18 ส.ค. 2023 เวลา 06:32 • ปรัชญา
เรื่องของจิตที่มาคนเดียว ไปคนเดียว มันต้องต่อด้วยว่า เรามาเพียงเป็นผู้อาศัย เรือนกายของคุณบิดามารดา ที่ท่านสงเคราะห์กายให้เราอาศัย แล้วก็ต้องมองว่า กายนี้มีพระคุณ ต้องรู้จักคุณของบิดามารดา ต้องงรู้จักคุณของผู้ที่อุปการะอุปถัมภ์เรือนกาย ต้องมองพิจารณาใคร่ครวญในเรื่องราวของกาย แม้แต่เรื่องอาหารการกิน เรื่องเอาธาตุนอกมาเสริมธาตุในกาย พยุงธาตุในกายให้อยู่ได้ มองทำความรู้จัก อารมณ์นึกคิด อะไรต่างๆ เป็นของอาศัย
เมื่อเกิดมาอารมณ์โลภโกรธหลง เค้าก็กั้นเป็นคอกล้อมรอบจิต ล้อมรอบตัวเรา เราก็ต้องหาวิธีปีนออกออกจากคอก ที่ห้อมล้อมจิต นั่นก็คือ การประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สละสิ่งที่เราไปหามาแล้วยึดถือ ปัจจัยสี่ออกไป ให้เป็นทานเป็นบุญ
คราวนี้ ถ้าหากเราเป็นคนที่ชอบนั่งสมาธิ นั่งในบ้าน ..เราก็ลองเปลี่ยนไปนั่งนอกบ้าน ที่แจ้ง ..มันจะมีความรู้สึกที่แตกต่างกันมั้ย เพราะว่านั่งที่ในบ้าน มันมีเรื่องราวของยึดอยู่ ยึดสิ่งของบ้านช่อง เราก็ลองเปลี่ยนไปนั่งในที่แจ้งบ้าง ที่ไม่มีอะไร …แล้วในบางสถานที่ เช่นศาลาสวดศพ ..ก็คงไม่มีใครไปนั่งปฏิบัติธรรมในสถานที่นั่น ยิ่งเป็นเด็กๆ ก็คงไม่อยากเข้าไปเลย
นั่นก็คือเมื่อเราจะปฏิบัติธรรม ก็ต้องเลือกสถานที่ ห้องเหมาะสมเหมือนกัน เพื่อที่เราจะได้ ปฏิบัติธรรมงให้จิตเรา สงบเงียบ ไม่มีอะไรรบกวน ไม่มีเรื่องห่วงบ้าน ห่วงจะต้องทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ เราก็ลองเปลี่ยนสถานที่ ไปหาที่ที่สงบ ปฏิบัติธรรม ..ไปคนเดียว จิตดวงเดียว ไม่ต้องห่วงอะไร ทดลองฝึก ในเรื่องที่ไปคนเดียวจิตดวงเดียว มาเป็นผู้ที่อาศัยกายนี้อยู่ ไปนอนกับพื้นที่ ไม่มีที่นอนนิ่มๆ
ต้องทดลองทำดู ว่าจิตเรามาแค่อาศัยกาย มาดวงเดียว ไปดวงเดียว ทดลองอยู่แบบ อดๆอาหารการกินบ้าง ทดลองว่า เราเป็นเป็นผู้อาศัยเรือนนี้อยู่ สิ่งต่างๆ ก็ของอาสัย ไม่ใช่ของเราเลย บ้านก็ของอาศัย ที่หลับที่นอนก็ของอาศัย ปลีกตนไปนั่งในที่แจ้ง นั่งคนเดียว มีกายพ่อแม่เป็นเพื่อน นั่งนอนคนเดียวในที่แจ้ง นั่นโคนไม้ นั่งกายนิ่งทำจิตเฉย ไม่มีอะไรห่วง ไม่มีอะไรให้ยึด ..นั่งนิ่งๆ นั่งคนเดียว ไม่มีอะไรให้จิตยึดเลย ต้องทดลองดู จิตมาดวงเดียว ไปแต่จิตดวงเดียว
โฆษณา