19 ต.ค. 2023 เวลา 19:07 • ประวัติศาสตร์

ชีวิตระทมของแม่ตองกีมาร์

มารี กีมาร์ หรือชื่อจริง มารี กีมาร์ เดอ ปิน่า ที่คนไทยรู้จักกันดีในชื่อ "ท้าวทองกีบม้า" (ในละครเรียกตองกีมาร์ แม่มะลิ) สตรีชาวโปรตุเกสเชื้อสายญี่ปุ่นนางนี้ได้รับการยกย่องให้เป็น "ราชินีขนมไทย" ซึ่งในบล็อกนี้เราจะเรียกว่าตองกีมาร์นะครับ จะได้ง่าย
ชีวิตรักของตองกีมาร์ ได้สมรสกับเจ้าพระยาวิไชยเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) ขุนนางฝรั่งผู้ทรงอิทธิพลในกรุงศรีอยุธยาขณะนั้น มีลูกชายด้วยกันสองคน แต่ทว่าชีวิตสมรสของตองกีมาร์ดูไม่ราบรื่นเท่าไหร่นัก เพราะด้วยความเจ้าชู้ของฟอลคอน แถมช่วงแรกๆ พ่อของนางไม่ปลื้มฟอลคอน ทำให้ฟอลคอนต้องพิสูจน์รักด้วยการเข้ารีตมาเป็นโรมันคาทอลิกตามนาง จนนำไปสู่เรื่องราวสุดแสนระทมของตองกีมาร์
1
พระเพทราชากับหลวงสรศักดิ์ ร่วมกันโค่นล้มพระราชบัลลังก์สมเด็จพระนารายณ์และขับไล่ฝรั่งเศส พวกเขาได้จับกุมสามีของนาง ซึ่งนั่นก็คือเจ้าพระยาวิไชยเยนทร์ ไปประหารชีวิตพร้อมริบราชบาตร เมื่อผลัดแผ่นดินแล้ว ตองกีมาร์ที่กำลังสิ้นเนื้อประดาตัว ยังต้องเจอกับหลวงสรศักดิ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นพระมหาอุปราชา (กรมพระราชวังบวรสถานมงคล) หมายปองในตัวของนางเป็นอย่างมากจนอยากได้มาเป็นบาทบาจริกา แต่ในเมื่อมิได้ตามพระราชประสงค์ เกิดกลายเป็นความแค้นอาฆาต ส่วนตัวตองกีมาร์ก็เลือกที่จะอยู่เป็นทาสรับใช้
บาทหลวงอาร์ตุส เดอ ลียอน ได้บันทึกเหตุการณ์ริบทรัพย์เจ้าพระยาวิไชยเยนทร์ ความว่า
วันที่ 30 พฤษภาคม เขาได้เรียกตราประจำตำแหน่งของสามีนางคืนไป วันที่ 31 ริบอาวุธ เอกสาร และเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย วันต่อมาได้ตีตราประตูห้องหับทั่วทุกแห่งแล้วจัดยามมาเฝ้าไว้ วันที่ 2 มิถุนายน ขุนนางผู้หนึ่งนำไพร่ 100 คนมาขนเงิน เครื่องแต่งบ้านและจินดาภรณ์ไป
ตองกีมาร์ถูกจับกุมคุมขังในคอกม้าที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง ขณะเดียวกันนางได้พยายามติดต่อกับฝรั่งเศสเพื่อขอลี้ภัย นายพลเดฟาร์จ ที่ประจำการอยู่บนป้อมบางกอก (ป้อมวิไชยประสิทธิ์) ได้ให้คำสัญญาว่าจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แต่นายพลเดฟาร์จกลับเบี้ยวคำสัญญา กลับพานางไปกักขังไว้ใต้ป้อม เมื่อกองทัพฝรั่งเศสของนายพลเดฟาร์จถูกขับไล่ออกจากสยาม (ไทย) พวกเขาได้ขนเอาสมบัติของตองกีมาร์ และฟอลคอนผู้เป็นสามีติดไปด้วย
บาทหลวงเดอ แบส ได้บันทึกชีวิตของตองกีมาร์ในช่วงนี้ กล่าวว่า "..เรายังได้ทราบต่อมาอีกถึงความทุกข์ทรมานที่เธอได้รับจากการถูกทอดทิ้งในคราวนั้น แม้กระทั่งน้ำก็ไม่มีให้ดื่ม..." จากนั้นประวัติของตองกีมาร์ก็หายไปช่วงหนึ่ง จนกระทั่งนางได้กลับมาที่กรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง บันทึกของชาวฝรั่งเศสก็กล่าวถึงนางว่า "...มาดามกงสต็องส์ได้ออกจากบางกอกด้วยกิริยาองอาจ ดูสีหน้ารู้สึกว่ามิได้กลัวตายเท่าใดนัก แต่มีความดูถูกพวกฝรั่งเศสมากกว่า..."
หมอแกมบ์เฟอร์ แพทย์ชาวเยอรมัน กล่าวถึงตองกีมาร์และลูกชายว่า "...เจ้าเด็กน้อยกับแม่คงเที่ยวขอทานเขากินมาจนทุกวันนี้ หามีใครกล้าเกี่ยวข้องด้วยไม่..."
ชีวิตของตองกีมาร์ กำลังจะ "จบสวย" เมื่อนางได้เขียนจดหมายไปขอความช่วยเหลือจากบาทหลวงฝรั่งเศส เพื่อทูลขอพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เพื่อขอให้รัฐบาลคืนส่วนแบ่งที่สามีของนางเคยเป็นผู้บริหารและถือหุ้นส่วนคืนให้แก่นาง ความตอนหนึ่งในจดหมายของนางได้กล่าวว่า
พระผู้เป็นเจ้าจะไม่พิศวงในเวรกรรมและภาวะของข้าพเจ้าในขณะบ้างละหรือ ตัวข้าพเจ้านั้นหรือ เมื่อก่อนจะไปในที่ประชุมชนแห่งใดในกรุงศรีอยุธยาก็ไปเช่นพระราชินี ข้าพเจ้าได้เคยรับพระมหากรุณาโดยเฉพาะโดยเอนกประการจากสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน บรรดาเจ้านายและขุนนางผู้ใหญ่ทั้งปวงก็นับถือไว้หน้า ตลอดจนไพร่ฟ้าประชาชนทั้งหลายก็รักใคร่
ต้องทำงานถวายตรากตรำด้วยความเหนื่อยยากและระกำช้ำใจ มืดมนอนธการไปด้วยความทุกข์ยาก ตั้งหน้าแต่จะคอยว่าเมื่อใดพระเจ้าจะโปรดให้ได้รับแสงสว่างบ้าง ตอนกลางคืนนางก็ไม่มีที่พิเศษอย่างใด คงแอบพักนอนที่มุมห้องพระเครื่องต้น บนดินที่ชื้น ต้องคอยระวังเฝ้ารักษาเฝ้าห้องเครื่องต้น
ขณะเดียวกันตองกีมาร์ได้เข้ารับราชการในห้องเครื่องต้น และดูแลเครื่องภูษาพัสตราภรณ์ ต่อมารัฐบาลฝรั่งเศสได้ส่งเงินส่วนแบ่งของฟอลคอนคืนให้แก่นางตามคำขอ ในช่วงบั้นปลายชีวิตที่เหลือ ตองกีมาร์ได้ปฏิบัติศาสนกิจอย่างเคร่งครัดจนถึงแก่กรรมลงในปี พ.ศ.2265
คาดว่าทายาทรุ่นหลานและเหลนของตองกีมาร์ ได้พลัดกันที่เมืองมะริดเมื่อคราวกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่สอง ต่อมาได้อพยพกลับสู่สยามและตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ชุมชนกุฎีจีน ฝั่งธนบุรี
ตองกีมาร์เมื่อคราวรับราชการในห้องเครื่องต้น ได้นำสูตรอาหารหวานจากโปรตุเกส มาประยุกต์ดัดแปลงเป็น "ขนมไทย" ด้วยวัตถุดิบที่มีอยู่ในท้องถิ่น พร้อมได้อบรมถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับขนมไทยจากรุ่นสู่รุ่น นับเป็นวัฒนธรรมอีกอย่างหนึ่งของโปรตุเกสที่เข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย ขนมไทยที่ตองกีมาร์ได้ทำขึ้น เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมหม้อแกง เป็นต้น สอดคล้องกับบันทึกในจดหมายเหตุฝรั่งเศสโบราณเกี่ยวกับการทำงานของตองกีมาร์ ความตอนหนึ่งว่า
ภรรยา (ของนายคอนสแตนติน) เป็นท้าวทองกีบม้าได้เป็นผู้กำกับการชาวเครื่องพนักงานหวาน ท่านท้าวทองกีบม้าผู้นี้เป็นต้นสั่งสอนให้ชาวสยามทำของหวานคือขนมทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอด ขนมทองโปร่ง ทองพลุ ขนมผิง ขนมฝรั่ง ขนมขิง ขนมไข่เต่า ขนมทองม้วน ขนมสัมปันนี ขนมหม้อแกง และสังขยา
มีแนวคิดหนึ่งที่ว่า ตองกีมาร์ได้รับสูตรการทำขนมจากแม่ของนางซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่น ในขณะนั้นโปรตุเกสก็ได้เข้ามาอาศัยและเผยแพร่วัฒนธรรมในญี่ปุ่น และมีอีกแนวคิดหนึ่งที่เห็นต่างออกไป นั่นคือขนมไทยเหล่านั้นมีอยู่ก่อนแล้ว ตั้งแต่ที่ชาวโปรตุเกสเข้ามาอาศัยในไทยช่วงแรกๆ คือตั้งแต่ที่ตองกีมาร์ยังไม่เกิดด้วยซ้ำ
fios de ovos หรือฝอยทอง หนึ่งในขนมไทยที่ได้รับอิทธิพลจากขนมโปรตุเกส
แหล่งที่มาและเรียบเรียง
ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย. ลูกท่านหลานเธอ ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในราชสำนัก. กรุงเทพฯ : มติชน, 2555, หน้า 68.
ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย. ลูกท่านหลานเธอ ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในราชสำนัก. กรุงเทพฯ : มติชน, 2555, หน้า 70-72.
โฆษณา