31 ต.ค. 2023 เวลา 06:30 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Killers of the Flower Moon (2023) – ฆาตกรรมบุปผาแดนกลางชล

ผู้กำกับ ฯ มาร์ติน สกอร์เซซี ห่างหายจากการส่งผลงานฉายโรงภาพยนตร์ราวเกือบ 7 ปี หลังผลงานอย่าง Silence และในสตรีมมิ่งแบบ The Irishman แต่แทบทุกครั้ง ผลงานของสกอร์เซซี มักจะสะท้อนภาพของยุคสมัย หรือสร้างแรงกระเพื่อมทางสังคมทางอ้อมอยู่เสมอ จึงไม่แปลกที่ผลงานของเขา มักจะได้รับการชื่นชมและเป็นที่พูดถึงเสมอมา จนมาถึงผลงานอีพิคเรื่องล่าสุด ที่สกอร์เซซี ตัดสินใจหยิบยก หน้าประวัติศาสตร์อันแสนเลือดเย็นหน้าหนึ่งของสหรัฐอเมริกา มาเล่าผ่านคดีฆาตกรรม อย่าง Killers of the Flower Moon
Killers of the Flower Moon เล่าเรื่องในช่วงปี 1919 เออร์เนสต์ เบิร์คฮาร์ท ทหารผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่ 1 หวนคืนสู่บ้านไร่ของลุงอย่าง วิลเลียม “คิง” เฮล ในย่านชุมชนเกรย์ฮอร์ส โอคลาโฮม่า ที่เต็มไปด้วยชาวพื้นเมืองโอเสจ ที่มั่งคั่งจากการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิที่ดิน ที่ภายใต้ดินแห้งแข็งนั้นคือขุมน้ำมัน เออร์เนสต์ ซึ่งได้รับการทาบทามโดย เฮล ให้เข้าไปตีสนิทกับหญิงสาวชาวโอเสจ เพื่อกลายเป็นหนึ่งในสายธารของความมั่งมีจากทองคำสีดำ
ณ ที่แห่งนั้น เขารู้สึกต้องชะตาหลังได้พานพบกับ มอลลี ไคล์ แต่ขณะเดียวกัน เขาก็ได้กลิ่นของอาชญากรรมน่าสะพรึง ที่ล้วนมีแต่ชาวโอเสจตกเป็นเหยื่อ
ด้วยความยาวระดับเต็มเหยียดถึง 206 นาที ทำให้ตนเองต้องเตรียมใจสักนิดหน่อย ก่อนเรื่องราวเนื้อหาจะเปิดขึ้นอย่างเรียบง่าย ถึงความมั่งมีของชนพื้นเมืองชาวโอเสจ ที่ร่ำรวยได้ด้วยน้ำมันที่อยู่ใต้ผืนดิน แต่ขณะที่ซากหมักมมของฟอสซิลจากโลกบรรพกาลปรากฎขึ้นบนพื้นดิน มันก็ดึงดูดคนโลภผิวขาวมากมายเข้ามาด้วยเช่นกัน จนทำให้พื้นที่นั้นกลายเป็นพื้นที่เศรษฐกิจ ที่เต็มไปด้วยความมั่งคั่ง การพนัน เหล้ายา หรือแม้กระทั่งฆาตกรรม
หนังจึงเดินเรื่องราวเป็นเส้นตรง พลางตัดสลับบางเหตุการณ์ที่เล่าเผื่อย้อนความ ภายใต้งานสร้างที่น่าเชื่อถือ และกลิ่นอายบรรยากาศของเรื่องราวที่แสนถมึงทึง
เรื่องราวอาจจะไม่ได้เข้าใจยาก หรือต้องจับต้นชนปลายมากมายอะไรขนาดนั้น เพราะจังหวะการดำเนินเรื่องราว แทบจะพาเราไปอยู่ในมุมมองของตัวเอกผิวขาวอย่าง เออร์เนสต์ เบิร์คฮาร์ท ที่เดินดุ่มเข้าไปอยู่ในใจกลางของการนองเลือดอันเงียบงันของชุมชนชาวโอเสจ และตัวหนัง ก็ดูจะพยายามนำเสนอชนพื้นเมืองชาวโอเสจอย่างให้เกียรติ ทั้งการนำเสนอวัฒนธรรมและจารีตประเพณี
ตัวหนังดำเนินเรื่องราวไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยที่ไม่มีจุดหวือหวาหรือการขับเน้นความระทึกขวัญ ให้ความรู้สึกเป็นระเบิดเวลาอันเงียบเชียบ ที่ยังคงนับถอยหลังอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาของหนัง แต่ด้วยจังหวะจะโคนที่ผู้กำกับ ฯ มาร์ติน สกอร์เซซี เรียบเรียงออกมาอย่างสุขุม มันกลับกึกก้องไปด้วยความรุนแรงที่ชัดแจ้ง ทั้งการนำเสนอความโหดเหี้ยมในการฆาตกรรมเงียบของชาวโอเสจ ที่แม้ไม่ได้ขายความโหดเลือดสาด แต่มันกลับเต็มไปด้วยไอความอำมหิตที่แสนจะเลือดเย็น
ซึ่งนอกจากการกำกับอันแสนแม่นยำแล้ว ตัวหนังยังได้การแสดงที่ชูโรง ทั้ง ลีโอนาร์โด ดิคาร์ปริโอ ที่แม้จะเป็นตัวเอกด้วยเสน่ห์และฉายความซับซ้อนที่ไม่น่าเอาใจช่วย แต่มันก็ช่วยฉายความกดขี่ของชายผิวขาวกับคนพื้นเมืองได้อย่างตรงประเด็น
แต่ใจกลางของหนังก็คือ การแสดงอันลุ่มลึกผ่านสีหน้าและท่าทางของ ลิลี แกลดสโตน ที่นอกจากจะแบกรับความข้นแค้น ทั้งในฐานะผู้หญิงชนพื้นเมืองคนหนึ่ง และหนึ่งตัวแทนของชาวโอเสจ ที่เป็นได้ทั้งหญิงแกร่งหนึ่งเดียว ทั้งในคราวที่อ่อนแอและเข้มแข็ง เธอก็สามารถฉายการแสดงเหล่านั้น โดยถ่ายทอดผ่านทางสายตาได้อย่างฉกาจฉกรรจ์
อาจจะเป็นจุดด้อย ที่ว่าทำไมตัวหนังตัดสินใจเล่าผ่านสายตาคนขาวอย่างเออร์เนสต์ (แทนที่จะเป็นตามต้นฉบับเดิมที่บอกเล่าถึงมุมมอง ทอม ไวท์) ถึงการบอกเล่าการกดขี่ของคนผิวขาว ที่ลงมืออุกอาจ วางแผนสมคบคิดฆาตกรรมชาวชนพื้นเมือง ซึ่งเป็นเจ้าของอาณานิคมดั้งเดิมตามกรรมสิทธิ หากแต่ไร้ซึ่งสิทธิในการครอบครอง แถมการจะทำซึ่งธุรกรรมใด ก็ยังต้องทำผ่าน “ผู้พิทักษ์” ผิวขาว โดยตามกฎหมายของรัฐ ยกให้ชาวโอเสจเป็นบุคคลไร้ความสามารถ ที่ไม่อาจจัดการหรือมีอำนาจถือเงินได้
แต่การบอกเล่าผ่านเออร์เนสต์ ช่วยให้เราได้เห็นมุมมองที่ใกล้ขึ้นจากวงใน ผ่านภายในรากเหง้าวัฒนธรรมชาวโอเสจที่ฝังราก หรือกระทั่งตัวตนของมอลลี่ ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่อีกหนึ่งเป้าหมายของคดีฆาตกรรมน่าพรั่นพรึงเท่านั้น หากแต่เธอก็มีความเปราะบางทว่าเข้มแข็งในชั่วขณะหนึ่ง การบอกเล่าความข้นแค้นภายใต้ระยะเวลา 206 นาที ที่อาจดูยาวนาน แต่ก็เป็นช่วงเวลา ที่เทียบเคียงกับสิ่งที่ชาวโอเสจต้องประสบพบเจอไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
วิสัยทัศน์ของสกอร์เซซี ที่พาเราไปเบิกโรงในเรื่องราว จากหนึ่งหน้าของประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ที่คนขาวเกือบทั้งหมด ล้วนวางแผนสมคบคิด เพื่อฆ่าล้างเผ่าพันธ์คนในพื้นที่ เป็นความโหดเหี้ยมที่ครั้งหนึ่งมันอาจไม่ได้ดังกึกก้องเสียทีเดียว
แต่มันกลับเต็มไปด้วยความเลือดเย็นที่น่าสั่นสะท้าน เพราะมันดูเป็นความรุนแรงแสนธรรมดา ที่คนขาวบางพวกเลือกที่จะมีส่วนร่วม แถมยังทำเป็นเพิกเฉย และขณะเดียวกันคนขาวพวกนี้ ยังได้รับการนับหน้าถือตาเป็นที่ไว้วางใจ จากชนพื้นเมืองชาวโอเสจ เป็นดั่งฝูงหมาป่า ที่แอบอยู่ท่ามกลางบุปผาแดนกลางชลก็ไม่ปาน
สกอร์เซซี ไม่เพียงแต่จะปรับมุมมองของคดีฆาตกรรม ที่กลายเป็นจุดกำเนิดของเอฟบีไอในปัจจุบัน ให้กลายเป็นเรื่องราวความโสมมในประวัติศาสตร์ชาติสหรัฐอเมริกา เท่านั้น แต่ สกอร์เซซี ยังเล่าออกมาอย่างให้เกียรติชาวโอเสจ ที่พวกเขาไม่ได้มีหน้าที่เป็นเพียงแค่เหยื่อ และเป็นเพียงแค่ส่วนประกอบในเรื่องราวนี้เท่านั้น หากแต่โดยแท้แล้ว ชาวโอเสจต่างหากที่เป็นศูนย์กลางของเรื่องราวนี้ เป็นเจ้าของเรื่องราวโดยชอบธรรม อย่างเช่นที่พวกเขาเป็นเจ้าของดินแดนโดยชอบธรรม ไม่ใช่เยี่ยงคนขาวแบบในพื้นที่
หรือกระทั่งตัวสกอร์เซซีเอง ซึ่งก็เป็นคนขาว และตัดสินใจเลือกหยิบเรื่องราวนี้มาเล่า โดยที่เขาก็ไม่ใช่เจ้าของเรื่อง แต่เขาเป็นเพียงผู้เล่าที่ “เลือก” มาเล่าผ่านมุมมองคนขาว เพื่อสะท้อนถึงคนขาวหรือผู้กดขี่ทั้งหลาย ที่อาจจะเคยมีส่วนร่วม ไม่โดยตรงหรือโดยอ้อม ต่อการเพิกเฉยต่อความรุนแรง ซึ่งครั้งหนึ่ง มันได้ก่อร่าง ควบรวม และกำเนิดเป็นชาติสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน
ด้วยสำเนียงที่อย่างน้อย แม้แต่ตัวเขาเอง ก็เอื้อนเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกเสียใจอย่างถึงที่สุด
สรุปแล้ว Killers of the Flower Moon คือหนังดราม่าอาชญากรรม ที่บอกโมงยามอันน่าพรั่นพรึงของชนพื้นเมืองโอเสจ จากคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่คนขาวแสนโลภมีส่วนสมรู้ร่วมคิด และกลายเป็นฝูงหมาป่าในดงบุบผาแดนกลางชล โดดเด่นด้วยงานสร้างที่น่าเชื่อถือ การแสดงอันแสนทรงพลังของ ลิลี แกลดสโตน และ ลีโอนาร์โด้ ดิคาร์ปริโอ้ และการกำกับที่แม่นยำของมาร์ติน สกอร์เซซี ที่ไม่ได้เน้นการเร่งเร้าระทึกขวัญ แต่พาเราไปเบิกโรงในช่วงเวลาอันแสนเลือดเย็นและน่าสะเทือนใจมากที่สุดครั้งหนึ่ง ของหน้าประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา
4.5 / 5
Killers of the Flower Moon (2023)
Directed by Martin Scorsese
Screenplay by Eric Roth & Martin Scorsese
Based on "Killers of the Flower Moon" by David Grann

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา