกขึ้นเป็นฮ่องเต้ ท่านต้องปฏิเสธก่อน ถึง สามครั้ง เมื่อผ่านไปแล้วจึงค่อยรับ ครานั่น คุณธรรม และความชอบธรรมของท่านจะปรากฏเด่นชัดต่อปวงชน ว่ามิได้ต้องการลาภยศ สรรเสริญ หรือแย่งชิงแผ่นดินฮั่น แต่รับด้วยความที่เห็นว่าผู้คนยอมรับและจะทำให้แผ่นดินสงบสุขได้
ทำไมต้อง 3 ครั้ง ???
คำถามนี้มันผุดขึ้นมาในหัวผม ทำไมไม่ปฏิเสธ แค่ครั้งเดียว หรือ 4-5ครั้ง ไปเลยยิ่งเยอะจะยิ่งดูดีไม่ใช่เหรอ
โดยความคิดเห็นส่วนตัว จำนวนสามครั้งนั่นดูจะพอเหมาะ พอเจาะ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป และมักจะผูกพันกับเราอยู่อย่างแนบเนียน เช่น ชีวิตคนมีสามช่วงวัย คือ วัยเด็ก วัยหนุ่มสาว วัยชรา หรือ อย่างมื้ออาหารทั่วไปแบ่งเป็นสามมื้อ หรือแม้แต่แกนหลักสามประการในศาสนาพุทธ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรืออย่างการนับเพื่อจะเริ่มต้นกิจกรรมต่างๆ ก็มักจะนับเลข 1-3 เป็นต้น
เหล่านี้อาจจะแทรกซึมเข้าไปในส่วนใต้สำนึกของเราๆ ว่าจุดเริ่มต้นที่ [1]หนึ่ง และ สุกงอม ลงตัวที่ [3]สาม นั่นช่างเป็นความเหมาะสม พอดิบพอดีเสียนี่กระไร
ผมเห็นว่า หนึ่งครั้ง มันดูแค่เริ่มต้น เล็กน้อยเกินไป
ครั้งที่สอง แสดงให้เห็นถึงความพยายาม แน่วแน่ ในแนวทาง
ครั้งที่สาม แสดงถึงความพยายามอย่างเต็มที่ จริงใจ และทำจนสุดกำลัง
แต่หากมีครั้งที่ สี่ ห้า หก มันจะกลายเป็นสิ่งไร้ซึ่งคุณค่า และไร้ความหมาย
คนเสนอก็ท้อใจ คนปฏิเสธก็ท้อแท้.....ปวงชนที่เฝ้าชมก็เบื่อหน่าย
เวลาผ่านมานับพันๆปี เราอาจได้เห็นกลอุบาย ปฏิเสธ 3 ครั้ง อย่างใกล้ชิด ในไม่ช้า ในบ้านเมืองไทย ที่กำลังฝุ่นตลบไปด้วยเหตุการณ์ต่อสู้ทางการเมืองเพื่อครอบครองอำนาจอันหอมหวล และตำแหน่งผู้นำประเทศอันหอมหวานด้วยกลวิธี ปฏิเสธ 3 ครั้ง ในรูปแบบที่ต่างกรรมต่างวาระ แต่ยังเปี่ยมพลังไปด้วยหลักการเดิม
เราเหล่าปวงชนทั้งหลาย อาจได้ชม การเสนอชื่อผู้นำประเทศ 3 ครั้ง และจะถูกปฏิเสธ 3 ครั้ง แต่คราวนี้ความชอบธรรม และคุณธรรม จะกลับไปสู่ผู้ที่เสนอ ที่แสร้งราวกับมิตรแท้ และจะออกมาตะโกนดังๆว่า พวกเราต่างพยายามอย่างสุดกำลังความสามารถแล้ว ที่จะสนับสนุนท่านตามพันธะสัญญาที่ให้แก่กัน
แต่......ครบสามครั้งแล้ว จึงสมควรแก่การพอ และถึงเวลานับหนึ่งของพวกเราสักที !!!.....JPW
โฆษณา