25 ต.ค. 2023 เวลา 20:27 • ประวัติศาสตร์

ไทยรบเขมร ในรัชกาลพระเจ้าท้ายสระ

รัชสมัยสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 (พระเจ้าท้ายสระ) มีการทำสงครามกับเขมร (กัมพูชา) ซึ่งเป็นสงครามครั้งสุดท้ายที่สยาม (ไทย) รบกับเขมร ก่อนกรุงศรีอยุธยาแตกในปี พ.ศ.2310 และเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีแล้ว ก็ได้ทำสงครามกับเขมรอีกครั้งในปี พ.ศ.2312
สงครามในระยะนี้เป็นความขัดแย้งในราชสำนักเขมรด้วยกันเอง เกิดจากการนำดินแดนที่อยู่ใกล้เคียงเข้ามามีบทบาทของราชสำนัก โดยฝ่ายหนึ่งสนับสนุนสยาม อีกฝ่ายหนึ่งสนับสนุนญวน (เวียดนาม)
นับตั้งแต่หลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงตีเมืองละแวกแตกในปี พ.ศ.2136 เขมรได้ย้ายราชธานีจากเมืองละแวกไปยังเมืองศรีสุนทรเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ต่อมาเขมรในสมัยพระไชยเชษฐาที่ 2 ก็ย้ายราชธานีไปยังเมืองอุดงมีชัย พร้อมจับมือเป็นพันธมิตรกับญวน เกิดเป็นสงครามการแย่งชิงราชสมบัติของราชสำนักเขมรโดยมีสยามกับญวนคอยหนุนหลัง ทำให้เขมรต้องตกเป็นเมืองประเทศราชทั้งสยามและญวน ต่อเนื่องถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์
สงครามไทยรบเขมรครั้งนี้เกิดจากความขัดแย้งระหว่าง นักพระแก้วฟ้าที่ 3 (นักองค์อิ่ม) ที่เข้าข้างฝ่ายญวน กับนักเสด็จ (พระธรรมราชาวังกระดาน) ที่เข้าข้างฝ่ายสยาม (กรุงศรีอยุธยา) สมเด็จพระเจ้าท้ายสระได้ทรงอุปถัมภ์นักเสด็จและนักองค์ทองที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร โดยสร้างตำหนักพระราชทานแก่ทั้งสองขึ้นที่วัดค้างคาว ต่อมาพระเจ้าท้ายสระได้ส่งกองทัพไปช่วยนักเสด็จตีเขมรคืน โดยมีเจ้าพระยาจักรีบ้านโรงฆ้องคุมทัพบก ส่วนทัพเรือมีพระยาโกษาธิบดีจีนเป็นแม่ทัพ
หลักฐานของฝั่งไทย พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) เขียนและชำระในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ 1) บรรยายเหตุการณ์ไว้ดังนี้
" ณ ปีมะเส็ง ศักราช ๑๐๗๓ นั้น นักเสด็จกรุงกัมพูชาธิบดี นามชื่อพระธรรมราชาวังกระดาน กับนักพระแก้วฟ้าสะจอง เป็นอริกัน นักพระแก้วฟ้าไปคบหาญวนมาเป็นกำลัง นักเสด็จกับพระองค์ทองแตกหนี พาครอบครัวอพยพพึ่งพระราชสมภาร ทรงพระกรุณาโปรดให้ไปปลูกตำหนักและเรือนให้อยู่ที่วัดค้างคาว
และทรงพระกรุณาให้เจ้าพระยาจักรีบ้านโรงฆ้องเป็นแม่ทัพ ยกเกณฑ์ไพร่หลวง ๑๐,๐๐๐ ยกไปกระทำกรุงกัมพูชาธิบดี ให้พระยาโกษาขึ้นเป็นแม่ทัพเรือ เกณฑ์ไพร่หลวง ๑๐.๐๐๐ ยกไปทางชเลถึงปากน้ำพุทไธมาศ ฝ่ายข้างญวนก็ยกมาปะทะกันที่ปากน้ำพุทไธมาศ ทัพญวนตีทัพพระยาโกษาจีนแตกพ่ายมา
ฝ่ายทัพบกเจ้าพระยาจักรีบ้านโรงฆ้อง ยกไปทัพหน้าได้ตีกับเขมรๆ แตก เจ้าพระยาจักรีจึ่งแต่งคนเข้าไปว่ากล่าวกับนักพระแก้วฟ้า นักพระแก้วฟ้าออกยอม ถวายดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง เจ้าพระยาจักรีก็เลิกทัพกลับกรุง และพระยาโกษาจีนซึ่งแตกญวนมานั้น ทรงพระกรุณาให้ใช้ปืนลูกกระสุนดินประสิว "
มาที่หลักฐานของฝั่งเขมร ราชพงศาวดารกรุงกัมพูชา ฉบับแปลภาษาไทยโดยหลวงเรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนะรัชต์) บิดาของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ไว้อย่างคร่าว
" ลุศักราช ๑๐๗๕ ปีมะเส็ง เกิดการรบพุ่งกันขึ้น พระราชโองการ พระศรีธรรมราชาธิราช หลีกพระองค์ไปอยู่ยังกรุงศรีอยุทธยา สมเด็จพระแก้วฟ้า ก็ขึ้นครองราชย์ ณ อุดงฦๅไชยต่อไป "
" ลุศักราช ๑๐๗๗ ปีมะแม สมเด็จพระเจ้ากรุงสยาม ได้ทรงโปรดใช้ขุนนางสยาม ๒ นาย (คือ เจ้าพระยาพลเทพ และพระยาราชสุภาวดี) กับไพร่พล ๑๕๐๐ คน นำพระราชโองการพระศรีธรรมาธิราชมาปรานีประนอมใหเปนทางไมตรีต่อกันกับสมเด็จพระแก้วฟ้า ครั้นมาถึงเพียงเมืองพระตะบอง สมเด็จพระแก้วฟ้าบอกไม่รับเปนทางไมตรี จึงท่านขุนนางสยามทั้ง ๒ นาย ก็พาพระราชโองการพระศรีธรรมราชาธิราชกลับคืนไปยังกรุงศรีอยุทธยา "
" ลุศักราช ๑๐๘๐ ปีจอ พระราชโองการพระศรีธรรมราชาธิราช กับพระองค์ทองได้นำกองทัพไทยมารบกับสมเด็จพระแก้วฟ้าอีกครั้งหนึ่ง แต่มิได้ไชยชนะ ก็กลับคืนสู่กรุงศรีอยุทธยา "
คำให้การชาวกรุงเก่า ซึ่งเป็นหลักฐานของฝั่งพม่า ได้มาจากการสัมภาษณ์เชลยศึกไทยที่ถูกกวาดต้อนหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 หอพระสมุดวชิรญาณนำต้นฉบับจากพม่ามาแปลเป็นภาษาไทย ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2457 ก็มีบันทึกเรื่องการรบครั้งนี้อยู่เช่นกัน และกล่าวต่อถึงชะตากรรมของนักเสด็จหลังจากนี้
" ครั้นจุลศักราช ๑๐๗๖ ปี พวกญวนใหญ่ยกทัพเข้ามาตีกรุงกัมพูชา นักเทศเจ้ากรุงกัมพูชาสู้ญวนไม่ได้ ก็พาครอบครัวกับบริวารรวมทั้งสิ้น ๕๐๐ คน แลช้างเผือกช้าง ๑ เข้ามาขอพึ่งพระบรมโพธสมภาร ถวายช้างเผือกแก่พระเจ้ากรุงศรีอยุทธยา พระเจ้าภูมินทราชาก็ให้รับช้างเผือกไว้ พระราชทานนามว่า บรมรัตนากาศเกลาศศิริวงษ์
แล้วรับสั่งให้ยกกองทัพใหญ่ไปตีกรุงกัมพูชา พวกญวนก็พากันแตกพ่ายหนีไปสิ้น พระเจ้าภูมินทราชาจึงรับสั่งให้พระเจ้ากรุงกัมพูชาออกไปปกครองบ้านเมืองตามเด้ม พวกญวนรู้ว่าทหารไทยกลับแล้วแลพระเจ้ากรุงกัมพูชาออกมาอยู่อย่างเดิม ก็ยกทัพมาตีกรุงกัมพูชาอีก พระเจ้ากรุงกัมพูชาก็หนีเข้ามากรุงศรีอยุทธยาอีก แต่เปนอย่างนี้หลายครั้ง
ในครั้งหลังพระเจ้าภูมินทราชาให้ทหารยกเข้าไปตีกรุงกัมพูชาคืนได้แล้วรับสั่งให้พระเจ้ากรุงกัมพูชาออกไปอีก พระเจ้ากรุงกัมพูชาก็ทรงพระกรรแสงกราบทูลว่า ข้าพระองค์ได้อาไศรยพระบารมีปกเกล้าฯ มาหลายครั้งแล้วก็รักษาบ้านเมืองไว้ไม่ได้ ข้าพระองค์ไม่ไปแล้ว ขอรับราชการในกรุงศรีอยุทธยาไปกว่าชีวิตรจะหาไม่ ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาชุบเลี้ยงข้าพระองค์ไว้ในกรุงศรีอยุทธยาเถิด พระเจ้าภูมินทราชาก็โปรดให้พระเจ้ากรุงกัมพูชาอยู่ในพระนครศรีอยุทธยาตามประสงค์ "
ผลลัพธ์ของสงครามไทยรบเขมรในรัชกาลของพระเจ้าท้ายสระ พระยาโกษาจีนซึ่งคุมทัพเรือ ถูกญวนตีแตกพ่ายไป ส่วนทัพบกของเจ้าพระยาจักรีบ้านโรงฆ้องสามารถรบชนะและทำให้นักพระแก้วฟ้าที่ 3 ยอมอ่อนน้อมสวามิภักดิ์ต่อกรุงศรีอยุธยาได้สำเร็จ โดยนักพระแก้วฟ้าที่ 3 ส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองมาถวายแด่สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ
สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ ทรงบำเหน็จความดีความชอบแก่เจ้าพระยาจักรีบ้านโรงฆ้อง พร้อมเหล่าแม่ทัพนายกอง ที่สามารถนำทัพบกเข้าทำการรบจนชนะศึก ส่วนพระยาโกษาธิบดีจีนที่พ่ายศึกกลับมา พระเจ้าท้ายสระทรงพระพิโรธมาก ทำให้ต้องชดใช้อาวุธยุทโธปกรณ์และเรือรบต่างๆ ที่เสียหายแก่ข้าศึกทั้งหมด
บันทึกร่วมสมัยของพ่อค้าชาวอังกฤษชื่อ อเล็กซานเดอร์ แฮมินตัน ที่อยู่ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ กล่าวถึงพระยาโกษาธิบดีจีนว่า
" ในปี ๑๗๑๗ พระเจ้าแผ่นดินสยามได้ทําสงครามกับประเทศกัมพูชา และให้กองทัพยกพลประมาณ ๕๐,๐๐๐ คน และกองทัพเรือ ๒๐,๐๐๐ คน ยกไปให้กองทัพทั้งสองนี้อยู่ในบังคับบัญชาของเจ้าพระยาพระคลังผู้ซึ่งเป็นจีนไม่มีความรู้ในการสงครามเลย จีนผู้นั้นได้รับการแต่งตั้งด้วยความไม่เต็มใจที่สุด แต่คําสั่งของพระเจ้าแผ่นดินย่อมขัดขืนไม่ได้ "
หลังจากทัพสยาม (กรุงศรีอยุธยา) ยกทัพกลับ นักพระแก้วฟ้าที่ 3 (นักองค์อิ่ม) ถูกบรรดาขุนนางในราชสำนักเหยียดหยามว่าแปรพักตร์และไม่พอใจให้ปกครองเขมร กระทั่ง พ.ศ. 2265 นักพระแก้วฟ้าที่ 3 (นักองค์อิ่ม) ยอมสละราชสมบัติให้นักองค์ไชย พระราชโอรสปกครองเขมรแทน ราชสำนักเขมรเกิดความวุ่นวายและทำสงครามบ่อยครั้งเป็นเหตุให้ดินแดนเขมรอยู่ภายใต้การปกครองของญวน ทั้งยังถูกแทรกแซงและแย่งที่ดินทำกิน
3
แหล่งที่มาและเรียบเรียง
เกริกฤทธิ์ เชื้อมงคล. (2558). กัมพูชา จากอาณาจักรฟูนันพนม สู่เขมร-กัมพูชา. กรุงเทพฯ: เพชรประกาย. 358 หน้า.
นพรัตน, นักองค์ (2460). ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณแปลใหม่. โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร.108-109 หน้า. https://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/frontend/Info/item/dc:147507
ชัย เรืองศิลป์. (2519). ประวัติศาสตร์ไทยสมัย พ.ศ. 2325-2453 ด้านสังคม. กรุงเทพฯ: เรืองศิลป์. 569 หน้า.
โฆษณา