2 มิ.ย. 2023 เวลา 03:35 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Spider-Man: Across the Spider-Verse (2023) – ขีดชะตา ผงาดข้ามจักรวาลแมงมุม

โลกอาจจะผ่านเรื่องราวสไปเดอร์แมนมาหลายครั้งในช่วงทศวรรษหลัง ทั้งฉบับคนแสดงถึง 3 ฉบับ ฉบับเกมอีกหลายภาค หรือกระทั่งการขยับขยายเอาเรื่องราวตัวร้ายในจักรวาลแมงมุมมาสร้างเป็นภาพยนตร์เองก็ตาม หากแต่ฉบับแอนิเมชัน ที่นำเอาเรื่องราวของไมล์ส มอราเลส มาผงาดบนโลกจอเงิน และคว้าออสก้าร์สาขาแอนิเมชันมาครองได้สำเร็จ ก็กำลังกลับมาทวงบัลลังก์อีกครั้ง ด้วยเรื่องราวความยุ่งเหยิงและบ้าคลั่งของมัลติเวิร์สอย่าง Spider-Man: Across the Spider-Verse
Spider-Man: Across the Spider-Verse เล่าเรื่องของไมล์ส มอราเลส จากโลก-1610 และทำหน้าที่เป็นสไปเดอร์แมนมาเกือบปี และต้องดุลหน้าที่ระหว่างการเป็นฮีโร่ผู้เป็นมิตรของเพื่อนบ้านในบรูคลิน กับชีวิตวัยรุ่นตามความคาดหวังของพ่อแม่ และต้องรับมือกับวายร้ายใหม่นาม เดอะ สป็อต
แต่ขณะเดียวกัน ไมล์ส ก็ได้รับการติดต่อจาก เกว็น สเตซี่ จากโลก-65 ที่กำลังทำภารกิจให้กับมิเกล โอฮาร่า ในสไปเดอร์โซไซตี้ เป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ ไมล์ส ค้นพบว่า เขากำลังอยู่ในระหว่างกลางในการยอมรับความรับผิดชอบในฐานะฮีโร่ และการขีดเขียนชะตากรรมในฐานะสไปเดอร์แมนในฉบับของเขาเอง
หากภาคแรกเป็นการเปิดประตูบานแรก มันก็คงเป็นใบเบิกทางไปสู่ความเป็นไปได้หลากหลายร้อยแบบ ทั้งในเชิงของเนื้อเรื่องและการนำเสนองานด้านภาพ ที่ภาคแรกนำเสนอกลิ่นอายความเป็นคอมมิคได้แตกต่าง ราวกับกำลังดูการ์ตูนที่กำลังเคลื่อนไหวได้
Across the Spider-Verse ก็ท้าทายความเป็นไปได้เหล่านั้น และขยับขยายขีดจำกัดของแอนิเมชันให้ออกไปอีก ทั้งการขยายภูมิหลังของเกว็น สเตซี่มากขึ้น สไตล์งานภาพที่หลากหลายและแตกต่างมากขึ้น รวมถึงเนื้อหาที่ตีความคอนเซปต์ความรับผิดชอบในฐานะสไปเดอร์แมนได้ลุ่มลึก อีกทั้งยังโยงใยหาเหล่าสไปเดอร์แมนในมิติต่าง ๆ ในรูปแบบที่คาดไม่ถึง
ขณะที่ภาคแรกทำได้เหนือความคาดหมาย การมาของภาคต่อจึงกลายเป็นท้าทายความคาดหวังของคนดู (รวมถึงตัวเอง) ไปโดยปริยาย และน่าสนใจที่เรื่องราวเนื้อหา ไม่เพียงแต่จะเปิดมาด้วยความน่าตื่นตาทางด้านภาพ ที่สวยสดงดงามราวกับงานศิลป์ที่ขยับได้บนจอเงิน หากแต่การออกแบบงานภาพนั้น ก็สามารถสื่อถึงอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างละเอียดลออยิ่งยวด และมันทำให้เราทราบถึงภูมิหลังและเรื่องราวอันแตกสลายของเกว็น สเตซี่ ได้มากขึ้น ราวกับเธอเป็นตัวละครหลักร่วมในภาคนี้เลยทีเดียว
แอนิเมชันไม่เพียงแต่จะยกระดับความทะเยอทะยาน ด้วยสไตล์งานภาพของมิติจักรวาลแมงมุมต่าง ๆ ไล่ไปตั้งแต่โลก-65 ของเกว็น สเตซี่, โลก-1610 ของไมล์ส, โลก-928 ของมิเกล หรือกระทั่งโลก-50101 ก็มาพร้อมสไตล์งานภาพที่แตกต่างกันในเชิงรายละเอียด และมันก็มาพร้อมเอกลักษณ์ที่สร้างสรรค์ ยิ่งไปกว่านั้น สไตล์แอนิเมชันก็ยังลงไปถึงการออกแบบตัวละครที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และมันก็เป็นทั้งสีสัน รวมถึงบ่งบอกตัวตนของสไปเดอร์แมนแต่ละตัวได้อย่างดี
น่าสนใจ ที่ถึงแม้หนังจะมาพร้อมเป้าหมายใหญ่ คือการผงาดข้ามจักรวาลแมงมุม แต่มันก็ยังคงฉายภาพการก้าวข้ามพ้นวัยรุ่นของไมล์ส มอราเลส ได้อย่างละเอียดอ่อน ที่ยังไม่อาจดุลหน้าที่ ทั้งในฐานะฮีโร่คนใหม่ในเมืองบรูคลิน หรือกระทั่งเป็นลูกอันเป็นที่รัก ที่พร้อมจะเปิดใจกับพ่อแม่ได้ และมันก็ห้าวหาญพอ ที่จะนำเสนอความเปราะบางของคอนเซปต์ความเสียสละอันเจ็บปวดของสไปเดอร์แมน สะท้อนผ่านภูมิหลังของเกว็น สเตซี่
ไม่เพียงแต่นั้น เรื่องราวเนื้อหามันยังท้าทายความคาดหวังของขนบธรรมเนียมการก้าวมาเป็นสไปเดอร์แมน ที่หากต้องเผชิญความสูญเสีย ที่เป็นเชื้อไฟหลักของ “ปมเรื่อง” (canon) และไม่อาจก้าวข้ามหรือละเลยได้โดยง่าย พลางเซอร์วิซแฟน ๆ เดนตายของจักรวาลสไปเดอร์แมนหลายครั้งหลายครา จนถึงขั้นที่แฟน ๆ อาจต้องกรีดร้องขณะดูไปด้วย
ในขณะที่เรื่องราวทั้งหลายภายในเรื่อง ถูกนำเสนออย่างทะเยอทะยานจนอาจจะล้นมือ อีกทั้งยังนำไปสู่บทสรุปปลายเปิดที่นำพาไปสู่บทต่อไปอย่าง Beyond ได้อย่างน่าติดตาม และโดยนัย ก็อาจเป็นข้อเสียชิ้นโต ที่ทำให้เรื่องราวในภาคนี้ไม่สมบูรณ์ หากแต่การเดินหน้าท้าชะตากรรมของไมล์ส มันก็ช่วยส่งผลและเปิดประตูบานใหม่ ให้กับเรื่องราวอื่น ได้เปิดทางไปต่อได้อย่างน่าสนใจ อีกทั้งยังเป็นจุดพลิกผันทางตัวละครที่ค่อนข้างสมบูรณ์อยู่เหมือนกัน
แก่นสาส์นภาคแรก อาจกล่าวถึงการที่ทุกคนสามารถเป็นคนสำคัญได้ สะท้อนผ่านการก้าวมาเป็นสไปเดอร์แมนของไมล์ส ที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นและการเห็นคุณค่าในตนเอง ผ่านก้าวแห่งพลังศรัทธา หากแต่ในครั้งนี้ มันยังคงเสริมใยเหล็กให้กับแนวคิดนั้น ไปพร้อม ๆ กับการท้าทายถึงแนวคิดของการเป็นฮีโร่ผู้เสียสละ ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงชะตากรรมของตนเอง
ไมล์ส ที่ก้าวเข้ามาสวมชุดยิงใย พร้อมความตื่นเต้นของพลังวัยรุ่น ก็อาจหาญพอที่จะลุกขึ้นต้านกระแสของข้อผูกมัด ที่เรียกว่าชะตากรรมนั้น ที่ไม่ใช่ว่า เพราะเป็นสไปเดอร์แมนจึงต้องเดินตามครรลองแบบที่สไปเดอร์แมนคนอื่นเป็น หากแต่เพราะ เขาเป็นสไปเดอร์แมน ต่างหาก เขาจึงอยากที่จะขีดเขียนเรื่องราวด้วยตัวเอง
สรุปแล้ว Spider-Man: Across the Spider-Verse คือแอนิเมชันภาคต่อ ที่ไม่เพียงแต่จะสานต่อมาตรฐานงานภาพอันมีเอกลักษณ์ แต่ก็ผงาดอย่างทะเยอทะยาน ด้วยการนำเสนองานภาพที่หลากหลาย สวยสดงดงาม ราวกับกำลังดูงานศิลป์ที่ซัดสาดบนจอเงิน ท้าทายขีดจำกัดของแอนิเมชันให้ไปไกลกว่าเดิม ขณะที่เนื้อหาเรื่องราวก็เติบโตมากขึ้น จากความรับผิดชอบในการเป็นฮีโร่ กลายเป็นการท้าโชคชะตาและการเขียนขีดลิขิตชีวิตตนเองได้อย่างน่าประทับใจ
แม้ตอนท้ายเรื่องจะนำไปสู่บทสรุปปลายเปิด ที่จะไปบรรจบในภาค Beyond the Spider-Verse ก็ตาม หากแต่มันยังคงรักษามาตรฐาน และทำได้สำเร็จ เฉกเช่นภาคนี้ เราอาจจะกำลังเป็นประจักษ์พยานของหนึ่งในไตรภาค ที่ไม่ใช่แค่เพียงไตรภาคภาพยนตร์สไปเดอร์แมน แต่อาจจะเป็นไตรภาคภาพยนตร์ดัดแปลงจากคอมมิคที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ ก็เป็นไปได้
4.5 / 5
Spider-Man: Across the Spider-Verse (2023)
Directed by Joaquim Dos Santos, Kemp Powers and Justin K. Thompson
Written by Phil Lord & Christopher Miller and David Callaham
Based on Marvel Comics

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา