4 ต.ค. 2023 เวลา 04:35 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

นักรบมนตรา: ตำนานแปดดวงจันทร์ (2023) – ปฐมบทสงครามลงกา

หากเราเคยคิดว่า อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยจะพัฒนาไปถึงขีดสุดได้ไหม ศักยภาพของอุตสาหกรรมกองถ่ายอย่างใน The Creator อาจเป็นคำตอบในรูปแบบหนึ่ง แต่หากพูดถึงขุมพลังทางแอนิเมชัน ก็อาจเป็นกรณีตัวอย่างที่หาได้ไม่บ่อยนัก เฉกเช่นปีก่อน ๆ แบบ 9 ศาสตรา ที่เคยสร้างปรากฎการณ์ไว้อย่างน่าสนใจ แต่ไม่ได้ผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจนัก จนกระทั่ง Riff Studio สตูดิโอผู้อยู่เบื้องหลังแอนิเมชันเรื่องนั้น กลับมาพร้อมโครงการใหม่สุดยิ่งใหญ่อย่าง นักรบมนตรา: ตำนานแปดดวงจันทร์
นักรบมนตรา: ตำนานแปดดวงจันทร์ เล่าเรื่อง ในห้วงมิติของอีกจักรวาลหนึ่ง ที่มหาสงครามระหว่างกองทัพแห่งองค์ราม และ จักรพรรดิทศกัณฐ์ กำลังโรมรัน และชั่วขณะนึง พระแม่สีดาถูกทศกัณฐ์ลักพาตัว ภายใต้คำในตำนาน ที่ว่ากันว่า พลังเทพที่หลับใหลจะตื่นขึ้นในทุก ๆ 500 ปี และอาจเป็นนาง ที่ผู้กุมความลับพลังอันยิ่งใหญ่นี้ หน้าที่ในการตามตัวจึงตกมาที่เหล่านักรบรุ่นใหม่ อย่าง วายุ, เวฬา และ บุษบา ที่ต้องนำพระแม่สีดา ก่อนที่พลังแห่ง “นักรบมนตรา” จะอุบัติขึ้น
จะว่าไม่คาดหวังก็ไม่ได้ เพราะการได้ยลผลงานแอนิเมชันสัญชาติไทย ก็ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย แอนิเมชั่นเปิดมาอย่างรวดเร็ว ด้วยการเซ็ตติ้งเนื้อหา ที่ว่าด้วยอีก “จักรวาล” หนึ่ง ที่ดัดแปลงมาจากรากฐานของวรรณกรรมอย่างรามเกียรติ์ ให้กลายมหากาพย์สงครามระหว่างดวงดาว พร้อมกับเหล่าตัวละครที่ยังคงอิงจากตัววรรณกรรมต้นฉบับ ตัวหนังเปิดมาด้วยฉากไล่ล่าบนดาวเคราะห์ทราย ที่ทำให้เรารู้จักตัวละครหลักทั้งสามที่ต่างมีภารกิจ พร้อมกับคำมั่นสัญญาที่ว่าด้วย หน้าที่ที่เหนือชีวิต
ข้อแรกที่สังเกต เรารู้สึกถึงความพยายามและความทะเยอทะยานอย่างมาก ในการดัดแปลงเนื้อหามหากาพย์อันยาวนานของรามเกียรติ์ ซึ่งมีที่มาจากรามายณะของอินเดีย ให้กลายเป็นเรื่องราวแฟนตาซีไซไฟ ที่มีองค์ประกอบที่คงกลิ่นอายจากรามเกียรติ์ต้นฉบับ แต่แต่งองค์ทรงเครื่องให้มีความร่วมสมัยมากขึ้น ทั้งการออกแบบจัดวางอุปนิสัยของตัวละคร การจำแลงแปลงกายให้กลายเป็นหุ่นยนต์ยักษ์ และแทรกความเป็นไทยยุคใหม่เข้าไป
ตัวหนัง ซึ่งมีกลิ่นอายสงครามไซไฟอนาคต และการออกแบบจัดวางทัศนียภาพของดาววานารา ที่ชวนให้นึกถึงสังคมไทยแบบไซเบอร์พังค์ แต่ก็ยังให้ตัวละครเคี้ยวไก่ย่างขณะกำลังสอดแนม หรือสั่งกะเพราะไก่มากิน ในร้านไนท์คลับไฮเทค ซึ่งก็ถือเป็นแนวทางการนำเสนอที่หาญกล้า และส่วนตัวก็ชื่นชม ที่ตัวหนังยังใส่เอกลักษณ์ในการเป็นหนังไทยลงไป ผ่านงานภาพคุณภาพสูง ที่เพียงพอจะยืนทัดเทียมกับมาตรฐานแอนิเมชันระดับโลกได้
และเนื้อหาส่วนใหญ่ ก็ดำเนินไปสู่ช่วงองก์สองที่เป็นฉากต่อสู้ปะทะกันระหว่างสงครามสองฝ่ายที่ค่อนข้างยิ่งใหญ่และน่าตื่นเต้น และการกำกับที่พอจะทำให้เรารู้สึกถึงความใหญ่โตของเรื่องราว ที่ไม่ต่างจากมหากาฬได้ดี ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยฉากแอ็คชั่นที่ประดังกันเข้ามา ก็ทำให้เราชื่นชมในการออกแบบการต่อสู้ที่รวดเร็วจนตาแทบมองไม่ทันเลยทีเดียว
กระนั้นเอง แม้มันจะมาพร้อมจุดอันทะเยอทะยานที่น่าชื่นชม ตัวหนังแอนิเมชันก็ยังคงติดหล่มในแง่ของการดำเนินเรื่อง ทั้งองก์แรกที่เล่าค่อนข้างรวดเร็วฉับไวไปเสียหน่อย เหมือนมีหลายอย่างที่แอนิเมชันพยายามจะเล่า จากการที่จะต้องดัดแปลงเนื้อหาวรรณกรรมต้นฉบับอันใหญ่โต ให้อยู่ในแอนิเมชันความยาว 90 นาที จึงต้องมาพร้อมการตัดทอนและเลือกเนื้อหาที่จะเล่าออกไป แต่มันก็ไม่ได้พร้อมชั้นเชิงที่มากพอ จะทำให้เราเข้าใจซึ่งสเกลความใหญ่โตของเรื่องราวฉบับนี้ในช่วงแรกของหนัง
หรือกระทั่ง การพูดถึงบทบาทความสัมพันธ์ของสามตัวละครหลักอย่าง วายุ, เวฬา และ บุษบา ที่ยังน้อยไป ทั้งที่ทั้งสามมีความสัมพันธ์ที่น่าสนใจมาก แต่ก็ดูสลับซับซ้อนและขัดแย้งผ่านหน้าที่พวกเขาได้รับ แต่การลำดับเส้นเรื่อง ก็ดูจะผลักให้เราออกห่างจากความรู้สึกชิดเชื้อหรือเอาใจช่วยได้มากพอ จากจุดพลิกผันอันใหญ่โตในช่วงองก์สอง ซึ่งถึงแม้ ตัวหนังจะกลับมาทำหน้าที่ดังกล่าวในช่วงท้ายองก์สอง แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลทางอารมณ์มากเท่าที่ควร
นอกเหนือจากนั้น โดยส่วนตัวการพยายามขีดเขียนบางตัวละคร ให้กลายเป็น comical relief เสมือนเป็นจุดเบรกจากความตึงเครียดของเนื้อหา ซึ่งในที่แรก ก็ดูเป็นความสร้างสรรค์ที่ดี แต่ขณะที่หนังดำเนินไป ตัวหนังก็ดูจะดุลน้ำหนักฝั่งนี้จนหนักข้อและล้นเกิน จนเกือบถึงขีดความน่ารำคาญ ยังไม่นับความพยายามจะเสนอให้ตัวละครนี้ มีอัตลักษณ์ทางเพศที่โดดเด่นจากตัวละครอื่นโดยรอบ ทั้งด้วยอุปนิสัยภายนอกและเครื่องแต่งกาย ก็ก่อให้เกิดความรู้สึกผสมปนเป มากกว่าที่จะหัวเราะไปกับช่วงเวลานั้น
แถมด้วยการออกแบบตัวละครหญิงในเรื่อง ก็ดูจะออกแบบให้อยู่ในขนบของอนิเมะญี่ปุ่นที่นิยมในยุคก่อน ที่มักจะเน้นส่วนเว้าส่วนโค้งของตัวละครหญิงจนเกินงาม เหมือนพยายามจะดึงดูดสายตาคนดู ผ่านสรีระของตัวละคร มากกว่ามิติเชิงซ้อนของตัวละครจริง ๆ ซึ่งก็เป็นอะไรที่น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน
แม้ภาพรวมอาจจะยังไม่ใช่อะไรที่สมบูรณ์แบบมากนัก แต่ก็ถือเป็นก้าวต่อไปของแอนิเมชันที่น่าสนใจและน่าชื่นชม
สรุปแล้ว นักรบมนตรา: ตำนานแปดดวงจันทร์ เป็นแอนิเมชันสายพันธ์ไทย ที่นำเอาวรรณกรรมรามเกียรติ์มาดัดแปลงให้กลายเป็นแอนิเมชันแฟนตาซีไซไฟ ที่มาพร้อมการออกแบบดัดแปลงเนื้อหาจากต้นฉบับให้ร่วมสมัยและน่าตื่นตามากขึ้น ด้วยงานภาพที่โฉบเฉียวฉับไวและมีมาตรฐานทัดเทียมระดับโลกได้สบาย แม้ลำดับการดำเนินเรื่องในช่วงแรกจะรวบรัดจนแห้งแล้งในบางมิติ อีกทั้งยังไม่มีชั้นเชิงมากพอในการเกริ่นถึงเซ็ตติ้งของโลกในฉบับแอนิเมชันนี้ แต่ด้วยศักยภาพของมัน ก็ทำให้เราเชื่อมั่นในก้าวต่อไปของแอนิเมชันไทยมาก ๆ
3 / 5
Mantra Warrior: The Legend of the Eight Moons (2023)
Directed by Veerapatra Jinanavin
Written for the screen by Sornperes Subsermsri

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา