12 ส.ค. 2023 เวลา 12:42 • ประวัติศาสตร์

กว่าจะมี “วันแม่” : ทำความรู้จักกับประวัติความเป็นมาของ “วันแม่”

วันนี้ (12 สิงหาคม) ตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพระพันปีหลวง ซึ่งในประเทศไทยได้ประกาศให้เป็น “วันแม่แห่งชาติ” ของไทย เป็นที่ทราบกันดีว่าวันแม่ของแต่ละประเทศทั่วโลกก็แตกต่างกันไปในแต่ละวัฒนธรรม
แต่ทราบกันหรือไม่ ว่า “วันแม่” เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? ใครเป็นคนสร้าง? และสถานที่ที่จัดตั้งวันแม่เป็นที่แรกของโลกนั้นอยู่ที่ไหน? วันนี้เราจะมาหาคำตอบของต้นกำเนิดวันแม่กัน
📌 กว่าจะมี “วันแม่”
แรกเริ่มเดิมที วัฒนธรรมวันแม่ไม่ได้เป็นวัฒนธรรมที่หมายถึง “แม่ผู้ให้กำเนิดโดยเฉพาะ” โดยวันแม่ในสมัยกรีกโบราณก็คือวันเฉลิมฉลองแก่เทพมารดา “รีอา” ผู้เป็นมารดาของเทพแห่งโอลิมปัส
ส่วนในโรมันก็เป็นการเฉลิมฉลองแก่เทพมารดา “ซิเบลี” ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเป็นฤดูของการกำเนิดและผลิบาน วันแม่ในยุคโบราณจึงเป็นวันเฉลิมฉลองเทพที่เกี่ยวข้องกับความอุดมสมบูรณ์และการให้กำเนิดมากกว่า
พอล่วงเข้าสู่ช่วงคริสต์กาล วันแม่ก็มาตรงกับวันสำคัญทางศาสนาที่เรียกกันว่า Mothering Sunday
ซึ่งจะอยู่ช่วงกลางเทศกาลมหาพรต ราวสัปดาห์ที่ 4 โดยวันแม่นี้ถูกเฉลิมฉลองมาตั้งแต่ยุคกลางในหมู่สหราชอาณาจักรโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อระลึกถึงพระแม่มารีย์
โดยคอนเซปต์หลักของ Mothering Sunday ก็คือ “การกลับไปหาครอบครัว” ซึ่งวันแม่ในที่นี้จะประกอบไปด้วยกิจกรรมทางศาสนาเช่นการเดินทางไปยังโบสถ์แม่หรือก็คือสถานที่ที่ชาวคริสต์ได้รับศีลจุ่มและเกิดใหม่ในคริสต์ศาสนา และการเดินทางกลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัวของตน
แม่ในความหมายของ Mothering Sunday จึงอาจจะหมายถึง มาตุภูมิ มากกว่า วันแม่ทางศาสนานี้ยังคงถูกใช้อยู่ในปัจจุบันในกลุ่มประเทศสหราชอาณาจักร และประเทศเอกราชอื่น ๆ ที่เคยขึ้นตรงต่ออังกฤษอย่างไอร์แลนด์ และไนจีเรีย
📌 “แม่” ผู้เป็นไอดอลของ “ลูก”
ที่มาของ “แม่” ในวันแม่แรก(อย่างเป็นทางการ)ของโลก เกิดขึ้นที่ดินแดนเสรีภาพอย่าง สหรัฐอเมริกา ในช่วงทศวรรษที่ 1870 โดยเกิดขึ้นจากนักกิจกรรมทางสังคมที่มีบทบาทในช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกันคือ แอนน์ จาร์วิสผู้แม่ (Ann Revees Jarvis)
ซึ่งมีบทบาทอย่างมากในเรื่องของสันติภาพ โดยจาร์วิสผู้แม่เป็นผู้ก่อตั้ง “Mothers’ Day Work Clubs” ซึ่งมีส่วนสำคัญในการดูแลความเป็นอยู่ของเหล่าสตรีและเด็ก รวมไปถึงอนามัยต่าง ๆ ในชุมชน เนื่องจากในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 มีอัตราการตายของประชากรที่เป็นเด็ก เป็นจำนวนมาก จาร์วิสผู้แม่เองก็มีบุตรถึง 13 คน แต่เหลือรอดจนเติบใหญ่เพียงแค่ 4 คนเท่านั้น
เมื่อสงครามกลางเมืองอเมริกาอุบัติขึ้น ส่งผลทำให้ทหารบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ซึ่งทหารเหล่านี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากลูก ๆ ของสตรีชาวอเมริกัน สมาคมของจาร์วิสผู้แม่จึงกลายมาเป็นกระบอกเสียงเรียกร้องสันติภาพจากสงครามเพราะไม่ต้องการให้ลูก ๆ ของตนไปเสี่ยงภัยและอาจจะไม่มีวันกลับมา
อีกทั้งยังประกาศตัวเป็นกลางในสงครามและให้ความช่วยเหลือแก่ทหารทุกฝ่ายโดยไม่เลือกข้าง เพราะถือว่าทหารเหล่านั้นต้องพรากบ้านพรากแม่มาเสี่ยงภัยในดงกระสุนปืน
พวกเขาจึงต้องช่วยเหลือให้ทหารทุกคนสามารถกลับบ้านไปหาแม่ได้อย่างปลอดภัย และในช่วงหลังสงครามเอง จาร์วิสผู้แม่ก็ได้มีการจัดกิจกรรมเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ของครอบครัวทั้งจากฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขด้วยในชื่อของ Mothers Friendship Day
ซึ่งเหตุการณ์นั้นจบลงด้วยความปรองดองกันของเหล่าครอบครัวทั้งจากฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ที่มาร่วมงานกัน
📌 “ลูก” ผู้ตั้งวันระลึกให้แก่ “แม่”
จากกลุ่มองค์กรที่ถูกจัดตั้งเป็นวันแม่แรก ๆ ของโลกจะเห็นได้ว่าเป็นวันแม่ที่มีเอาไว้เพื่อธำรงเอาไว้ซึ่งประชากรไม่ให้ต้องล้มหายตายจากไปมากมาย แต่ก็ไม่ได้เป็นวันแม่ที่มีไว้เพื่อแม่จริง ๆ
โดยวันแม่ที่มีไว้เพื่อแม่จริง ๆ เกิดขึ้นมาในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยแอนนา จาร์วิส (Anna Maria Jarvis) ผู้ซึ่งเป็นลูกสาวของแอนน์ จาร์วิสผู้แม่ และเป็นผู้ที่ริเริ่มก่อตั้งวันแม่อย่างเป็นทางการด้วย
โดยความคิดริเริ่มก่อตั้งวันแม่นั้นเกิดขึ้นหลังจากการเสียชีวิตของจาร์วิสผู้แม่ในปี 1905 ซึ่งก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญจากช่วงสงครามกลางเมืองที่ทำหน้าที่อย่างแข็งขันเพื่อสันติภาพอย่างแท้จริง จาร์วิสผู้ลูกได้ระลึกถึงคำพูดที่แม่เคยพูดเอาไว้ว่าอยากให้ในอนาคตมีคนจัดตั้งวันแม่ขึ้นมา เธอจึงปรารถนาที่จะสร้างวันเพื่อระลึกถึงคุณความดีของแม่ โดยไม่ใช่แค่แม่ของเธอเท่านั้น หากแต่หมายรวมถึงแม่ทุก ๆ คนด้วย
วันแม่ของจาร์วิสผู้ลูกจึงเป็นวันแม่ในเชิงของการเทิดทูนและระลึกถึงพระคุณมากกว่าการเป็นวันแม่แบบเพื่อสาธารณชนอย่างวันแม่ของจาร์วิสผู้แม่ที่เป็นวันที่เหล่าแม่ ๆ มาชุมนุมเพื่อสร้างประโยชน์ต่อสังคม โดยปฏิบัติการจัดตั้งวันแม่ของจาร์วิสผู้ลูกก็เกิดขึ้นในปี 1906 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 1 ปีการจากไปของจาร์วิสผู้แม่ โดยเธอกับเพื่อนได้วางแผนที่จะจัดงานรำลึกขึ้นมา
ในปีถัดมา ก็ได้ส่งดอกคาร์เนชั่นกว่า 500 ดอกซึ่งเป็นดอกไม้โปรดของจาร์วิสผู้แม่ ไปยังโบสถ์ในเวสต์เวอร์จีเนียที่แม่ของเธอเคยสอนหนังสืออยู่ที่นั่น ในขณะเดียวกันเธอก็ฉลองวันแม่ของเธอที่บ้านหลังปัจจุบันในฟิลาเดลเฟียด้วย ซึ่งทำให้โบสถ์ในเวสต์เวอร์จีเนียนั้นกลายมาเป็นสถานที่จัดงานวันแม่ของจาร์วิสผู้ลูกในทุก ๆ ปี
จาร์วิสผู้ลูกปรารถนาให้งานวันแม่เป็นมากกว่าแค่งานประจำรัฐ เธอลาออกจากงานประจำมาก่อตั้งองค์กรวันแม่ และได้ทำการส่งจดหมาย ต่อสายโทรเลขไปยังผู้มีอำนาจและหน่วยงานต่าง ๆ มากมายเพื่อเรียกร้องให้มีการจัดตั้งวันแม่อย่างเป็นทางการ รวมไปถึงการตีพิมพ์ใบปลิวเพื่อโฆษณาการจัดตั้งวันแม่ไปทั่วด้วย ซึ่งก็ได้มีการจัดงานอย่างเป็นทางการในฟิลาเดลเฟียขึ้นมาก่อนที่จะไปไกลถึงกรุงวอชิงตัน ดีซี วันแม่ได้ถูกเผยแพร่ไปทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา
จนมีการตั้งเป็นวันหยุดในปี 1910 ที่รัฐเวสต์เวอร์จิเนียก่อนที่รัฐอื่น ๆ จะทำตาม จนนำมาสู่การเสนอวันแม่เข้าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในปี 1913 และผ่านสภาคองเกรสในปี 1914 โดยมีประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสันเป็นผู้เซ็นรับรองและประกาศให้ทุกวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคมเป็นวันแม่แห่งชาติในที่สุด
แต่กว่าจะมาเป็นวันแม่ได้นั้น จาร์วิสผู้ลูกเองก็ได้เสียสละอะไรหลาย ๆ อย่างเพื่อทำให้เกิดวันแม่ขึ้นมา โดยจาร์วิสผู้ลูกใช้จ่ายเงินเป็นจำนวนมหาศาลเพื่อจัดงานวันแม่ และทำให้เธอต้องจากโลกนี้ไปอย่างสิ้นเนื้อประดาตัว แลกมากับวันแม่ที่เกิดขึ้นจริงดังที่ตั้งปณิธานเอาไว้
📌 “วันแม่แห่งชาติสหรัฐฯ” สู่ “วันแม่สากล”
การจัดตั้งวันแม่อย่างเป็นทางการวันแรกของโลกที่สหรัฐอเมริกา ได้ก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมลูกใหญ่ในสังคม โดยในช่วงเวลาถัดมา วัฒนธรรมอเมริกันก็กลายมาเป็นวัฒนธรรมประชานิยมหรือ Pop Culture ทำให้วัฒนธรรมวันแม่ของสหรัฐกลายมาเป็นความตระหนักถึงมารดาผู้ให้กำเนิด ดังจะเห็นได้จากการที่หลาย ๆ ประเทศก็ได้มีการก่อตั้งวันแม่ขึ้นมา
ในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกก็ยึดเอาวันแม่ตรงกันวันเดียวกันในสหรัฐอเมริกา ทำให้วันอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคมเป็นวันแม่ที่แพร่หลายและปรากฏในหลายประเทศ ทำให้วันแม่แห่งชาติของสหรัฐฯ กลายมาเป็นวันแม่สากลไปโดยปริยาย
📌 “วันแม่” ในมุมโลกอื่น
นอกเหนือจากวันแม่ที่ตั้งตามสหรัฐอเมริกาแล้ว ยังมีอีกหลายประเทศที่เลือกตั้งวันอื่นเป็นวันแม่ แต่ก็มีพื้นฐานของความตระหนักรู้ในเรื่องของพระคุณแม่มาจากอเมริกาทั้งสิ้น เช่นการตั้งวันแม่ตรงกับวันสตรีสากลในกลุ่มประเทศบอลข่าน, การตั้งวันแม่ตรงกับวันวสันตวิษุวัตในกลุ่มประเทศอาหรับ, การตั้งวันแม่โดยใช้วันของบุคคลสำคัญเช่นในประเทศอิหร่าน อิสราเอลและไทย เป็นต้น
📌 บทสรุปประวัติศาสตร์ของ “วันแม่”
จากประวัติศาสตร์ของวันแม่เราจะสามารถสรุปออกมาได้ว่าอย่างไร? วันแม่ในแรกเริ่มเดิมทีนั้นก็เป็นวันในทางศาสนาเป็นหลักที่มองถึงแม่ผู้ให้กำเนิดสรรพสิ่งอย่างแม่ผู้ให้กำเนิดเทพเจ้าซึ่งเป็นตัวแทนของธรรมชาติทั้งหลาย วันแม่จึงถูกใช้ในการเคารพแก่ผู้ให้กำเนิดธรรมชาติตามความเชื่อในศาสนา
จนกระทั่งการเข้ามาของคริสต์ศาสนาที่ใช้วันแม่เป็นวันที่เคารพถึงมารดาผู้ให้กำเนิดพระเยซูเจ้า และเป็นวันที่เคารพมารดาผู้ให้กำเนิดในฐานะมนุษย์ และโบสถ์ผู้ให้กำเนิดในฐานะศาสนิกชน ชุดความเชื่อวันแม่ของศาสนาคริสต์ที่ผูกติดความเป็นแม่เข้ากับศาสนาก็ยังคงอยู่เรื่อยมาจนถึงยุคสมัยใหม่ ที่ได้ก่อให้เกิดวันแม่อีกรูปแบบหนึ่งในฐานะของชุมชนแม่ ๆ ที่ออกมาทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อสังคมรวมไปถึงการสร้างชุมชนสันติภาพในสังคมด้วย
จนกระทั่งมีการจัดตั้งวันแม่อย่างเป็นทางการเพื่อระลึกถึงแม่ ๆ เหล่านั้นที่สร้างคุณประโยชน์ให้แก่สังคมรวมไปถึงให้กำเนิดชีวิตและต่อสู้เพื่อให้บุตรมีชีวิตที่ดี ซึ่งวันแม่นี้พูดถึงเหล่าแม่ ๆ ที่เป็นแม่ของทุกคน และแยกตัวออกจากวันแม่ในศาสนา
โดยวันแม่รูปแบบนี้เองก็ได้เกิดขึ้นมาสมดังที่ครั้งหนึ่งแม่คนแรกของวันแม่อย่าง แอนน์ จาร์วิสผู้แม่ได้เคยกล่าวเอาไว้กับบุตรสาวของตนความว่า :
ฉันปรารถนาและภาวนาว่าสักวันหนึ่งในอนาคต
ใครบางคนจะจัดตั้งวันแม่ขึ้นมาเพื่อเป็นอนุสรณ์ของการกระทำที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ของพวกเธอที่มีต่อมนุษยชาติในทุก ๆ ย่างก้าวของชีวิต
พวกเธอเป็นผู้ที่สมควรได้รับการยกย่องเหล่านั้น
Ann Maria Jarvis
1
ผู้เขียน: ณัฐรุจา งาตา Content Creator, Bnomics
Bnomics - Bangkok Bank Economics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
References :

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา