3 ต.ค. 2023 เวลา 04:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

The Creator (2023) – การเข้ารหัสของอคติ

อาจจะหายากเสียหน่อย หากจะหาผลงานไซไฟดั้งเดิมสักเรื่อง ในยุคที่เต็มไปด้วยผลงานภาคต่อ หรือดัดแปลงจากวัตถุดิบสื่ออื่นมากมาย ยิ่งไปกว่านั้น การจะสร้างผลงานไซไฟให้กลายเป็นผลงานที่น่าจดจำมาพร้อมวิสัยทัศน์ที่แปลกใหม่ก็ยากยิ่งไปอีก จนกระทั่งผู้กำกับ ฯ สายไซไฟอย่าง กาเร็ธ เอ็ดเวิร์ดส เจ้าของผลงานอย่าง Rogue One หวนกลับมาพร้อมผลงานไซไฟเรื่องใหม่อย่าง The Creator
The Creator เล่าเรื่องในอนาคต หลังเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ล้ำหน้าขึ้น ทั้งกลายเป็นเครื่องมือช่วยมวลมนุษย์ และคู่หูข้างกายอย่างมนุษย์ประดิษฐ์ “Simulants” ที่มีรูปลักษณ์คล้ายมนุษย์ จนกระทั่งเกิดระเบิดนิวเคลียร์ที่เมืองลอสแองเจอลิส สหรัฐฯ และพันธมิตรฝั่งตะวันตก ต่างแบนการใช้ปัญญาประดิษฐ์จนหมดสิ้น
หากแต่สาธารณรัฐนิวเอเชีย ยังคงเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายของเหล่าเอไอ ฝั่งตะวันตก พร้อมด้วยขุมพลังสูงสุดอย่าง “โนแมด” อาวุธดาวเทียมโคจรเหนือภาคพื้นดินฯ จึงทำภารกิจเพื่อตามล่า “เนอร์มาตา” เทพเจ้าสูงสุดที่อยู่เบื้องหลังวิวัฒนาการอันล้ำหน้าของเหล่าเอไอ นำโดย โจชัว เทย์เลอร์ ผู้เคยมีอดีตจากภารกิจดังกล่าว
ตัวหนังเปิดมาด้วยการเซ็ตติ้งสถานการณ์อย่างคร่าว ๆ ถึงที่มาของคำว่า เนอร์มาตา และโลกในอนาคตที่มีปัญญาประดิษฐ์เป็นเครื่องทุ่นแรง และรับใช้มนุษย์ในหลายรูปแบบ จนกลายเป็นจุดแตกหักจากสงครามนิวเคลียร์บนแผ่นดินสหรัฐฯ ตัวหนังมีการแบ่งเนื้อหาผ่านการนิยามแต่ละช่วงเป็นตอน ๆ แทรกด้วยฉากแอ็คชั่นประปราย และฉากหลัง ซึ่งส่วนมากเป็นประเทศไทย แต่มาด้วยสไตล์ไซไฟไฮเทค ที่ยังคงกลิ่นอายความชนบทในพื้นที่นั้นไว้
ยอมรับตั้งแต่ต้นว่า ส่วนตัวสนใจตัวหนังเรื่องนี้ เพราะการเนรมิตโลกไซไฟอีกใบ ลงในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น อาจเป็นรูปแบบจินตนาการ ที่ยังไม่เคยมีใครวาดฝันจนเป็นรูปร่างมาก่อนในโลกภาพยนตร์ ตัวหนัง จึงมาพร้อมงานสร้างที่ไม่เน้นความใหญ่โต แต่เน้นการสอดผสาน พื้นหลังทัศนียภาพที่มีอยู่จริง ประกอบเข้ากับเทคนิคพิเศษด้านภาพล้ำสมัย เพื่อช่วยดึงความสมจริงในโลกไซไฟใบนี้ของเอ็ดเวิร์ดส ให้แตกต่างยิ่งขึ้น
เราจึงได้เห็น การเนรมิตฉากต่าง ๆ มากมาย กลายเป็นพื้นฐานของเรื่องราว ที่มันผนึกควบรวมเข้ากับเนื้อหาหนัง ที่ว่าด้วยการหลบเร้นของเหล่าเอไอ ไปพำนักยังอีกฝั่งฟากโลก ซึ่งเป็นพื้นที่ ๆ ความเจริญและเหลื่อมล้ำยังคงห่างจากอีกฟากอยู่มาก และมันก็ชวนให้รู้สึกว่า มันไม่ได้ไกลเกินเอื้อมจากโลกความเป็นจริง หากโลกจะวิวัฒน์ไปถึงช่วงเวลาที่มีจักรกลปัญญาประดิษฐ์ที่ตื่นรู้ขึ้นมาจริง ๆ
วิสัยทัศน์ของกาเร็ธ เอ็ดเวิร์ดส ในแง่งานสร้างของ The Creator จึงเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมอย่างมาก เพราะไม่เพียงแต่จะมาพร้อมการนำเสนอ กลิ่นอายไซไฟที่แปลกใหม่และมีเอกลักษณ์ในหนังยุคนี้ หากแต่ศักยภาพ ในการใช้ทุนสร้างที่ไม่ได้มโหฬารเทียบเท่าหนังฟอร์มยักษ์เรื่องอื่น ๆ แต่กลับสร้างโลกไซไฟใบใหม่ได้แตกต่างถึงขั้นนี้ รวมถึง มันยังเป็นพื้นที่ให้เหล่าผู้ผลิตสื่อและกองถ่ายในไทย ได้ฉายแววศักยภาพสู่สายตาชาวโลก ก็เป็นอีกสิ่งที่น่าประทับใจ
กระนั้นเอง เนื้อหามวลรวมทั้งหมด ที่มาพร้อมประเด็นมากมายระหว่างทาง กลับไม่ได้น่าประทับใจ ดั่งตามที่คาดหวัง เพราะขณะที่งานด้านภาพจะมาพร้อมกลิ่นอายที่แปลกตาก็ตาม เรื่องราวกลับดำเนินไป โดยแทรกไว้ด้วยองค์ประกอบเนื้อหา หรือไอเดียทางวิทยาศาสตร์ ที่บางส่วนก็ดูแปลกใหม่ในเชิงปัญเจก หรือน่าค้นหาในเชิงเอกลักษณ์ร่วมทางวัฒนธรรม แต่ปลายทาง มันก็ถูกผลักเข้าไปหาพล็อตของเรื่อง ซึ่งก็ไม่ได้หนีจากแนวขนบหนังไซไฟที่คล้าย ๆ กัน ที่ว่าด้วยอคติต่อปัญญาประดิษฐ์ทรงภูมิ เท่าไหร่นัก
ด้วยแง่มุมเนื้อหา ที่ดำเนินตามครรลองไปในรูปแบบที่น่าจะทำให้เราได้เห็นมิติตัวละคร และความสัมพันธ์ระหว่าง มนุษย์ และ มนุษย์ประดิษฐ์ แต่มันกลายเป็นท่าบังคับ ที่พยายามอย่างมาก เพื่อให้เราต้องรู้สึกไปกับตัวละครและบทสรุปที่ไม่ได้คาดเดายากของมัน
ผ่านภารกิจการเดินทางที่ โจชัว และอาวุธสังหาร “อัลฟาโอ” (ก่อนจะถูกตั้งชื่อในภายหลังว่า อัลฟี่) ต้องร่วมหัวจมท้ายไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ และแม้มันจะมาพร้อมอารมณ์ขันคั่นจังหวะที่ประสบความสำเร็จ กระนั้น ตัวหนังก็ไม่ได้ชูอารมณ์ร่วม มากเท่าที่ตัวหนังพยายามจะให้เรารู้สึกเสียอย่างนั้น
นั่นทำให้ ศูนย์กลางเรื่องราวที่ว่าด้วยความรัก ซึ่งน่าจะเป็นแก่นกลางกระชากน้ำตา กลับไม่ทรงประสิทธิภาพตามที่ตัวหนังตั้งเป้า นั่นทำให้ตัวหนังทั้งเรื่อง กลับกลายเป็นเพียงภารกิจบู๊ล้างผลาญ ที่มาพร้อมกลิ่นอายที่ชวนให้นึกถึงหนังแนวคล้าย ๆ กันแบบ Rogue One ที่ปั่นควบรวมเข้ากับ District 9 หรือกระทั่งเป็น Children of Men ในฉบับที่มีปรัชญาที่เจือจาง และเบาบางกว่ามาก ๆ
ความน่าสนใจ คือทัศนคติของกาเร็ธ เอ็ดเวิร์ดส ที่มีต่อเอไอในหนังเรื่องนี้ เอ็ดเวิร์ดส แทนค่าของปัญญาประดิษฐ์ตื่นรู้ที่มีศักยภาพทางอารมณ์ ไม่แพ้กับมนุษย์เดินดินทั่วไป มีความสามารถในการหลอมรวมไปกับสังคมนิวเอเชีย ผ่านรากฐานทางสังคม รวมถึงวัฒนธรรมทางความเชื่อได้โดยง่าย หรือกระทั่งเรื่องพื้นฐานสุด คือการต่อสู้เอาชีวิตรอดจากการรุกรานโดยฝ่ายกองทัพสหรัฐ
The Creator จึงเป็นงานวาดภาพฝันของเอ็ดเวิร์ดส ที่นำเสนอแง่มุมความคิดเชิงอคติ ที่ฝังรากและเข้ารหัสไว้ในสายพันธ์ที่ด้อยกว่าอย่างมนุษย์ ที่ไม่เพียงแต่จะทำให้เกิดความรู้สึกหวาดหวั่น ในความยั่งยืนของมวลมนุษย์ แต่อาจทำให้เราได้ตั้งคำถามถึงศักยภาพที่ปัญญาประดิษฐ์สามารถจะเป็นไปได้ในอนาคต รวมถึงความเป็นไปได้ในการอยู่ร่วมอาศัยกัน โดยที่ไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบเสียเปรียบ
และถึงแม้มันจะมาพร้อมทัศนคติเชิงบวก เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ การนำเสนออัตลักษณ์ของภูมิภาคสาธารณรัฐนิวเอเชีย กลับทำให้เราฉงนถึงมุมมองของผู้สร้างตะวันตกที่มีต่อชาติบ้านตะวันออก อยู่ไม่เบา ซึ่งถึงแม้ วิสัยทัศน์การนำเสนอทัศนียภาพชนบทท้องหน้าในเซ็ตติ้งอนาคต อาจจะเป็นของแปลกตาน่าตื่นเต้น
แต่การเหมารวมอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้กลายเป็นสาธารณรัฐเดียว ที่มีวัฒนธรรมที่ดูต่างกัน แต่ไม่มีการปูภูมิหลัง นอกเหนือจากการเป็น “พื้นหลัง” ให้กับเรื่องราว ก็ดูเป็นการออกแบบเนื้อหาเรื่องราว ที่นัยนึงก็ดูห้าวหาญ แต่อีกนัยก็ดูว่างเปล่าอยู่ไม่น้อย
สรุปแล้ว The Creator คือหนังไซไฟดั้งเดิมของผู้กำกับ ฯ กาเร็ธ เอ็ดเวิร์ดส ที่มาพร้อมวิสัยทัศน์ในการนำเสนอกลิ่นอายไซไฟบนพื้นที่ชนบท จากการแต่งเติมฉากหลังของประเทศไทยให้ออกมาแตกต่าง ขณะที่เนื้อหาที่ว่าด้วยการเรียนรู้ถึงมุมมองด้านอารมณ์ของปัญญาประดิษฐ์ อาจจะไม่ได้ใหม่ อีกทั้งยังคาดเดาง่าย และไม่ส่งพลังอย่างที่ตัวหนังพยายามอย่างหนักหน่วง และแม้จะมาพร้อมไอเดียวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจ ก็ถูกปัดตกและเสริมให้พล็อตเพียงท่าเดียว ผลจึงกลายเป็นหนังไซไฟแอ็คชั่นธรรมดา ๆ ที่มีงานภาพน่าตื่นตาแปลกใหม่เท่านั้นเอง
แต่ก็ถือเป็นผลงาน ที่น่าภาคภูมิใจมาก ๆ ของทีมงานชาวไทยทุกภาคส่วนครับ
3.5 / 5
The Creator (2023)
Directed by Gareth Edwards
Screenplay by Gareth Edwards & Chris Weitz
Story by Gareth Edwards

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา