12 ก.ค. 2023 เวลา 04:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One (2023) – เอไอเข้ารหัส ล่าพิกัดมรณะ

หลังชุบชีวิตอุตสาหกรรมภาพยนตร์เมื่อปีที่แล้ว ในหนังเครื่องบินรบที่ทิ้งช่วงภาคต่อร่วม 36 ปี แต่ก็กลายเป็นปรากฎการณ์ที่ช่วยตอกย้ำ ถึงสถานะนักแสดงหนังแอ็คชั่นแห่งโลกภาพยนตร์ สำหรับ ทอม ครูซ และสำหรับภารกิจประจำปีนี้ ก็คือการที่เขาต้องโดดเข้าสู่ปฏิบัติการใหม่ ในการล่าพิกัดมรณะที่เป็นไปไม่ได้ ในภาคต่ออย่าง Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One
Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One พูดถึงภารกิจครั้งล่าสุดของอีธาน ฮันท์ ในการตามล่าหาครึ่งนึงของกุญแจ ฮันท์ และลูกทีม อิลซ่า เฟาส์, เบนจี้ ดันน์ และ ลูเธอร์ สติกเคล จึงร่วมมือกันเพื่อเข้าสะกัดผู้ซื้อที่อาจจะมีอีกครึ่งของกุญแจที่เหลือ
แต่ก็ต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังสายลับจากสหรัฐฯ ที่หวังจับกุมฮันท์, สายลับปริศนาที่มีอดีตร่วมกับฮันท์ และ เกรซ หญิงสาวนักฉกมือฉมังที่ติดเข้ามาในหางเลข ของการตามล่ากุญแจ ที่อาจจะไขความลับไปสู่ขุมพลัง ที่อาจพัฒนาไปเป็นอาวุธล้ำสมัยรุ่นใหม่ และเป็นพลังอำนาจขั้นสูงสุดสำหรับประเทศมหาอำนาจในโลก
ตัวหนังมาพร้อมฉากเปิด ที่ทำให้เรารู้จักกับภัยร้ายใหม่ที่สร้างความระทึกขวัญ และทำให้เราได้ตระหนักถึงภยันตรายที่ใกล้ตัวและทันสมัยอยู่ไม่น้อย ก่อนที่หนังจะพาเราไปหาอีธาน กับภารกิจเป็นไปไม่ได้ครั้งใหม่ ที่เขาต้องทำหน้าที่สะกัดกั้นการเข้าถึงอาวุธชิ้นใหม่ชิ้นนี้ ที่มีศักยภาพอันตรายร้ายแรงกว่าอาวุธนิวเคลียร์ แทรกด้วยฉากระทึกขวัญและแอ็คชั่นที่ไล่ระดับไปเรื่อย ๆ พร้อมด้วยเหล่าตัวละครใหม่และเก่า ที่ประดังเข้ามาช่วยเพิ่มมิติให้เรื่องราวมากขึ้น
โดยส่วนตัว หลังภาค Fallout เราถือว่ากราฟโมเมนตั้มของแฟรนไชส์ Mission: Impossible อยู่ในจุดที่สูงมาก ๆ ทั้งในแง่ของเรื่องราวและคุณภาพของความเป็นหนังแอ็คชั่น ที่ไม่ได้ฉาบฉวย มีการรังสรรค์ฉากแอ็คชั่นแต่ละรูปแบบที่น่าตื่นตาและหลากหลาย รวมถึงการสอดแทรกความซับซ้อนในการครอบครองไว้ซึ่งอำนาจสูงสุด ในรูปแบบของอาวุธยุทโธปกรณ์ ที่มีเป้าหมายเพื่อทำลายล้างมนุษยชาติ
ค้นพบว่า ตัวหนังล้วนมาพร้อมฉากระทึกขวัญแอ็คชั่นที่ไล่ระดับได้ดี และล้วนน่าจดจำ นับตั้งแต่ฉากเปิด ฉากสะกัดที่สนามบิน ฉากขับรถไล่ล่ากลางกรุงโรม ฉากต่อสู้ประชิดตัวที่เมืองเวนิซ รวมถึงไคลแมกซ์ใหญ่ ที่มาพร้อมสตันท์ไฮไลท์ประจำเรื่อง และฉากบู๊บนรถไฟ นอกเหนือจากนั้น ในแต่ละฉาก ล้วนมีการสร้างและแทรกซึ่งอารมณ์ร่วมที่แตกต่างกันไป ทั้งความระทึกขวัญ ความสิ้นหวัง ความโศกเศร้า ความตลก และความมันส์ ต่างแบ่งสันปันส่วนอยู่ในปริมาณที่กำลังพอดี และไม่ล้นจนเกินไป
นอกเหนือจากนี้ การเพิ่มเติมตัวละครใหม่อย่าง เกรซ นักฉกมือฉมังที่มาเสริมเคมีระหว่าง อีธาน รวมถึงเป็นจุดสร้างเสียงหัวเราะ และจุดผ่อนคลายของเรื่องไม่ให้ตึงเครียดจนเกินไป หรืออย่างตัวร้ายอย่าง “เกเบรียล” ให้เป็นตัวร้ายที่มีอดีตร่วมกันกับอีธาน แถมมีศักยภาพนำหน้าอยู่ก้าวหนึ่งเสมอ ทำให้ “เกเบรียล” ถือเป็นตัวร้ายหนึ่งที่น่าจดจำสุดในแฟรนไชส์ รวมถึง “ปารีส” มือขวาของเกเบรียล ที่แม้บทบาทจะเป็นตัวสมทบ แต่ด้วยการวางคาแรคเตอร์ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวละครหญิงที่จัดจ้านด้วยดีไซน์จนน่าจดจำ
รู้สึกได้ว่า ทางด้านการออกแบบโครงสร้างของเรื่อง มีการลำดับจัดวางเพื่อให้เรารู้สึกหวนกลับไปหา Mission: Impossible ภาคแรกในปี 1996 ของ ไบรอัน เดอ พาลมา อยู่มาก ๆ ทั้งการวางพล็อตให้มีความไม่น่าไว้ใจ มีความเป็นสายลับหักเหลี่ยมที่มีความชิงไหวชิงพริบ แต่เป็นภัยร้ายในโลกดิจิตอล ที่ต้องให้เหล่าตัวละครต้องหวนกลับไปใช้กลยุทธ์เก่าแบบอะนาล็อค หรือกระทั่งการนำตัวละครนึงจากภาคแรกกลับมามีบทบาท รวมถึงฉากไคลแมกซ์ใหญ่ ที่เป็นรถไฟหัวจักรไอน้ำ ที่ยั่วล้อและชวนให้นึกถึง ฉากรถไฟความเร็วสูงในไคลแมกซ์ภาคแรก
นอกเหนือจากนั้น ความน่าประทับใจอีกอย่าง คือจังหวะการเล่าเรื่องใน Part One ที่สามารถขมวดจบสรุปเรื่องราวในตัวได้ดี โดยไม่รู้สึกห้วนหรือถูกหั่นครึ่งจนแห้งแล้งเกินไป อีกทั้งจังหวะจบของเรื่อง มันยังยั่วไปหาบทสรุปที่น่าเข้มข้นของ Part Two ได้อย่างดีมาก ๆ ซึ่งก็ถือเป็นความสำเร็จที่ไม่ธรรมดา ในธารกระแสของหนังที่เริ่มนิยมใช้การแบ่งครึ่งพาร์ทออกมาเรื่อย ๆ
กระนั้น ด้วยมาตรฐานที่ค่อนข้างสูงของ Fallout เราจึงรู้สึกว่า Dead Reckoning Part One อยู่ในเกณฑ์ความบันเทิงที่ดูได้สนุกสุดมันส์ แต่ไม่ได้ประทับใจจนเกินคาดเฉกเช่น Fallout ที่ขมวดควบรวม ผลพวงทางอารมณ์ และมิติทางตัวละครอีธาน ฮันท์ ได้ครบถ้วนและสมบูรณ์มากกว่า แต่หากถามในแง่ของมาตรฐานแฟรนไชส์ Mission: Impossible ก็ถือว่าไม่ได้ผิดหวัง
ความน่าสนใจของ Dead Reckoning คือการพูดถึงภัยร้ายที่เราเข้าถึงได้ง่าย อย่างการตระหนักและตื่นรู้ของปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งแม้จะไม่ใช่ของใหม่ในโลกภาพยนตร์ก็ตาม เพราะเราอาจคุ้นเคยกับ Skynet จากแฟรนไชส์คนเหล็ก หรือ HAL 9000 จากหนัง 2001: A Space Odyssey มาแล้ว
แต่ตัวหนังก็ช่วยฉายภาพอันแสนน่าสะพรึงกลัว ความร้ายกาจของปัญญาประดิษฐ์ ในรูปแบบที่เราอาจจะไม่เคยตระหนักมาก่อน ที่เป็นดั่งเชื้อโรคในโลกดิจิตอลที่แพร่หลายไปในทุกการเข้ารหัสของอินเตอร์เน็ต นั่นคือการ “เปลี่ยนแปลงความเป็นจริง” ที่เราเห็นในโลกอินเตอร์เน็ตให้จากหน้ามือไปเป็นหลังมือ
ยิ่งไปกว่านั้น ตัวหนังยังชาญฉลาดมากพอ ในการใส่แง่มุมทางการเมือง ในการที่หลายประเทศมหาอำนาจพยายามไขว่คว้าและควบคุมไว้ซึ่งอาวุธชิ้นนี้ ให้กลายเป็นแต้มต่อทางการฑูต ที่อาจโหมเชื้อไฟกลายเป็นสงครามโลกที่ปะทุอย่างน่าหวาดหวั่น ไม่เพียงเท่านั้น มันหาญกล้าพอจะนำเสนอว่า สหรัฐฯ เอง ก็ไม่หวั่นเกรงที่จะเอื้อมมือไปคว้าอำนาจนี้มาไว้ในมือ ทั้งนี้มันเป็นสิ่งมากเกินกว่าที่ใครคนนึงจะครอบครอง
สรุปแล้ว Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One คือหนังแอ็คชั่นภารกิจท้าตายใหม่ของอีธาน ฮันท์ ที่ลำดับจัดวาง อุดมไปด้วยฉากแอ็คชั่นที่มีอารมณ์แตกต่างหลากหลาย แต่ล้วนน่าจดจำ แถมยังดึงอารมณ์ได้จนนั่งแทบไม่ติดเบาะ พร้อมแทรกมาด้วยเหล่าตัวละครใหม่ที่ช่วยเพิ่มมิติและกลิ่นอายให้กับเนื้อหา ที่ว่าด้วยการฉายภาพภัยร้ายแห่งโลกใหม่ อย่างปัญญาประดิษฐ์ที่ตื่นรู้ได้ทันสมัยและน่าสะพรึงกลัว แถมสามารถขมวดจบสรุปเรื่องราวจบในตัว โดยไม่รู้สึกห้วนจนเกินไป แม้จะเป็นถูกแบ่งออกเป็นสองภาคก็ตาม
4 / 5
Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One (2023)
Directed by Christopher McQuarrie
Written by Christopher McQuarrie and Erik Jendresen
Based on "Mission: Impossible" by Bruce Geller

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา