25 ก.ย. 2023 เวลา 03:00 • ไลฟ์สไตล์

รู้จัก 7 อุปสรรครบกวนในการทำงาน พร้อมวิธีการรับมือ

‘ในออฟฟิศที่คุณทำงานอยู่ มีอะไรบ้างที่เป็นอุปสรรครบกวนสมาธิในการทำงานของเรา’
เรามั่นใจว่า คุณจะสามารถตอบอุปสรรคที่รบกวนสมาธิระหว่างทำงานได้มากกว่า 2 อย่างขึ้นไป เพราะชีวิตการทำงานที่ก้าวขาเข้ามาในออฟฟิศ จะเต็มไปด้วยสิ่งรบกวนที่ทำลายสมาธิ ทั้งรูปแบบจับต้องไม่ได้ ไปจนถึงสิ่งที่จับต้องได้ที่มักจะทำให้คุณหันเหความสนใจหรือหลุดโฟกัสการทำงานอยู่เสมอ
ซึ่งผลกระทบของสิ่งรบกวนในที่ทำงานนั้นสามารถลดประสิทธิภาพในการทำงานของเราได้ จากแบบสำรวจในปี 2561 ของ Udemy For Business ได้สำรวจผลกระทบจากการถูกรบกวนสมาธิของพนักงานพบว่า 54 เปอร์เซ็นต์ พนักงานทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร 50 เปอร์เซ็นต์ ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง และ 20 เปอร์เซ็นต์ ไม่สามารถเข้าถึงศักยภาพและความก้าวหน้าในอาชีพ
แล้วที่สำคัญอุปสรรคที่รบกวนสมาธิของเรานั้น มักจะเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเสมอ ในบทความนี้จะนำเสนอ ‘7 อุปสรรคที่รบกวนในการทำงานของคุณ พร้อมวิธีการรับมือ’ เพื่อให้คุณมีสมาธิในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์ยิ่งขึ้น จะมีอะไรบ้างนั้น มาทบทวนไปพร้อมๆ กัน
1.) เพื่อนร่วมงาน
การที่ได้พูดคุยหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนร่วมงานนั้น เป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว เพราะนอกจากจะทำให้เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน ยังเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างวัฒนธรรมที่ดีในองค์กร แต่บางครั้ง ความใจกว้างที่พร้อมให้คำปรึกษาพูดคุยหรือเป็น People Pleaser ที่พยายามทำให้คนรอบตัวมีความสุขมากเกินไป ทำให้หลุดโฟกัสการทำงานได้เหมือนกัน
วิธีการรับมือกับปัญหานี้ คือ การเรียนรู้ที่จะปฏิเสธการสนทนาอย่างสุภาพ โดยคุณจะต้องกล่าวอธิบายเหตุผลสั้นๆ และข้อเสนอในการพูดคุยในช่วงเวลาอื่นแทน ควบคู่ไปกับการตระหนักรู้ในตัวเองว่า ‘คุณควรจะโฟกัสกับงาน’ หรืออีกวิธีหนึ่งที่ทำได้คือ การใส่หูฟัง หากคุณต้องการสมาธิในการทำงานและเป็นการบอกอ้อมๆ ว่า เราไม่พร้อมสนทนากันตอนนี้
2.) เสียงในบริษัท
งานวิจัยของ Ipsos และ Workspace Futures Team ของ Steelcase พบว่า พนักงาน 85 เปอร์เซ็นต์ ไม่พอใจและไม่มีสมาธิกับสภาพแวดล้อมในที่ทำงาน เนื่องจากในบริษัทนั้น มีบรรยากาศที่เสียงดังจากการพูดคุย ตะโกน เพลง และเสียงแจ้งเตือนจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ก็ทำให้ศักยภาพในการทำงานของเราลดลงได้เช่นกัน
วิธีการรับมือกับปัญหานี้ คือ คุณต้องหาที่เงียบๆ ภายในบริษัทที่สะดวก พอเหมาะ มีคนน้อย หรือเสียงคลอเบา เช่น โต๊ะใกล้ๆ น้ำพุของบริษัท, สวนในบริษัท, ร้านกาแฟภายในตึกบริษัท เป็นต้น หรือจะหารือกับพนักงานในออฟฟิศหรือหัวหน้าอาวุโสในการจัดการเสียงรบกวนก็ได้
ส่วนในกรณีของ Work For Home หากบริเวณบ้านมีเสียงรบกวน คุณสามารถใส่หูฟังหรือออกไปข้างนอกอย่างสวนสาธารณะหรือคาเฟ่ จะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เผื่อการฟังเพลงบรรเลง อยู่ในพื้นที่สีเขียวหรือเพลงคลอๆ เบาในคาเฟ่ จะทำให้เรามีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์ผลงานได้
3.) อีเมล
อีเมลเปรียบเสมือนข้อความทางการของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการเจรจา ประสานงาน รวมถึงประชาสัมพันธ์ ซึ่งความเป็นทางการของอีเมลสามารถรบกวนสมาธิในการทำงานได้ เนื่องจากการแจ้งเตือนแต่ละครั้ง ก็จะกระตุ้นต่อมความคิดว่า คุณจะเปิดอ่านมันหรือค่อยอ่านทีหลัง แน่นอนว่า ส่วนใหญ่ พอแจ้งเตือนอีเมลเด้งขึ้นทีไร ก็เผลอเปิดอ่านมันทุกที
วิธีการรับมือกับปัญหานี้ คือ คุณต้องจัดสรรเวลาในการเช็คอีเมลของคุณ อาจจะเช็ค 2 ครั้งหรือสามครั้งต่อวันก็ได้ แล้วปฏิบัตอย่างเคร่งครัด หรือเปิดโหมดออฟไลน์ในการทำงาน เพื่อไม่ให้การแจ้งเตือนอีเมลนั้นมาหันเหโฟกัสงานของคุณ
4.) การใช้สมาร์ทโฟน
อุปกรณ์สื่อสารล้ำยุคอย่าง สมาร์ทโฟน ที่มีสรรพคุณมอบความบันเทิงที่หลากหลาย ก็เป็นสิ่งรบกวนการทำงานที่พร้อมจะลดประสิทธิภาพการทำงานของคุณ โดยมีการสำรวจยืนยันจาก CareerBuilder เว็บไซต์หางานของสหรัฐอเมริกา ที่พบว่า 55 เปอร์เซ็นต์ สมาร์ทโฟนเป็นอุปกรณ์อันดับหนึ่งในการรบกวนสมาธิในการทำงาน
และงานวิจัย Deloitte สำรวจว่า ผู้คนเช็คสมาร์ทโฟน 47 ครั้งต่อวัน และถ้าคำนวณกับเวลาการทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวันนั้น เท่ากับว่า เราจะเช็คสมาร์ทโฟน 6 ครั้งต่อชั่วโมง ซึ่งนี้ก็เพียงพอที่จะเห็นภาพว่า สมาร์ทโฟน สามารถพาคุณหลุดโฟกัสการทำงานตรงหน้า แล้วเผลอพักชั่วคร่าวกับแสงสีฟ้าที่เราสัมผัสจอแสดงผลของสมาร์โฟนแทน
วิธีการรับมือกับปัญหานี้ คือ ต้องอย่าลืมตระหนักรู้ในตัวเองว่า เรามีงานหรือโปรเจคที่ต้องจัดการ หากเราไม่อยากถูกรบกวนจากสมาร์ทโฟน เราก็แค่วางสมาร์ทโฟนหรือเอามันออกห่างจากตัวเรา พร้อมกับปิดการแจ้งเตือน แต่หากมีข้อความสำคัญ ก็อาจจะต้องปล่อยให้ข้อความแสดงในหน้าจอล็อคหรือให้เขาโทรหาเราก็ได้
5.) โซเซียลมีเดีย
แพลตฟอร์มฃออนไลน์ต่างๆ ไม่ว่าจะ Facebook, Instagram, X (twitter), Tiktok, Discord, Line และอีกมากมายที่สามารถดึงความสนใจได้เทียบเท่ากับสมาร์ทโฟน เพราะข้อมูลที่อัพเดทตลอดเวลา ตั้งแต่ข่าว ดราม่า เทรนด์ ก็ทำให้เราเกิดอาการ FOMO (Fear Of Missing Out) หรือภาวะกลัวตกข่าว
และยอดไลท์ แสดงความคิดเห็น และยอดแชร์ ที่จะทำให้เราลุ่มหลงไปกับตัวเลขและข้อความ จนกลายเป็นความโลภ ความวิตกกังวล รวมถึงความทุกข์ที่เรามักจะโหยหามันตลอดเวลา จนเสียประสิทธภาพการทำงานของเราอีกด้วย
วิธีการรับมือกับปัญหานี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการใช้อีเมลหรือสมาร์ทโฟน ที่เราจะต้องกำหนดกรอบเวลา ปิดการแจ้งเตือน หรือการตระหนักรู้ในตัวเองว่า เราควรจะโฟกัสกับอะไร
6.) การประชุม
ทุกวัน ทุกสัปดาห์ และทุกเดือน จะมีการประชุมในหัวข้อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความคืบหน้า การสรุปงาน หรือการประเมิน ที่ใช้เวลาในการประชุมเป็นชั่วโมง ซึ่งทั้งก่อนและหลังประชุม พนักงานก็ต้องมีความกังวลหรือเครียดกันอยู่แล้ว แต่ถ้าการประชุมที่เหมือนจะมีหัวข้อไม่สามารถสรุปได้ชัดเจน ก็ยิ่งไม่ส่งผลดีแก่ตัวพนักงานและออฟฟิศ
วิธีการรับมือกับปัญหานี้ คือ ในการประชุมหัวหน้าต้องวางกรอบการประชุม ต้องขมวดเนื้อหาให้มีความชัดเจน อย่างการดำเนินงาน การรับผิดชอบ วัตถุประสงค์ แบ่งหน้าที่ให้ชัดเจนหรือกระชับเข้าใจง่าย เพื่อให้การประชุมมีประสิทธิภาพและคุ้มค่ากับเวลา พร้อมกับไม่เกิดความสับสนแก่พนักงานด้วย
7.) ทำงานหลายอย่างพร้อมกัน
การเป็นมนุษย์ Multitasking ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ดีสำหรับตัวคุณเสมอไป แม้จะได้รับคำชมจากเพื่อนร่วมงานและหัวหน้า แต่ต้องแลกกับประสิทธิภาพการทำงาน ความคิดสร้างสรรค์ พลังงาน บวกกับสมาธิของคุณจะช้าลง ทำให้งานที่คุณทำมีโอกาสล้มรวมถึงการประมวลผลของสมองแย่ลง ซึ่งมันดูไม่คุ้มค่ากับตัวคุณเลย
วิธีการรับมือกับปัญหานี้ คือ คุณต้องจัดสรรเวลา เรียงลำดับงานที่สำคัญ 1-2 งาน และตั้งใจเคลียร์งานนั้นให้เสร็จ ซึ่งอาจจะต้องปฏิบัติควบคู่กับเทคนิคการจัดสรรเวลาอื่นๆ เช่น กฎ 60-60-30 ที่กำหนดให้ 50 นาทีทำงานและพัก 10 นาที แล้วทำแบบเดิมอีก 1 ครั้ง จากนั้นก็ใช้เวลาพักผ่อน 30 นาที หรือเทคนิค Pomodoro ที่กำหนดให้ทำงาน 25 นาที แล้วพักผ่อน 5 นาที จนครบชั่วโมง
สิ่งรบกวนในที่ทำงานนั้น เป็นปัญหาที่แก้ไขยาก เนื่องจากปัจจัยหลายอย่างของตัวบริษัท ซึ่งสุดท้ายก็ขึ้นอยู่ที่การปรับตัวของแต่ละบุคคล แม้เราจะไม่รู้เลยว่า เมื่อไหร่เราจะปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมแบบนี้ได้ แต่หากเราค่อยๆ เรียนรู้วิธีการจัดการแต่ละอย่าง มันก็ช่วยเพิ่มทักษะในการพัฒนาตัวเองในการจัดการและรับผิดชอบตัวเองได้ดี
“ฉะนั้น สูดหายใจเข้าลึกๆ และย้อนกลับมามองตัวเองว่า วันนี้เราควรทำอะไร ก็เพียงพอแล้ว”
Writer by Purin Ausawateerageat
Sources :
โฆษณา