18 พ.ย. 2023 เวลา 13:00 • ดนตรี เพลง

"แก้ว ณัฐรุจา" ปลายทาง ความฝัน คืนวันที่มีความหมาย Part 1

หากพลิกหน้ากระดาษย้อนไป
ถึงเหล่าเมมเบอร์ BNK48 รุ่นที่ 1
ที่แม้จะได้ก้าวไปใน
เส้นทางใหม่กันแทบทุกคน
 
แต่ความทรงจำยังคงเปี่ยมล้น
จนอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม
ทุกครั้งที่แอบคิดถึงกัน
เหมือนสิ่งเหล่านั้น
มันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง
เช่นกันกับเธอคนนี้
ที่มีความเป็นไอดอลและศิลปิน
หลอมรวมอยู่ด้วยกันเสมอมา
หลับตาก็ยังเห็นภาพของเด็กสาว
ผู้เปี่ยมไปด้วยออร่า ความเชื่อมั่น
ถ่ายทอดความรู้สึกผ่านนิ้วเพรียวบาง
วางลงบนแท่นเปียโนแล้วค่อยๆ
ส่งเสียงร้องบรรเลงออกมา
สะกดทั้งหัวใจและสายตาเรา
ให้เคลิ้มตามไปกับห้วงอารมณ์บนเวที
เป็นเมมเบอร์หนึ่งเดียวที่
มีคอนเสิร์ตเป็นของตัวเอง
ถึง 2 ครั้งด้วยกัน
พร้อมสร้างสรรค์งานเพลงมากมาย
ที่ตราตรึงใจ ชวนฟินจิกหมอนตามกัน
รวมถึงโมเมนต์ทุกอย่างก่อนนั้น
นึกแล้วใจก็พลันอยากจะ
บรรเลงนิ้วผ่านแป้นพิมพ์
ติดต่องานเธอไปสักที
 
ในวันนี้ “แก้ว ณัฐรุจา”
ได้ให้เกียรติมาร่วมพูดคุย
เล่าเรื่องราวระหว่างทางให้ผมฟัง
อย่างเป็นกันเอง เสมือนเพื่อนคนหนึ่ง
ที่วัยไล่เลี่ยแล้วไม่ได้เจอกันนาน
เลยอยากชวนทุกคน
มาดื่มด่ำกับบทความนี้กัน
ผ่านคำร้อง ท่วงทำนองแห่งหัวใจ
ตลอดช่วงเวลาแรมปีที่ได้
สัมผัสกับชีวิตในมุมใหม่
แล้วคุณจะรักและเข้าใจ
ในตัวตนเธอมากขึ้นเลยล่ะ
ปล.บทสัมภาษณ์นี้เกิดขึ้นในวันที่ 16 ก.ค.66 นะครับ
ฉะนั้นนี่จะเป็นการพาทุกคนนั่งไทม์แมชชีน
กลับไปสำรวจ Side Stories ของแก้ว
ผ่านห้วงเวลานั้นกัน,,, 🎹🎶
บทที่ 1:
Into The New World
เส้นทางใหม่ที่ได้ค้นพบ
สวัสดีครับแก้ว
สวัสดีค่ะแก้ว ณัฐรุจาค่ะ
ครับ ไม่ได้เจอกันนานเลย
อ่อ เจอกันครั้งล่าสุดเมื่อไหร่นะคะ อาทิตย์ที่แล้วเอง55+
555 แก้วไม่ได้เจอพี่นาน แต่พี่เพิ่งเจอแก้วไม่นาน
รีแคป “เส้นทางใหม่” ของแก้วให้ฟังหน่อยครับ
- บอกก่อนว่าความฝันหรือเส้นทางที่เราออกมาแล้วอยากจะเป็นก็คือ “นักร้อง” ค่ะ คือการอยู่ #BNK48 เขาก็จะให้เราลองอะไรหลายอย่างน่ะแหละ ทุกด้านเลย พิธีกร แสดง ร้อง เต้นใช่มั้ยคะ ซึ่งใน 6 ปีที่ผ่านมาแก้วพบว่าสิ่งที่ชอบที่สุดก็คือ “การร้องเพลง”
แต่ช่วงที่ผ่านมายังติดสัญญาอยู่ ยังออกซิงเกิ้ลใหม่ไม่ได้ ก็เลยรับงานร้องเพลงตามร้านและงาน Influencer ต่างๆ ไปก่อน ส่วนงาน แสดงก็ถ้าเกิดมีติดต่อมาก็สนใจเหมือนกัน บวกกับแก้วมีกลุ่มเพื่อนสนิทชื่อ #Sertist_channel อย่างที่รู้กันว่ามีน้ำหนึ่ง แก้ว ปูเป้ โมบายล์ ออกมาทำงานด้วยกัน เพราะฉะนั้นเราก็จะเหมือนอินฟลูไปในตัว
ส่วนช่วงที่ผ่านมาก็คือเรียน ป.โท ค่ะ ตอนนี้ก็ส่ง Thesis ไปแล้ว (27 ก.ย. #จบโทแล้วโว้ย รับปริญญา เป็นมหาบัณฑิตไปเรียบร้อย ยินดีด้วยน้าา) เลยไม่ค่อยได้โฟกัสการทำงานมากเท่าไหร่ เน้นเรียนมากกว่า เพราะแก้วเป็นคนที่ถ้าไม่ได้เกียรตินิยมไม่ได้ค่ะ มันต้องได้!
เลยรู้สึกว่าในพาร์ทการเรียน เราก็อยากทำให้มันดีที่สุดเช่นเคย
ด้านการทำงาน มองย้อนไปก่อนแกรด เราเหมือนเด็กที่ค่อยๆ เติบโตมา โดยมีพี่ AR คอยดูแลใส่ใจ พอได้มาเป็นศิลปินเดี่ยว พี่ๆ ในค่ายใหม่ก็ดูแลดีไปอีกแบบ ซึ่งพอเราออกมาอยู่คนเดียว ด้วยความที่แก้วเป็นคน Introvert การคุยกับคนมันเลยยากมากค่ะ อย่างตอนไปร่วมงานปีใหม่ แก้วไม่คุยกับใครเลย รู้สึกยากมากในการเริ่มคุยกับใคร แต่ทุกคนน่ารักค่ะ เข้ามาคุยกับเรา ดูแลเราเป็นอย่างนี้ อันนี้น่ารักมาก
(เป็นบ้านหลังใหม่ที่ความอบอุ่นไปอีกแบบนั่นเอง)
รู้สึกมั้ยครับว่าเราเป็นคนแบ่งเวลาเก่งคนหนึ่งเลย?
- ถ้าพูดตามตรง แก้วเป็นคนไม่แบ่งเวลาเลยค่ะพี่แคน ไม่มีตารางชีวิต ไม่สามารถแบบ...โอเค เสร็จงานแล้วจะทำ Thesis นะ ซึ่งโดยปกติมันใช้เวลาเป็นปีในการทำ แต่แก้วทำให้จบได้ใน 1 อาทิตย์ เพราะแก้วไม่แบ่งเวลา55+
สมมติทำงานเสร็จเราก็คิดว่าจะเอาเวลา 4 ชม. ไปเริ่มทำ Thesis สักที แต่สุดท้ายพอเหนื่อยๆ แก้วก็ไม่ทำอยู่ดี ถ้าไม่มีอะไรลนก้นเรา ก็หาข้อมูลไปก่อน สุดท้ายพอมันเริ่มเขียนจริงจังก็ใช้เวลาแค่อาทิตย์เดียว เพราะฉะนั้นแก้วไม่แบ่งเวลาเลย ใช้มันไปเรื่อยๆ อะไรที่มันต้องเสร็จ หรือมันเกิดขึ้นพรุ่งนี้ เราก็แค่ทำมันให้เสร็จเร็วที่สุดเท่าที่เราจะทำได้
ฟีลเหมือนต้องมีเดดไลน์จ่อ แต่เราก็ไม่ใช่รอมันจ่อขนาดนั้น มีเตรียมพร้อมระหว่างทางไปด้วย?
- คือแก้วรู้สึกว่ามันต้องทำแหละ เพราะ Thesis มันคือเรื่องใหญ่ของ ป.โท ถ้ามันไม่ดีก็ไม่ผ่าน แล้วด้วยความที่เรียนดนตรีตะวันตก ข้อมูลภาษาไทยมันก็ไม่มีเลย กว่าจะทำแต่ท่อนมันก็ต้องแปล ต้องหาข้อมูลเผื่อไว้ก่อน เขาเรียกว่ายังไงดี...แก้วเป็นคนชอบทำอะไรให้มันเสร็จทีละอย่างอ่ะ เช่น ถ้าทำบทที่ 1 ก็ต้องทำให้เสร็จก่อน ไม่สามารถข้ามไปทำบท 2 ได้
(ซึ่งก็ดีนี่นา)
จริงหรอ? แล้วแต่คนแหละ อันนี้วิธีเรา อย่างคนเห็นเราทำอะไรแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก เขาก็จะบอกเนี่ยๆ คือบุคลิกของคนเก่ง แต่ไม่ใช่ค่ะ มันคือคนประมาท55+ เป็นคนมั่นใจในตัวเอง ทำได้มาตลอดจนโต เลยคิดว่าสุดท้ายเราก็จะทำได้อยู่ดี
แปลว่าตอนเด็กๆ ก็ซ้อมดนตรีทีละเพลง?
- ช่าย ชอบให้มันจบค่ะ สมมติเพลงมี 10 หน้า จริงๆ เราสามารถซ้อมทั้งหมดได้เลย (แล้วแต่วิธีคนนั้นๆ) แต่แก้วต้องให้ได้ทีละหน้าก่อน หน้า1 ก่อนค่อยไปหน้า 2
แล้วเส้นทางใหม่นี้ให้อะไรกับเราบ้าง? คิดมาก่อนมั้ยว่าเราจะได้ทำอะไรเยอะขนาดนี้?
- ไม่มีอะไรที่อยู่ในแผนเลยค่ะ ยกเว้นการได้ร้องเพลงในร้านเหล้า ซึ่งศิลปินทุกวันนี้เขาก็ร้องกัน ต้องบอกว่ามันไม่ใช่แผนค่ะ แต่มันคือ “ความฝัน” อย่างตอนอยู่ BNK48 แก้วแค่ออกอัลบั้มเพื่อมีคอนเสิร์ตเดี่ยวเป็นของตัวเอง จบแค่นั้น ไม่ได้เอาเพลงเราไปร้องที่ไหน
เลยเป็นฝันถ้าเรามีเพลงก็จะได้ขึ้นเวที พอแก้วได้เห็นภาพตัวเองตอนไปขึ้นเวทีครั้งแรก แล้วเขาถ่ายลง X (ทวิตเตอร์) เราที่เข้าไปดูคลิปตัวเองก็รู้สึกได้ทันทีว่านี่แหละ “แก้วที่เป็นแก้ว” ที่เป็นตัวเองมากๆ แล้ว
คือไม่ใช่ว่าเราไม่ชอบตอนเป็น BNK48 นะคะ แค่การใส่ชุดแบบนั้น ร้องเพลงแนวนั้น มันยังไม่ใช่ตัวเราซะทีเดียว เวลาเราอยู่บนเวทีเลยอาจไม่ได้เอาความเป็นตัวเองออกมาขนาดนั้น แต่วันที่เราได้ร้องเพลงอะไรก็ได้ แต่งตัวยังไงก็ได้ โบกมือยังไงก็ได้ที่เราอยากทำ มันก็สนุกขึ้นเยอะเลยค่ะ นี่แหละภาพที่ฉันอยากเห็นตัวฉันเป็น
แปลว่าเราเป็นคน “Improvise (ด้นสด)” ปล่อยไปตามจังหวะชีวิตจริงๆ
- ใช่ค่ะ ฟีลมันจะ Flexible (ยืดหยุ่น) อ่อมันเป็นอย่างนี้ ละเราค่อยทำอย่างนี้ แต่สิ่งเดียวที่แก้ว Fix ตลอดคือ “ปลายทาง” เพราะเป็นคนไม่ค่อยสนใจระหว่างทาง สุดท้ายถ้าปลายทางมันเป็นแบบที่เราต้องการก็จบ
อย่างตอนเรียนเปียโน อ.ที่มหาวิทยาลัยบอกว่าการเล่นเปียโนสามารถสื่อสารความเป็นตัวเราออกมาได้ สมมติเราเป็นคนใจร้อน มันก็จะสื่อออกมาผ่านการเล่น อ. เลยทักว่าให้สนใจระหว่างทางบ้างนะ แบบจะจบอย่างเดียวเลย55+ เพราะหลักๆ แก้วไม่ค่อยละเอียดค่ะ คืออะไรก็ได้ที่จะทำให้ฉันได้สิ่งสุดท้ายที่คิดไว้ ระหว่างทางมันจะไม่ละเอียดหรือยังไงก็ช่าง ถ้าผลลัพธ์มันได้ก็จบ
อย่าง Thesis หรือเวลาอ่านหนังสือสอบ ทำยังไงก็ได้ให้ได้ A อ่ะ จะอ่านเยอะอ่านน้อยแต่ถ้ารู้ว่าจะทำข้อสอบได้ แก้วก็จะทำเท่านี้ (เท่าที่คิดว่าควรทำ) ไม่เป็นไร ก็ทำเท่าที่มันจบสิ เลยกลายเป็นคนไม่ละเอียด แค่ทำยังไงก็ได้ให้มันไปถึงก็พอ
(ชวนให้ผมนึกถึงการทำงานแบบ “Result Oriented” เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ปลายทางเป็นสำคัญ ระหว่างทางมันจะเป็นยังไงก็ให้เป็นเรื่องรองลงมา)
แต่ในความไม่ละเอียดนี้ก็รู้สึกได้ว่าแก้วมีความยืดหยุ่นข้างใน แม้ในเรื่องที่ควรเครียด ก็ไม่ได้ปล่อยตัวเองเครียดไปกับแบบขนาดนั้น กลับกันยังอาจรู้สึกสนุกกว่า เหมือนเล่นดนตรีแล้วด้นสดไปเรื่อยๆ เหมือนเวลาโชว์บนเวที
- ใช่ค่ะ รู้ตัวว่าเราซ้อมน้อยกว่าเพื่อนด้วยซ้ำ เวลาจะสอบจริงๆ เลยไม่ได้มั่นใจมาก แต่แก้วก็รู้ว่ามันจะเป็นวันหนึ่งที่ผ่านไปนี่แหละ ซึ่งสุดท้ายก่อนขึ้นเวที อ. มาพูดกับแก้วคำหนึ่งว่า “Enjoy นะ!”
พอเรากำลังจะเดินไปก็คิดตาม “ก็เราเป็นนักดนตรีนี่หว่า เราก็แค่ Enjoy ปะวะ!” จนกระทั่งพอขึ้นไปก็เล่นผิดเยอะจริงๆ 55+ แต่สุดท้ายเฮ้ยสนุกจัง ลืมคนดูไปหมดเลยอ่ะ สนุกมากเลย อะไรแบบนี้
กรรมการเขาก็บอกเฮ้ยเพลงนี้สนุกนะ เอ้อมันก็ใช่ไง เพราะเราเล่นด้วยความสนุกสุขใจ เขาเลยรู้สึกตามไปด้วย แยกกันกับเรื่องเล่นผิดนะคะที่เราไม่ได้ซ้อมมาเพียงพอ ก็เป็นคุณสมบัติของนักดนตรีที่จะต้องทำให้มันสนุกได้
(แนวคิดนี้จากแก้วทำให้ผมนึกถึงประโยค “The show must go on” ที่ไม่ว่าหน้างานศิลปินคนนั้นๆ จะผิดพลาดอะไรยังไง ขอเพียงคุมสติได้ แล้วไปต่อได้ ประคองโชว์และคนดูให้รู้สึกอิ่มในภาพรวมไปจนจบ นั่นก็เป็นการแสดงออกถึงกึ๋นและหัวจิตหัวใจที่กล้าแกร่ง พร้อมจะแก้สถานการณ์ให้ดีขึ้นจนสุดเท่าที่จะทำได้ ณ ขณะนั้น นั่นแหละ มืออาชีพที่แท้จริงแล้ว)
อย่างน้อยการเล่นผิด ก็ทำให้รู้ว่าเราจะทำยังไงต่อ?
- มันผิดเพราะตื่นเต้นมากกว่าค่ะ ไม่ใช่เพราะเราไม่รู้ จำโน้ตไม่ได้มาก่อน ยิ่งเวลามือสั่นๆ มันเลยควบคุมยาก ยังไงก็สนุกดีนะ (ยิ้ม)
ระหว่างทางที่ผ่านมา เรามี “Side Stories” ไหนที่ทัชใจที่สุดและยังไม่เคยบอก?
- อย่างเวลาไลฟ์ แก้วจะพูดหลายอย่างที่แก้วคิดเลย ค่อนข้างเป็นตัวเองกับแฟนคลับมากๆ รู้สึกสนิทกับเขา เพราะฉะนั้นก็จะไม่ค่อยมีเรื่องที่ไม่ได้เล่าหรอก แต่ถ้าถามว่าได้อะไรบ้าง? อย่างใน 6 ปีที่ผ่านมา แก้วได้รู้จักคนมากขึ้นเยอะเลยค่ะ ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีคนแบบนั้นแบบนี้ในโลก
การที่เราได้ทำงานกับคนเยอะ ยิ่งทำให้โลกเรากว้างขึ้นตามไปด้วย ได้เรียนรู้ว่าความเก่งมันไม่ได้ตัดสินทุกอย่าง คือตอนเด็กๆ แก้วเรียนได้ที่ 1-3 มาตลอดเลย ตอนนั้นก็คิดถ้าเราตั้งใจ ยังไงก็ต้องได้รางวัลหรือผลลัพธ์ที่ต้องการสิ เราเก่งก็จบ แต่พอเข้ามาอยู่ในโลกแห่งวงการบันเทิงตรงนี้ มันไม่ใช่แค่ความเก่งที่จะพาเราขึ้นไปได้ เพราะจริงๆ ยังมีอีกหลายปัจจัยเลย
ยิ่งเราทำงานกับ “ความชอบของคน” ที่ต้องแยกให้ออกว่าความเก่งมันคนละเรื่องกับความชอบนะ คือคนเขาไม่ได้จะชอบเราเพราะแค่เก่ง แต่ชอบแล้วค่อยมาดูว่าเก่งมั้ย แล้วมันวัดจากอะไรนะ? เอาจริงๆ ท้อมากเลย ช่วงแรกๆ ที่เราคิดไม่ได้ ต้องทำยังไงวะ ต้องเก่งกว่านี้? ต้องสวยกว่านี้? ต้องน่ารักกว่านี้เหรอ? แต่สุดท้ายก็เพราะมันไม่รู้นี่แหละ เลยทำไปเถอะ ทำอะไรก็ได้ที่เป็นเรา อะไรก็ได้ที่สบายใจ
เรียกว่าปรับตัวมั้ย? แก้ว “คิด” และ “คุย” กับตัวเองมากกว่าว่าเราควบคุมมันไม่ได้ เราเก่งหรือสวยกว่านี้แล้วไงอ่ะ? เพราะฉะนั้นก็ทำแบบที่เราอยากทำไปเถอะ คนชอบน้อยมั้ย? เออมันก็ทำได้เท่านี้ พอได้ทำงานกับคนเยอะๆ ก็ได้เห็นว่าอ๋อมันก็มีคนที่ชอบทำแบบนี้ คนที่รับแบบนี้ได้ จากนั้นค่อยเรียนรู้ที่จะแสดงออก ปรับตัวแตกต่างกันไปในแต่ละอย่างที่เราทำ แต่ละคนที่เราดีล อันนี้คือเรื่องยากเรื่องหนึ่งของแก้ว แต่สุดท้ายมันก็แก้ปัญหาได้ด้วยการคุยกับตัวเอง
อย่างเวลาขับรถ แก้วจะชอบมีคำถามให้ตัวเอง เช่นถ้ามีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นแล้วแก้วต้องทำยังไง? ก็แค่คิดและทำแบบนี้สิ พอคุยกับตัวเองบ่อยๆ มันก็สบายใจขึ้น ยิ่งถ้าบางเรื่องมันแก้ไม่ได้ก็แค่ทำใจ
ส่วนเรื่องที่ “ทัชใจที่สุด” คือการได้ “เพื่อน” ออกมาจากวงที่มีการแข่งขันสูงค่ะ สุดท้ายพอแข่งกันแล้วแบบเรายังรักกันจริงๆ ออกมาก็ยังอยากอยู่ด้วยกัน อันนี้ประทับใจมากว่าเราได้เพื่อนๆ ที่น่ารักเป็นเหมือนของขวัญที่ได้ออกมาจากการอยู่ใน BNK48
และก็ความเก่งต่างๆ ที่ฝึกมาเรื่อยๆ จนไม่น่าเชื่อว่าเราจะเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นนี้ได้ คือแก้วเป็นคนที่ไม่ฝันอะไรที่อยู่ไกลตัวค่ะ ตอนเด็กๆ ถ้าเล่นเปียโนไม่เก่งก็คงไม่ฝันอยากเป็นนักเปียโน ก็ต้องเก่งเป็นพื้นฐานมาก่อน ไม่ชอบทำอะไรที่ไม่เก่ง อย่างถ้าลองทำบางอย่างแล้วมันไม่ดี ไม่ชอบ ก็จะบอกตัวเองว่าไม่ชอบ อย่างทำอาหารนี่ทำไม่ได้ พอทำครั้งแรกไม่ได้ก็จะบอกตัวเองว่าไม่ชอบทำอาหาร
แต่ถ้าเล่นเปียโนครั้งแรกแล้วมันได้เลย โอเค แก้วชอบเล่นเปียโน ขับรถครั้งแรกแล้วได้เลย แก้วก็ชอบขับรถ หรือการเป็นนักร้อง ไม่เคยอยากเป็นมาก่อน เพราะรู้ตัวว่าร้องเพลงไม่ได้ จนวันหนึ่งที่เริ่มร้องเพลงดีขึ้น อยู่บนเวทีแล้วร้องออกไปได้ โอเค เราอยากเป็นนักร้อง มันค่อยอยากเป็นสิ่งนั้นทีหลังยังได้
พออยากเป็นนักร้อง ก็ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเราจะเดินทางมาถึงความ “อยากเป็น” นักร้องขึ้นมา เพราะตอนเด็กๆ ไม่เคยออกเสียงร้องเพลงเลยนะ คือทุกวันนี้แก้วยังไม่ร้องเพลงในห้องน้ำเลยอ่ะ ตั้งแต่เด็กไม่ทำ ชอบฟังแต่ไม่ชอบร้อง ก็เลยร้องเพลงไม่ได้มาตลอด จนมาทำได้ตอนอยู่ BNK48 ที่ค่อยๆ มาฝึกทีหลัง ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะอยากเป็นนักร้องได้ นับว่ามาไกลกว่าที่คิดไว้มากๆ
จากที่ฟัง เวลาแก้วจะตั้งเป้าหมายอะไรสักอย่าง แก้วจะตั้งไว้แบบให้เห็นทิศทางของมันก่อน เห็นภาพบางส่วนของมันก่อน ว่าเราจะไปถึงได้แน่ ไม่ลงทุนปล่อยเต็มตัวแล้วเจ็บฟรี ประมาณนั้นป่ะครับ?
- เหมือนพื้นฐาน ถ้าพูดแบบชมตัวเองก็คือเรียนรู้เร็วค่ะ พอเป็นอะไรที่เราเรียนรู้ช้าขึ้นมา เราจะหงุดหงิดง่าย ความพยายามต่ำอ่ะแบบว่า ไม่ใช่คนมานะ บากบั่น ต้องทำให้ได้ขนาดนั้น55+ ถ้าเรื่องนี้มันต้องใช้เวลามาก ก็อ่อมันแค่ไม่ใช่ ตัดทิ้งไปเลย
มองเป็นแง่ดีมากกว่านะ ว่าเป็นคนรู้ตัวเร็ว
- ก็ใช่ แต่เราก็จะไม่ได้หลากหลาย ไม่ได้ทำนู่นนี่เยอะ แบบบางทีขี้เกียจลองก็จะไม่ทำเลย55+
แต่ช่วงที่ผ่านมาก็ได้ลองอะไรหลายอย่างเลยจากที่พี่ดู?
- เช่นอะไรบ้างคะที่พี่ดู?
ก็อย่างการได้มาเป็นนักร้องกลางคืน / อินฟลูท่านหนึ่ง และอื่นๆ ดูแก้วกำลังสนุก
- คือมันสนุกเพราะว่าเราไม่ได้สัมผัส “อิสระ” แบบนี้มานานแล้ว แบบเราพยายามจะออกไปไหนมาได้คนเดียว พยายามจะบอกตัวเองว่ามันไม่มีกฎแล้วนะ คือแก้วก็ไม่ใช่คนทำอะไรแหกกฎหรอกค่ะ แต่พอทำมานานๆ เราอึดอัดแต่เราไม่รู้ตัว เราคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติแต่มันไม่ปกติ เช่น เราอยากออกไปเที่ยว ก็ต้องบอกตัวเองว่าจริงๆ เราไม่ใช่คนชอบเที่ยว
ซึ่งความจริงมันคือออกไปไม่ได้ไง เลยพยายามบอกตัวเองแบบนั้น เพราะไม่เคยได้ไปลอง หลอกตัวเองว่าไม่ได้อึดอัด แต่จริงๆ เราอึดอัด พอแกรดมาก็เลยบอกตัวเองว่าทำเลยสิ มันไม่มีอะไรห้ามแล้วนิ ก็ทำไปเลย บางทีเราแค่เคยชินกับอะไรเก่าๆ มันเลยสนุกที่ได้พยายามออกไปเจอคนนู้นคนนี้ด้วยตัวเองบ้างแล้ว ซึ่งปกติถ้าใครชวนไปไหนต้องหาเพื่อนไป และต้องเป็นเพื่อนสนิทเราด้วยนะ ด้วยความที่เราไม่กล้าออกไปกินข้าวกับคนที่ยังไม่สนิทกัน แล้วจะมาคิดว่าต้องคุยอะไรดีวะ? เลยต้องเอาเพื่อนไป ซึ่งตอนนี้เราก็พยายามออกไปเจอคนใหม่ๆ มากขึ้น
เหมือนเราพยายามทลายกรอบ “Introvert” ของตัวเองด้วย?
- ใช่ๆๆ ไม่งั้นแก้วทำงานยากมากเลย มันจะโคตรไม่สนุก อย่างบางงานไปกับพี่ทีมงานแล้วต้องเจอคนเยอะ แก้วก็บอกพี่เขาว่าพี่! แก้วอยากกลับบ้าน ไม่ไหวแล้ว มันไม่อยากอยู่แล้วอ่ะ ไม่เอา อึดอัด เสร็จแล้วเหรอ อ่อๆ เรากลับบ้านกันเถอะ ก็เลยพยายามบอกตัวเองว่า “ทักคนใหม่ๆ บ้างสิ” ลองทำดู พอได้ลองทำมันก็ไม่ได้แย่ แค่ต้องใช้ความพยายามจริงๆ
###
บทที่ 2:
Melody of Life
ท่วงทำนองที่แตกต่าง
ถ้าให้นิยามชีวิตตัวเองตอนนี้เป็นแนวเพลงสักแนว คิดว่ากำลังเล่นเพลงแบบไหนอยู่?
- คือถ้าให้พูดจริงๆ ช่วงนี้มันก็คงเป็นช่วงพักที่สุดของเราแล้วค่ะ หลังจากที่ไม่เคยกล้าแม้แต่จะลางานมาตลอด 6 ปี แก้วลาแค่ครั้งเดียวตอนไปไต้หวันกับโมบายล์ เป็นครั้งเดียวที่พิมพ์คำว่า “Day Off” ลงไปในปฏิทินว่าขอพัก
เมื่อก่อนเราไม่หยุดทำงานจริงๆ ยกเว้นมันมีช่วงหยุดยาว 3 วันก็เฮ้ยเพื่อน ไปเที่ยวกันมั้ย? ช่วงนี้เลยเป็นช่วงพักที่สุดจริงๆ เพราะก็เพิ่งเรียนจบด้วยมา 2 วันถ้วน55+ ดนตรีในชีวิตช่วงนี้ก็คงเป็นจังหวะที่มันผ่อนคลายมากที่สุดแล้ว เป็นเพลงป๊อบจังหวะปานกลาง Bossa เบาๆ
แต่เราก็สนุกไปกับจังหวะโยกเบาๆ ตรงนี้?
- ช่าย เป็นช่วงที่สนุกดีค่ะ
ซึ่งพี่ว่าดีนะ เพราะแก้ว Productive มาตลอดเลย แต่ตอนนี้มันเหมือนมี “ช่องว่าง” ในชีวิตมากขึ้น
- อ๋าใช่ค่ะ ถ้าปีหน้าแก้วได้ทำอะไรมากขึ้นหลังหมดสัญญา มันอาจจะเป็นช่วงที่เรา Active ตัวเองกว่านี้ก็ได้ ช่วงนี้เลยเป็นการพักหลังเดินทางมานานตลอด 6 ปี ซึ่งจริงๆ พวกเรา (เมมเบอร์)
ทุกคนใน BNK48 รักวง รักการทำงานมากๆ คือถ้าให้เลือกเรียนกับวง ทุกคนเลือกวงอ่ะ ทุกคนลาเรียน ดร็อปเรียนมาเพื่อวง มันแทบจะเป็นทั้งหมดของชีวิตเราแล้วค่ะ เลยไม่รู้สึกว่าต้องลาไปทำอย่างอื่น อะไรที่เขามีมาให้เราก็ทำ เหมือนทำงานไปด้วย ได้อยู่กับครอบครัวไปด้วย เหมือนเป็นจังหวะที่ “สนุกคนละแบบ”
แก้วรับงานหลายแบบเลย ทั้งสกินในเกม, อินฟลู, Youtuber ฯลฯ เลยมาคิดเล่นๆ ว่าถ้าพี่เป็นแบรนด์sลูกค้าสักเจ้า แก้วจะวาง “Brand Positioning” หรือจุดยืน ตัวตนแบรนด์ตัวเองยังไง? อยากให้ตลาดมองเราแบบไหน?
- โหย ยากอ่ะ55+ อย่างเกณฑ์ในการเลือกรับงานก็จะแล้วแต่ทาง ผจก. ด้วย เขาก็จะมีแบบประเภทงานที่ยังไม่อยากให้ทำตอนนี้ ซึ่งหลายครั้งเขาก็จะมาถามเราก่อนว่าอยากทำมั้ย? ถ้าใจเราชอบ ไม่ติด เขาก็โอเคตามหมด อันนี้ก็เลือกเองได้ ส่วน Brand Positioning ที่แก้วอยากเป็นจริงๆ
ก็คงเป็น “นักร้อง” + “อินฟลูฯ” ละกันค่ะ เพราะส่วนอื่นๆ เช่นงานแสดง ถึงอยากทำแค่ไหน แต่ตอนนี้เรายังไม่มีงานที่เราได้ทำ เลยไม่สามารถพูดได้ว่าจะไปทางนั้น ยังไม่เจอจุดที่ชอบ เคยลองแสดงแล้วใช่มั้ย แต่พออยู่หน้ากล้องแล้ว หื้มมม…ชอบอยู่บนเวทีมากกว่า นักร้อง + อินฟลูนี่แหละ สองอย่างนี้
แต่ละงานก็มี Challenge ต่างกันไป เรามีวิธีวางตัวยังไงให้ตอบโจทย์กับมันมากที่สุด?
- แก้วไม่ได้มีวิธีดีลอะไรกับตัวเองเลยค่ะ ยกเว้นแบบ ผกก. โอเคเราก็โอเค อย่างการเป็นสกินเกม ด้วยความที่เราไม่ได้เป็นคนเล่นเกม ก็จะไม่ได้มีภาพในหัวว่าโอเค งานนี้ฉันต้องออกมาแบบนี้ ถ้าเขาบอกให้ทำแบบนี้เราก็ทำ แต่เวลาเราไปทำงานกับใครหลายคน แก้วมักจะเชื่อ “คนที่เก่งกว่า”
อย่างถ้าแต่งตัวออกมาละ ก็จะเชื่อพี่ Stylist ว่าอันไหนดีกว่า ถ้าเขาเลือกอันนี้อ่ะแก้วเชื่อ หรือถ้างานโปรดักชั่น เวลาคุยกับ ผกก. ก็จะแบบพี่ชอบมั้ยล่ะคะ? ถ้าพี่ชอบงานนี้ หนูก็ชอบ อะไรที่เขาคิดว่ามันดีแล้วและไม่ได้ขัดตาเราจนเกินไปก็ตามนั้นเลย
เช่น ตอนร้องเพลง โปรดิวเซอร์บอกว่าได้แล้ว ถ้าฟังแล้วไม่ได้รู้สึกว่าหู้ววว เราน่าจะทำได้ดีกว่านี้อีก แก้วก็จะไม่ได้โต้แย้งอะไรไป ยกเว้นมันจะมีเทคนิคที่แบบแก้วว่าแก้วทำได้ดีกว่านี้ ก็จะเสนอกลับไปบ้าง ฉะนั้นเราจึงฟังคนมีประสบการณ์มากกว่าเสมอ เพราะคนที่จะรู้ว่ามันดีคือเขากับลูกค้าเท่านั้น แล้วแต่มากกว่า
ดีนะ เราเป็นน้ำครึ่งแก้วแบบนี้ ก็แปลว่าไม่ถึงขั้นต้องลงรายละเอียดมาก ไม่ต้องดูว่าตัวละครเจ้าแม่กาลีว่าเป็นยังไง
- โอ้ววไม่เลยค่ะ แก้วเชื่อว่าส่วนหนึ่งเขาก็น่าจะเห็นอะไรบางอย่างในตัวเราแหละ เลยเลือกมาทำงานนั้นๆ แล้วแต่ว่าเขาจะต้องการแบบไหน
อย่างที่แก้วบอกพี่น่ะแหละว่าระหว่างทางมันไม่เป็นไรหรอก ถ้าผลลัพธ์มันได้ก็จบ
- ช่ายย ถ้าระหว่างทางมันเหนื่อยกว่า แล้วผลลัพธ์มันได้เท่ากัน แล้วเราจะเหนื่อยกว่าทำไม เราก็ไปทำอันที่มันไม่เหนื่อยหรือเหนื่อยน้อยกว่าสิ55+ แต่มันเลยกลายเป็นนิสัยไม่ดีไงคะพี่แคน แก้วเป็นคนที่ไม่ค่อยทุ่มเทอ่ะ
แก้วว่ามันเป็นข้อเสียนะ อย่างที่ไปแฟนมีตโมบายล์ เห็นน้องซ้อมเยอะมากก แล้วพอมองกลับมาที่เราคือเป็นคนไม่ซ้อมอ่ะ เพราะมองว่าถ้าซ้อมแล้วสุดท้ายวันจริงเราน่าจะได้ประมาณไหน ก็เลยทำเท่าที่เราทำดีกว่า มันเลยเป็นข้อเสียของการไม่ค่อยทุ่มเทกับอะไรเท่าไหร่
อารมณ์คล้ายเวลาเรียนป่ะ ถ้าเราตั้งใจเรียนในห้องมากพอ ตอนสอบก็ไม่ต้องตะบี้ตะบันอ่าน?
- ใช่ แก้วไม่เคยอ่านหนังสือสอบเลย อย่างตอนมหาลัย แก้วจะมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่ทำตามวิธีเรา กลายเป็นเขาตกคนเดียว ดังนั้นวิธีการใคร วิธีการมันจริงๆ ก็เราเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว แก้ยาก55+
แล้วพอมาเรียน ป.โท มันมีจุดหนึ่งที่เราเกลียดตัวเองขึ้นมาค่ะ พอมาค้นพบนิสัยตรงนี้ก็ได้แต่ถามตัวเองกลับไป เมื่อไหร่จะเลิกนิสัยแบบนี้ว้า ทำไมวะแก้ว คือระหว่างทำไปด้วยมันก็สนุกแหละ เพราะแก้วชอบเรียนหนังสือค่ะก็เลยเรียน ป.โท ต่ออีก มันสนุกเวลาได้เห็นตัวเองเขียนออกมาดี เรามีความรู้นะ แต่มันก็หงุดหงิดตัวเอง เนี่ยถ้าเริ่มตั้งนานก่อนหน้านี้ ก็คงไม่ต้องเป็นอย่างนี้หรอก เออทำไมเราต้องเป็นอย่างนี้นะ เรียน ป.เอก ต่อจะแก้ได้มั้ยนะ? 555+ ก็มาคิดว่าจะมีจุดไหนในชีวิตที่ทำให้เราเลิกเป็นคนแบบนี้ได้บ้าง
เหมือนมีแก้วสองคนที่เถียงกับตัวเองตลอดเวลา?
- ใช่ๆๆ เป็นคนย้อนแย้งหลายอย่างค่ะ หนูเป็นคนอะไรก็ไม่รู้
มุมหนึ่งเรามองตัวเองเชื่อมั่น อีกมุมก็ดูประมาท-ขี้เกียจ?
- เพราะเราเชื่อมั่นค่ะ เราเลยประมาท เป็นเรื่องเดียวกันเลย เพราะรู้ว่าเราจะทำได้ในที่สุด เลยประมาทกับมันอยู่ทุกครั้ง เพื่อนก็ด่าค่ะ ถ้าทำแต่เนิ่นๆ มันก็ไม่ต้องมาเครียดไง ไอ้เราก็คิดว่าเอ้า ถ้าทำแต่แรก มันก็เครียดมาแต่แรกจนจบสิ เครียดทีเดียวดีกว่า5555+ คือมันอาจจะไม่ใช่ 100% ของทุกครั้ง แต่ที่เชื่อมั่นเพราะมันเป็น 100% ของแก้วไง
ซึ่งบางทีก็คิดว่าถ้าครั้งนี้มันเกิดไม่ได้ผลเหมือนครั้งที่ผ่านมา มันเลยเป็นความประมาทที่ไม่มีอะไรแน่นอนกับตอนนั้นได้ แล้วถ้าครั้งนี้มันไม่สำเร็จล่ะ? มันเป็นความเสี่ยง
เคยมี Accident เข้ามาทำให้ “อาจจะ” ไม่สำเร็จบ้างมั้ย?
- อย่างการทำ Thesis มันต้องมีการ Generate เข้าระบบ แล้วแก้วไม่เก่งเทคโนโลยีเลยค่ะพี่แคน ต้องโทรถามเพื่อนทุกครั้ง เฮ้ยทำไงวะไรงี้ แล้วมีครั้งหนึ่งที่ทำเกือบเสร็จแล้วค่ะ พอกด Generate เข้าระบบไป ปรากฏว่าข้อมูลมันหายไปหมด แก้วเลยบอกฉิบหายละ ไม่ได้นอน 3 วัน ร้องไห้ไม่ออก ตัวชาๆ ต้องทำไงวะ กู้ข้อมูลเหรอ? ไอ้เราก็เก่งคอมมากซะด้วย ทีนี้ก็ลำบาก ก็ว้าวุ่นเลย
ก็ต้องโหลดแอปฯ กู้ข้อมูล แล้วบอกอาจารย์ว่า “อาจารย์คะ ข้อมูลมันหายค่ะ หนูกดอันนี้แล้วมันหายไปเลย” ซึ่งก็เป็นความโชคดีของแก้วที่อาจารย์ในคณะเขาเมตตาเรามาก พยายามทำอย่างนี้สิบลาๆๆ โอเคจะส่งภายในคืนนี้ค่ะ ไม่ได้กินข้าว ไม่ได้ทำอะไรเลย จนเสร็จทันตอนกลางคืน ระหว่างทางตรงนี้เลยทำให้เราเป็นคนแข็งแกร่งมาก555+ และข้อเสียอีกอย่างของแก้วคือ เป็นคนไม่ค่อย Appreciate หรือชื่นชมตัวเองมาก
เพราะแก้วทำได้ด้วยอะไรก็ตามที่ไม่ได้ยากขนาดนั้น อย่างตอนแก้วทำคอนเสิร์ตเดี่ยวตัวเองเสร็จ ทุกคนก็จะชมว่าเก่งมากๆ แก้วก็มาถามตัวเองว่าเก่งเหรอวะ? ก็ปกติ มันต้องทำได้อยู่แล้วป่ะ หรือเรียนได้ที่ 1 มันก็ต้องได้อยู่แล้วป่ะ? เลยไม่ค่อยชมตัวเองเท่าไหร่ แต่เรื่องที่กู้ข้อมูลได้นี่แหละค่ะที่ต้องบอกตัวเองว่า “แก้ว แกเก่งมากก!!” 5555 มันเป็นครั้งที่ชมตัวเอง ว่าทำได้ไงวะ ด้วยความที่เราไม่เก่งคอมมาก่อน พอทำได้มันเลยขอหน่อย
แฟนคลับก็ชอบพิมพ์ใน X ว่า “ชมตัวเองเยอะๆ นะ” ซึ่งก่อนนี้เราไม่เก็ทเลยว่าจะชมตัวเองทำไม แต่พอวันที่เราท้อแท้ขึ้นมา เลยมาฉุกคิดได้ว่าเออเราไม่เคยชมตัวเองเลยนี่หว่า พอได้ลองดูก็เออรู้สึกดีนะ
แล้วมีแอบคิดบ้างมั้ยว่าครั้งหน้าอาจไม่ได้โชคดีแบบนี้?
- คิดดด (เสียงหนักแน่น) ก็เคสนี้เลยค่ะที่ทำให้คิด
ก็แปลว่าครั้งหน้าอาจมีการเจอกันครึ่งทางมากขึ้น เตรียมล่วงหน้ามากขึ้นรึเปล่าครับ?
- จะพยายามค่ะ : )
แล้วงานร้องเพลงประกอบเว็บตูนฯ ล่ะ?
- อันนี้ก็ไม่ได้อ่านมาก่อนเหมือนกันค่ะ แก้วเป็นคนไม่อ่านการ์ตูน จริงๆ ไม่อ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก ทั้งหนังสือเรียน การ์ตูน หรือนิยายก็ไม่อ่าน ไม่ชอบอ่านหนังสือเลย เพิ่งมาชอบปีที่แล้วนี่เอง แล้วนี่ยิ่งเป็นเว็บตูนยิ่งแล้วไปอีก แต่ด้วยความที่พี่นักเขียนเขาบอกเราว่าคาแรกเตอร์ตัวละครนี้ มันคล้ายเราอยู่แล้วนะ เลยเข้าไปค้นนิดหน่อยว่าเขาเป็นใคร เป็นยังไง นอกนั้นก็ให้เขาเล่าให้ฟัง เลยเข้าใจในภาพรวมว่าอันนี้ประมาณนี้นะ
รู้สึกยังไงที่คาแรกเตอร์เราเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดตัวละคร?
- 55 อันนี้เขินจริง อย่างคาแรกเตอร์ตัวละครนี้เขาเป็นคนหยิ่งๆ ปากไม่ตรงกับใจ ก็แบบ…เอ้ยเราเป็นคนอย่างนั้นเหรอ? ก็ทั้งเขินและดีใจที่บางอย่างในตัวเรามันมีแรงผลักและดึงดูดมากพอไปจุดประกายให้ความคิดพี่เขา ดีใจที่มีคนสังเกตเห็นสิ่งนั้นในตัวเราค่ะ
เหมือนที่แก้วหรือแฟนคลับเคยบอกป่ะว่าเราเป็นคนซึนๆ?
- แก้วไม่ใช่คนซึนนะ แต่เป็นคนยังไงน้า…(คิด) ถ้าแก้วรู้สึกจะพูดอยู่แล้วแต่ว่าแก้วเป็นคน…5555 ซึนมั้ยเหรอ? ก็ไม่เชิง ก็จะคล้ายๆ ในเพลง “'รัก You First ;)” ว่าเราเป็นคนไม่ชอบเริ่มก่อน แค่ต้องการความแน่ใจบางอย่างถึงจะทำมันออกไป
ดูผลงานร้องเพลงประกอบการ์ตูน “Girls Love Webtoon” ได้ตามนี้เลย 👉
ฟีลเดียวกับเพลง “จากคนที่ไม่คิดถึงเธอ” ที่เราเคยแต่งด้วยป่ะ?
- เอ้อ เพลงนี้มันมาจากอะไรน้า? อ่อ ตอนนั้นเราเล่นกับแฟนคลับ เวลาเขาถามว่าคิดถึงมั้ย เราก็อืมมม…ไม่ค่อยอ่ะ รักมั้ย? ก็…อื้มมมม เลยเอาอินไซต์นี้มาแต่งเป็นเพลง แล้วก็มีโอกาสแต่งต่ออีกมั้ย? (แอบชำเลืองมองคำถามข้อต่อไป)
55555 พี่อยากถามข้อนี้มานานแล้วน่ะ
- จริงๆ แก้วลองแต่งท่อน Verse ต่อแล้วนะ แต่แก้วยังไม่ค่อยชอบค่ะ ก็เลยคิดว่าถ้าวันหนึ่งเราว่างพอที่จะมานั่งแล้วหาบางอย่างที่ชอบได้ เราก็คงจะทำมันต่อให้เสร็จ เพราะอะไรที่ยังไม่ชอบ แก้วจะไม่เอาออกมา อยากให้ทุกคนได้ฟังสิ่งที่เราเองก็ชอบมาก่อนดีกว่า
ซึ่งก็ยังไม่รู้เมื่อไหร่?
- ยังไม่รู้เมื่อไหร่ค่ะ แต่พอเรียนจบแล้วก็รู้สึกว่ามีหลายสิ่งในหัวที่อยากทำอีกเยอะ แก้วนั่งอยู่กับ “GarageBand (โปรแกรมทำดนตรี)” ได้เป็นหลาย ชม. เลย หรือไปนอนอ่านหนังสือ มีอีกหลายอย่างที่อยากทำตอนสบายใจ คือเป็นคนทำหลายอย่างไม่ได้ค่ะพี่แคน
แบบตอนทำ Thesis ใจเราก็อยู่กับมันระดับหนึ่งละ ถ้าเปลี่ยนไปออกกำลังกาย เดินเล่น หรือเดินเล่นนี่เสียเวลาละ แต่จริงๆ คือนอนอืดเฉยๆ นะ55+ ที่จะสื่อคือเวลาได้โฟกัสอะไร แก้วจะทำหลายอย่างไม่ได้ค่ะ ต้องรออย่างหนึ่งเสร็จก่อน ใจเราถึงจะผ่อนคลายที่จะทำอย่างอื่นต่อ
เข้าแก๊ปคนสมัยนี้ที่ Productive จัด พอไม่ได้ทำอะไรขึ้นมาก็รู้สึกผิดปะ?
- รู้สึกค่ะ
เนอะ เหมือนแก้วกำลังบอกพี่ว่าการพักบ้างมันไม่ได้ผิดเลย เราควรปล่อยเวลาให้ได้อยู่กับตัวเองบ้าง แล้วนี่ยังต่อเลโก้อยู่มั้ยครับ?
- อุ๊ยยย ไม่ได้ต่อนานมาก เพราะเวลาต่อ แก้วต่อเป็นวัน เพราะพอเริ่มแล้วมันต้องเสร็จ อย่างเลโก้ ระบายสี ก็เป็นกิจกรรมที่ใช้เวลาด้วยได้หลาย ชม.
กลับมาที่เรื่องงาน พอเราต้องเปลี่ยนรูปแบบโชว์จากกลางวันมากลางคืน ต้องปรับตัวเยอะมั้ยเอ่ย? อย่างการร้องเพลงในผับบาร์ มีวิธีรับมือกับอะไรที่ “ไม่น่ารัก” บ้าง? อย่างที่พี่ๆ ศิลปินเคยเจอมาก่อน
- จริงๆ แก้วยังไม่เคยเจอหรอก เพราะคนที่ไปดูตอนนี้เป็นแฟนคลับ เวลาเปิดจองโต๊ะ คนที่กดมาก็แฟนๆ เราทั้งนั้น ซึ่งพวกเขาน่ารัก อย่างเมื่อก่อนก็เคยรู้สึกว่ากฎห้ามถ่ายรูปนี่มันลำบากนะ
แต่ก็ต้องขอบคุณกฎนี้ที่ช่วยหล่อหลอมบรรดาแฟนคลับที่ติดตามเรามาตลอด เขาจะน่ารัก ให้พื้นที่ และให้เกียรติเรามากๆ ไม่โดนตัวกันเลย ส่วนการปรับตัวก็จะเป็นในแง่ของการทำงานคนเดียว ที่เราต้องคุยกับคนมากขึ้น ต้องรับผิดชอบและต้องละเอียดขึ้น อย่างการร้องเพลงที่เมื่อก่อนเราอาจจะร้องแค่ 1-2 ท่อน เนื้ออาจจะพอกล้อมแกล้มไปได้ แต่พอต้องร้องคนเดียว ก็ต้องรับผิดชอบทั้งหมด พอเปิดไมค์มาก็ต้องชัวร์ว่าได้ทุกท่อน
ก่อนหน้านี้เราก็ได้ลองฟีลนี้ไปแล้วในคอนเสิร์ตเดี่ยว?
- ใช่ๆๆ แต่ร้องเพลงกลางคืนต้องนอนเร็ว เพราะการพักผ่อนสำคัญมากสำหรับนักร้องค่ะ บางวันเคยไม่นอน พอลองร้องออกไป เสียงแหกมากเลย ก็ต้องปรับมาพักให้พอ แต่เวลาออกมากลางคืนงี้มันจะขี้เกียจนิดหนึ่งอ่ะพี่แคน ถ้าเราตื่นไปทำงานเช้ามันก็ปกติ
กลับกันพอเป็น 2 ทุ่ม ตอนนั่งรถออกมาก็คิด “มันไม่ใช่เวลาทำงานปะว้าา” เคยเป็นมั้ยคะพอตกเย็นๆ แล้วเราจะรู้สึกเศร้า? (เคยๆ เป็นบ่อย) นั่นแหละ มันเป็นอย่างนั้นเลย พอเริ่มเย็น พระอาทิตย์เริ่มตก มันก็จะเศร้า ไม่ใช่ฟีลที่อยากไปทำงาน จนต้องพยายาม Active ตัวเองมากขึ้น หรือบางครั้งขึ้นเวทีตอน 4 ทุ่มครึ่งเรายังต้อง “สวัสดีค่าาา!! (เสียงปลุกใจ)” นี่ก็เป็นอะไรที่ต้องปรับตัว
แต่ก็เริ่มชินระดับหนึ่งแล้วเนอะ?
- อืมม จริงๆ ยังไม่ได้ไปร้องบ่อยขนาดนั้นค่ะ
อยากลองอะไรใหม่ๆ อีกมั้ย? หรืออยากไป Feat. กับศิลปินท่านไหน?
- จริงๆ แก้วชอบเล่น MV ค่ะ (อ๋า อยากก่อนหน้านี้ก็ “รักเธอเท่าที่เธอไม่รัก (0%) ของแบมแบม) ใช่ๆ คือถ้าเป็นการแสดงแบบต้องพูดบทเราจะเกร็ง แต่ MV มันเป็นการสื่อสารแบบที่เราไม่ต้องพูดเยอะเลยชอบแนวนี้มากกว่า นับว่างานแสดงนี่แหละค่ะที่สนใจ
เพราะตอนเล่นไทบ้านฯ ตอนนั้นเรายังไม่ได้แสดงเลย แค่เป็นแก้วที่ไปใช้ชีวิตหน้ากล้องมากกว่า ยังไม่เคยมีโอกาสสวมบทบาทเป็นใครสักคน
ส่วนคำถามว่าอยากไป Feat. กับศิลปินท่านไหนบ้าง? อันนี้ไม่มีนะคะ ไม่ได้มีศิลปินในดวงใจหรือไอดอลขนาดนั้น ถ้ามีใครถามข้อนี้จะตอบไม่ได้เพราะไม่มี เป็นคนใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ค่ะ ไม่ได้อยากเป็นแบบนั้นแบบนี้
ก่อนหน้านี้ก็มีได้ร่วมงานกับ “พี่ว่าน ธนกฤต / Txrbo” ในคอนเสิร์ตเดี่ยวเรา
- อันนั้นเขาให้เลือก Guest เองค่ะ เลยพยายามเลือกคนที่เราเคยทำงานด้วย ถ้าได้กลับมาจอยกันใหม่ก็น่าจะเพิ่มความสนิทมากขึ้น อย่าง Txrbo ก็เคยร่วมงานกันในเพลง “ไม่คิดไม่ไหว” ต้องเชิญมาร่วมงานด้วย พี่ว่านก็เคยเจอ แต่รู้สึกยังไม่เคยร้องเพลงด้วยกัน เลยชวนมาสักหน่อย
เสียดายพี่ไม่ได้ไปคอนเดี่ยวเราครั้งที่ 2 แต่ครั้งแรกไปนะ
- โอ้ว ไป “A Passage to Fly” ด้วยเหรอคะ แก้วร้องเพลงเก่งขึ้นมะ?
เก่งขึ้นๆ อันนี้จริงๆ รู้สึกว่าเราคุมสเตจอยู่ตั้งแต่ตอนนั้น เหมือนชิมลางการโชว์แบบละครเวทีไปในตัว
- อ๋อใช่ๆ อันนั้นจะเป็นฟีลละครเวทีมากกว่า
จะร้องไห้ตาม ตอนเพลง “ส่งแค่นี้”
- อ๋อ ตอนโทรหาพ่อ อันนั้นร้องไห้จริง แต่ถ้าเทียบกับคอนแรกที่เป็นสเตจให้เรากล้าลองร้องเพลงคนเดียว (จากปกติที่ไม่กล้า) แก้วชอบคอนที่สองมากกว่าค่ะ ดูเราเป็นศิลปินมากกว่า คือไม่น่าเชื่อว่าวันนี้จะร้องเพลงได้จริงๆ อ่ะพี่แคน สุดยอดมากเลยอ่ะ
เพราะตอนแรกที่เข้า BNK48 แล้วเขาให้อ้าปากปุ๊บ เสียงสั่นปั๊บ จำได้เพลงแรกร้อง “365 วันกับเครื่องบินกระดาษ” ตอนนั้นคุมโน้ตให้ปกติยังไม่ได้ มันสั่นมาก จากวันนั้นยังไม่เชื่อเลยว่ามันดีขึ้นได้ยังไงวะ (มันหล่อหลอมเรามาเรื่อยๆ แหละเนอะ วันหนึ่งก็ทำได้เองโดยธรรมชาติ)
###
โฆษณา