9 ก.ค. 2023 เวลา 04:40 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Indiana Jones and the Dial of Destiny (2023) – ชัยชนะครั้งสุดท้ายของชายชรา

ในยุคที่หนังจากแฟรนไชส์ยุคเก่า ทยอยกลับมาโลดแล่นกันมากมาย นับตั้งแต่มหากาพย์สงครามอวกาศ การผจญภัยในดินแดนไดโนเสาร์ หรือกระทั่งการหวนกลับมา ของนักผจญภัยล่าขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า อย่าง อินเดียน่า โจนส์ ที่เป็นเจ้าของแฟรนไชส์ผจญภัยในยุค 80 ที่ครานี้ ปู่แฮริสัน ฟอร์ด ในวัยเหยียบเลขแปด ก็ยังกลับมาสวมหมวก ฟาดแส้ เป็นหนสุดท้าย ในหนังภาคต่ออย่าง Indiana Jones and the Dial of Destiny
Indiana Jones and the Dial of Destiny เล่าเรื่องของ เฮนรี โจนส์ จูเนียร์ ศาสตราจารย์และนักโบราณคดี ที่อยู่ในช่วงยุคหลังสงครามโลก และเข้าใกล้วัยเกษียณจากหน้าที่อาจารย์มหาวิทยาลัย หลังได้พานพบกับ เฮเลน่า ลูกสาวบุญธรรมของอดีตเพื่อน เบซิล ชอว์ เพื่อตามหา แอนติไคธีรา แป้นนาฬิกาในตำนานของนักคณิตศาสตร์อย่าง อาร์คิมิดีส ที่ว่ากันว่า มีอำนาจในการย้อนเวลา
แต่แล้ว การพานพบครั้งนี้ นำพา โจนส์ และ เฮเลน่า กลับไปยังอริอย่างพวกนาซีเก่า นำโดย ดร.ชมิดท์ ที่หวังจะคว้าแป้นนาฬิกา และทำให้ฝ่ายอักษะกลับมามีชัยอีกครั้ง
แม้ความทรงจำจากไตรภาคต้นฉบับ และภาคกระโหลกแก้วจะไม่ได้เด่นชัด หากจะจดจำก็เพียงภาพจำสุดไอคอนนิค ของการเหวี่ยงแส้ปราบเหล่าร้าย และการเผชิญขุมทรัพย์ที่มาพร้อมปริศนาเหนือคณานับ และความลับเกินคาดคิด ตัวหนังภาคนี้ จึงเปิดมาด้วยฉากแอ็คชั่นแรกบนรถไฟ ที่ทำให้เราได้เห็น อินเดียน่า ในวัยหนุ่ม ในการประจัญหน้ากับฝ่ายนาซี ที่กำลังอยู่ในชั่วยามใกล้พ่ายแพ้จากสงคราม และไอเทมหลักประจำภาคอย่าง แอนติไคธีรา
ก่อนที่ฉากนั้นจะส่งเรากลับมาสู่ยุค 1969 ในสมัยที่ อินดี้ รวยรินเป็นเพียงศาสตราจารย์อาวุโส และไม่ได้โหยหาการผจญภัย จากภูมิหลังที่เรากำลังจะได้ค้นพบในไม่ช้า และประดังมาด้วยฉากแอ็คชั่นการผจญภัยประปราย
ถ้านับจากภาคแรก ก็เป็นเวลากว่า 42 ปีที่ อินเดียน่า โจนส์ ได้โลดแล่นผจญภัย นอกจากการปูพื้นที่แข็งแรงในฉากแอ็คชั่นแรก ที่ทำให้รู้เป้าหมายหลักของภาค ก่อนที่จะได้เห็นช่วงเวลาที่สังขารของอินดี้ ดูเชื่องช้าเกินกว่าจะเหวี่ยงหมัด พะบู๊ได้แบบภาคเก่า ๆ
แต่มันก็ยังเก็บไว้ซึ่งกลิ่นอายและเอกลักษณ์เดิมของแฟรนไชส์ ของการเป็นหนังแอ็คชั่นผจญภัยที่แทรกด้วยอารมณ์ขัน แต่ตัวหนังก็พยายามออกแบบและสร้างสรรค์ ฉากแอ็คชั่นไล่ล่าเว่อร์วังมากมาย เช่น ฉากไล่ล่าบนตุ๊กตุ๊กในแทนเจียร์ รวมถึงการใส่ตัวละครเลือดใหม่แบบ เฮเลน่า ให้เป็นหนึ่งตัวแทนของความเยาว์วัย เคียงข้างกับอินดี้
ท่ามกลางฉากแอ็คชั่น และการเดินหน้าไขปริศนาคำใบ้ และหาขุมทรัพย์ ตามขนบธรรมเนียมของหนังแนวนี้ ที่เรื่องราว ลำดับจัดวาง ให้ทั้งฝ่ายตัวร้ายอย่างดร. ชมิดท์ และ อินดี้ กับ เฮเลน่า ที่ต้องออกเดินทางตามหาแป้นนาฬิกาแอนติไคธีร่า พร้อมพลังอำนาจอันพิศวงของมัน ก็ไม่ได้พิเศษหรือมีความแตกต่างจากภาคก่อนมากนัก ออกจะดำเนินตามสูตรเสียเลยด้วยซ้ำ
ความน่าสนใจภายใต้เรื่องราวนี้ นอกเหนือจากการเป็นบทส่งท้าย ภายใต้รูปลักษณ์ของหนังผจญภัยเชย ๆ สักเรื่อง คือการจงใจออกแบบเรื่องราว ให้เป็นการผจญภัยหนสุดท้ายของชายชรา ที่จำใจต้องกลับมาร่วมหัวจมท้าย กับตัวละครใหม่ที่แสนทะเยอทะยาน และเผชิญกับฝ่ายตัวร้าย ที่ยังคงหลงระเริงในอดีตอันรุ่งโรจน์ และหวังจะกลับมาเรืองอำนาจแบบหลงยุค
ภายใต้อารมณ์ร่วมที่ไม่อาจจะชูขึ้นมาได้นั้น เราเห็นความพยายามมากมาย ทั้งการออกแบบตัวละครใหม่อย่าง เฮเลน่า ที่หลายช่วงจังหวะ ก็ชวนให้นึกถึงความก๋ากั๋นขี้เล่นของอินดี้ในวัยหนุ่ม แต่ก็ไม่ฉายเสน่ห์ให้เราหลงใหลได้แบบอินดี้ ถึงแม้ ฟีบี้ วอลเลอร์-บริดจ์ จะฉายการแสดงเท่าที่บทจะเอื้อ หรือกระทั่งตัวละคร เท็ดดี้ ที่ชวนให้นึกถึงชอร์ตราวน์แบบเลี่ยงไม่ได้ และฝ่ายตัวร้ายที่หวังกลับมาเรืองอำนาจ มันก็สะท้อนถึงความหลงยุค ที่พยายามจะมาทดแทนในยุคสมัยใหม่ของตัวหนังได้อยู่ไม่น้อย
ถึงแม้ตัวหนัง ไม่อาจจะสร้าง หรือล่อเลี้ยงอารมณ์ร่วมผ่านฉากแอ็คชั่นและเรื่องราวได้มากนัก มันกลับเสริมค่า ให้เราได้เห็นเลื้อดและเนื้ออันเหี่ยวย่น กับสังขารอันโรยรินของอินดี้ ในวัยไม้ใกล้ฝั่งได้ดีอย่างยิ่งยวด ที่แม้จะเป็นสักขีพยานความมหัศจรรย์อันเหลือเชื่อนับครั้งไม่ถ้วน แต่กลับต้องมาจับพลัดจับพลูผจญภัย ในแบบที่เจ้าตัวก็ไม่ได้เต็มใจนัก ซึ่งส่วนหนึ่ง ก็ต้องชมการแสดงอันน่าประทับใจของ แฮริสัน ฟอร์ด
แต่แม้จะมีชัยมานักต่อนัก อย่างเดียวที่เขาไม่อาจเอาชนะได้ ก็คือธารกระแสของเวลา ที่ยังเชี่ยวกรากและไม่มีวันหยุดยั้ง ก้องสะท้อนกับความเฉิ่มเชยของหนังภาคนี้อย่างน่าขัน ที่ในห้วงเวลาที่เต็มไปด้วยความล้ำหน้ามากมาย อินเดียน่า โจนส์ ก็ไม่ใช่ฮีโร่ที่ทันสมัยทันยุคอีกแล้ว อีกทั้งยังรู้สึกหลงยุคผิดที่ผิดทาง และคาดหวังจะหวนคืนสู่ช่วงเวลาอันรุ่งเรืองของตนเอง หากแต่มัน ก็เป็นแค่เพียง ชัยชนะหนสุดท้ายในบทส่งท้ายของตนเอง
และท้ายที่สุด มนุษย์ทุกคนก็ไม่มีทางเอาชนะเวลาได้ และหากอดีตมันหวานหอมมาก ก็ควรจะปล่อยไว้แบบนั้น
สรุปแล้ว Indiana Jones and the Dial of Destiny คือหนังแอ็คชั่นผจญภัยที่มาพร้อมเรื่องราวตามสูตร ด้วยท่าทีจังหวะแสนเฉิ่มเชยของขนบหนังผจญภัยล่าขุมทรัพย์ มันคือการเปิดเปลือยเนื้อหนังอันเหี่ยวย่นของตัวละครสุดไอคอนนิคของโลกภาพยนตร์ เนื้อหาของเรื่อง ที่สะท้อนความหลงยุคผิดที่ผิดทางของตัวหนังอย่างน่าขัน ราวกับกำลังพยายามหวนคืนสู่ช่วงอดีตอันรุ่งโรจน์ ที่ไม่สำเร็จและไม่ได้น่าจดจำขนาดนั้น แต่มันก็ถือเป็นการทิ้งทวนครั้งสุดท้ายของแฮริสัน ฟอร์ด ในบทอินดี้ที่ชวนคิดถึง และสมศักดิ์ศรี
3.5 / 5
Indiana Jones and the Dial of Destiny (2023)
Directed by James Mangold
Written by Jez Butterworth & John-Henry Butterworth, David Koepp and
James Mangold
Based on Characters by George Lucas & Philip Kaufman

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา