Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Rimping Supermarket
•
ติดตาม
21 ต.ค. 2023 เวลา 12:00 • อาหาร
โทนิค เครื่องดื่ม Soft Drink กับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่สามารถย้อนไปได้หลายร้อยปี
หากถามเพื่อน 10 คนว่าเคยดื่มค็อกเทล “จินโทนิค” มั้ย อาจมีสัก 5 คนที่เคยดื่ม แต่ถ้าลองถามว่าเคยดื่มจินหรือโทนิคเปล่า ๆ หรือไม่ จาก 10 คน อาจมีเพียงคนเดียวที่เคยลอง เพราะลำพังจินก็เป็นสุรากลั่นประเภทหนึ่ง การดื่มโดยไม่ผสมอะไรเลยอาจมีรสที่รุนแรงเกินไป หรือ โทนิคก็จะมีรสออกไปทางซ่า ๆ และขม แต่เมื่อนำมาผสมรวมกันแล้ว กลับอร่อยสดชื่นอย่างไม่น่าเชื่อ
เราอาจคุ้นเคยกับจินมากกว่าเพราะมีบทบาทสำคัญกับโลกของบาร์เทนเดอร์ ค็อกเทลสูตรต่าง ๆ มากมาย ต้องใช้จินเป็นส่วนผสมหลัก แต่กับโทนิคหากไม่ใช่จินแล้ว คนส่วนใหญ่ก็คงไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับเจ้าโทนิคนี้ดี ทั้งที่จริง ๆ แล้ว ความอร่อยที่ต่อมรับรสเราสัมผัสได้จะมาจากโทนิคเสียมากกว่าด้วยซ้ำ ยิ่งโทนิคมีคุณภาพดีเท่าไร จินโทนิคก็ยิ่งอร่อยตามไปด้วย วันนี้เราจึงขอมาเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจของโทนิคกันบ้างดีกว่าค่ะ
โทนิคมีจุดเริ่มต้นจากสารตัวหนึ่งที่ชื่อว่า “ควินิน” เป็นสารสกัดที่มีรสขม ซึ่งได้มาจากการสกัดเปลือกไม้ของต้นไม้ที่ชื่อว่า Andean Fever Tree (Cinchona ในภาษาสเปน) ถูกค้นพบที่ประเทศในแถบอเมริกาใต้ เช่น เปรู โบลิเวีย เอกวาดอร์ คาดว่าคนท้องถิ่นในแถบนั้นใช้เป็นยารักษาโรคกันมานานแล้ว โดยนำเปลือกไม้ชนิดนี้มาบดผสมกับน้ำแล้วใช้ดื่มเพื่อเป็นยารักษาโรคมาลาเรีย จากนั้นในยุคล่าอาณานิคมนักแสวงบุญก็ได้นำเปลือกไม้ของ Andean Fever Tree กลับมายุโรปด้วย
เราอาจจะเข้าใจว่าไข้มาลาเรียมีเฉพาะภูมิภาคที่ร้อนชื้นอย่างประเทศอินเดีย แต่ในความเป็นจริงแล้วยุโรปก็เคยอยู่ในภาวะโรคระบาดจากมาลาเรีย และควินินจากต้น Andean Tree นี่แหละ ที่ช่วยชีวิตคนนับล้านไว้ จนกระทั่งในปี 1640 Andean Tree ก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นยารักษาโรคมาลาเรียอย่างเป็นทางการ
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสทรงใช้ควินินรักษาอาการไข้ของพระองค์จนหาย และได้ทรงแจกจ่ายให้กับเหล่าราษฎรในประเทศ รวมถึงประเทศอื่น ๆ ในยุโรปด้วย ในช่วงแรกผู้คนต่างก็สงสัยในสรรพคุณการรักษา เพราะมันฟังดูเหลือเชื่อเกินไปจนกระทั่งปลายศตวรรษที่ 17 ชาวอังกฤษก็หันมาใช้ควินินรักษาโรคเช่นกัน และได้ขนานนามกลุ่มประเทศในเทิอกเขา Andes ว่าเป็น “pharmacy of the world” จากความต้องการใช้ ควินิน ที่สูงมากจนเริ่มขาดแคลน
เวลาล่วงเลยมาในยุคที่ชาวยุโรปตั้งอาณานิคมในประเทศอินเดีย ด้วยความกลัวการระบาดของมาลาเรีย อีกทั้งควินินก็หายาก ชาวยุโรปก็พยายามปลูกต้น Andean Tree ในอินเดียจนสำเร็จ แต่ถึงจะปลูกได้ควินินก็เป็นยาที่บริโภคได้ยากอยู่ดี เพราะมีรสที่ขมมาก ๆ ผู้คนจึงเกิดไอเดีย โดยการนำผงควินินไปผสมกับโซดาและน้ำตาล ผลปรากฏว่าควินินสามารถทานได้ง่ายขึ้น นี่จึงทำให้เกิดเป็นน้ำโทนิคขึ้นมาเป็นครั้งแรกของโลกนั่นเองค่ะ
จากนั้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่าง ๆ ก็เริ่มถูกนำมาผสมกับโทนิคด้วย ไม่เพียงแค่จินเท่านั้น วิสกี้ ไวน์ หรืออะไรก็ตามแต่ที่ทำให้ควินินนั้นบริโภคได้ง่ายขึ้นก็ถูกนำมาผสมหมด แต่ดูเหมือนว่าชาวอังกฤษที่นั่นจะเอ็นจอย จินกับโทนิคเป็นพิเศษ และส่งต่อวัฒนธรรมนี้เรื่อยมา จนทำให้จินและโทนิคกลายเป็นเครื่องดื่มที่เติมเต็มรสชาติให้กันและกันได้อย่างกลมกล่อม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
เดิมที Tonic เป็นเพียงน้ำอัดลมที่มีควินินในปริมาณมาก แต่โทนิคในสมัยใหม่นั้น มีควินินน้อยลง จึงทำให้มีรสชาติขมลดลงตามไปด้วย ไม่เพียงเท่านั้นโทนิคยังถูกคิดค้นพัฒนาขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ ด้วยรสชาติที่น่าตื่นเต้นและแปลกใหม่ เช่น Elder Flower หรือผลไม้หลากหลายชนิด ปัจจุบันจึงไม่นิยมใช้เป็นยารักษาโรคอีกแล้ว เพราะถ้าหากต้องการใช้ในทางการแพทย์ การวิจัยในสหรัฐกล่าวว่าต้องดื่มโทนิคมากกว่า 6 ลิตรเลยค่ะ
ถึงแม้ว่าปัจจุบันนี้เราจะไม่ได้ใช้ควินินจากโทนิคในการรักษาโรคมาลาเรียอีกแล้ว โทนิคยังคงเป็นเครื่องดื่มที่ขาดไม่ได้สำหรับจิน เรียกว่าแทบไม่มีอะไรมาแทนกันได้เลย และหากอยากรู้ว่าโทนิคที่เราดื่มนั้นมีควินินหรือไม่ ให้ลองเอาหลอดไฟแสง UV ส่องดูในที่มืด ควินินจะเรืองแสงขึ้นมาค่ะ
ประวัติศาสตร์
อาหาร
ความรู้รอบตัว
1 บันทึก
3
1
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย