17 พ.ย. 2023 เวลา 04:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

The Hunger Games: The Ballad of Songbirds and Snakes (2023) – ลำนำบทแรกของเกมล่าชีวิต

ครั้งหนึ่ง ซูซาน คอลลินส์ เคยสร้างวรรณกรรมวัยรุ่นชุดหนึ่ง ที่ถ่ายทอดความโหดร้ายของระบบการเมืองกดขี่ ผ่านการต่อสู้ในสนามประลองและเป็นที่มาของ “สาวน้อยผู้มากับไฟ” อย่างแคตนิส ที่กลายเป็นไฟโหมกระหน่ำลุกลามจนเป็นการปฏิวัติ จนมาครั้งนี้ คอลลินส์ ตีพิมพ์วรรณกรรมชุดใหม่ ที่พาเราย้อนกลับไปในช่วงแรกของพาเน็ม ผ่านสายตาของสโนว์ในวัยหนุ่ม อย่าง The Hunger Games: The Ballad of Songbirds and Snakes
The Hunger Games: The Ballad of Songbirds and Snakes เล่าเรื่องปฐมกาลของพาเน็ม หลังภาวะสงครามกลางเมือง คอริโอเลนัส สโนว์ ในวัยหนุ่ม ผู้เติบโตมาอย่างทุกข์ยาก และพร่ำศึกษาในอะเคดามี่เพื่อชิงทุน ได้ถูกรับเลือกให้กลายเป็นพี่เลี้ยงของบรรณาการเขต 12 อย่าง ลูซี่ เกรย์ แบร์ด ในเกมล่าชีวิตปีที่ 10 ขณะที่ทุกอย่างดูไม่เอื้อให้ลูซี่ ชนะ เขาจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เขาและลูซี่ได้ชนะ เพื่อกลับมาเกรียงไกรสมฐานะตระกูลสโนว์อีกครั้ง
ตัวหนัง เริ่มต้นด้วยการพาเราได้ขยับเข้าไปในใจกลางของพาเน็ม ผ่านสายตาของสโนว์นับตั้งแต่วัยเด็ก ที่ได้เห็นการเอาตัวรอดในสงครามด้วยตาของตนเอง ตะเกียกตะกายกลายเป็นนักเรียนดีเด่น และจับพลัดจับพลู เข้าไปใกล้ชิดกับกิจกรรมอันอำมหิตอย่าง เกมล่าชีวิตครั้งที่ 10 ตัวหนังมีการแบ่งองก์ผ่านการตั้งชื่อชัดเจน โดยที่เนื้อหาในแต่ละช่วงบอกเล่าถึงเส้นทางของสโนว์ ที่แต่ละส่วนล้วนพลิกผัน แต่ก็ทำให้เราเห็นมิติความซับซ้อนของตัวสโนว์ได้ชัดเจน
ด้วยความที่เป็นหนังภาคต้น ผลลัพธ์ปลายทาง จึงเป็นสิ่งที่อยู่ในใจของคนที่ตามแฟรนไชส์เกมล่าเกมมาทั้ง 4 ภาคอย่างเลี่ยงไม่ได้ ว่าท้ายที่สุด สโนว์ ซึ่งเป็นตัวเอกของภาคนี้ ต้องกลายมาเป็นประธานาธิบดีเผด็จการของพาเน็ม ผู้ชั่วร้ายและอำมหิตในอนาคต ความยากลำบากที่สุดของการถ่ายทอดแง่มุมเรื่องราวนี้ คือการฉายภาพมิติตัวละครของคอริโอเลนัส สโนว์ ในแง่ที่เราไม่จำเป็นตัวเข้าข้าง แต่เพียงทำให้เราเข้าใจว่า เพราะสภาพแวดล้อมหรือสถานการณ์ไหน ที่ทำให้เขากลายมา สโนว์ ดั่งที่เรารู้จัก
ซึ่งตัวหนัง ก็ใช้เวลาร่วม 158 นาที ในการฉายภาพความลำบากของสโนว์ จากการเติบโตในเมืองหลวง ซึ่งเพิ่งฟื้นฟูหลังผ่านพ้นสงครามกลางเมือง ด้วยสถานภาพที่ไม่ได้อัตคัต แต่ก็ไม่ได้สะดวกสบายนัก ถ้าเทียบกับฐานันดรที่สโนว์เคยมีก่อนสิ้นสงคราม นั่นทำให้ สโนว์ มีเป้าหมายใหญ่สุด คือการคืนเกียรติอันสูงส่งให้ตระกูลเขา ในฐานะลูกชายคนเดียวของตระกูล และจากจุดนี้เอง รางวัลที่เขาหมายปอง ก็นำพาไปสู่การพานพบ และเป็นพี่เลี้ยงให้กับ ลูซี่ เกรย์ แบร์ด หญิงสาวผู้มาพร้อมเสียงจากเขต 12
ค้นพบว่า ตัวหนังออกแบบและเล่าสเกลของโลกพาเน็มได้น่าสนใจมากขึ้น ยิ่งตัวหนังพาเราไปคลุกวงในถึงใจกลาง ทำให้เราได้เห็นซึ่งความเลือดเย็นอำมหิต จากการนำเสนอเกมล่าชีวิตในยุคแรกเริ่ม ที่เต็มไปด้วยลานประลองว่างเปล่า ที่พร้อมจะกลายเป็นลานละเลงเลือดได้ทุกเมื่อ รวมถึงการเสริมด้วยคอนเซปต์การนำเสนอ เพื่อดึงดูดให้ชาวเมืองพาเน็มมาสนใจ ก็ดูเป็นความเลือดเย็นของการเป็นผู้กดขี่ที่ชวนสั่นสะท้านอยู่ไม่น้อย
ผนวกกับการแสดงของทีมนักแสดง ทั้งการสวมบทโดย ทอม บรายธ์ ที่ฉายทางการแสดงและเสน่ห์ในตลอดระยะเวลาหนัง ราเชล เซกเลอร์ ที่ขับขานบทเพลงไพเราะหรือในยามแสดงก็ทำได้ดีอยู่หมัด ส่วนในรายสมทบ ก็ล้วนน่าจดจำทั้งสิ้น ทั้งในรายของ จอช อังเดร ริเวอร่า, ปีเตอร์ ดิงเลจ, ฮันเตอร์ ชาฟเฟอร์ และโดยเฉพาะ ไวโอล่า เดวิส ผู้มอบกลิ่นอายความอำมหิตของการเป็นเกมเมคเกอร์ได้น่าจดจำมาก ๆ
อย่างที่ทราบกันดีว่า The Hunger Games เป็นวรรณกรรมวัยรุ่นในยุคเฟื่องฟูอันดับต้น ๆ ที่เนื้อหาว่าด้วยการวิพากษ์การเมืองระดับเข้มข้น ผ่านการออกแบบจัดวางในเกมล่าชีวิตที่แสนอำมหิต เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้กดขี่ของพาเน็ม จากการต้องจัดสุ่มเครื่องบรรณาการจากทั้ง 12 เขต ซึ่งสำหรับ The Ballad of Songbirds and Snakes ก็เช่นกัน เพียงแต่มันช่วยตอกย้ำว่า สงครามจะดึงส่วนไหนในตัวคนออกมา และสงครามล้วนเปลี่ยนและบีบบังคับให้ผู้คนต้องเอาตัวรอดขนาดไหน
น่าสนใจที่ตัวหนัง ก็ฉายภาพ สโนว์ ในฐานะเด็กหนุ่มที่มีไหวพริบชาญฉลาด เติบโตในฐานะกลางค่อนล่างในสังคมเมืองหลวง และมีเสน่ห์เจ้าเล่ห์นำหน้าคนอื่นอยู่ระดับนึง แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็มีเข็มทิศของตนเอง ที่ชี้และนำทางให้เขาดำรงไปสู่ทิศทางที่เขาตั้งมั่น นั่นก็คือการคืนเกียรติให้ครอบครัว ภายใต้สภาวะของสงครามที่ควันยังไม่จางดีนัก และการเผชิญกับหญิงสาวที่เขาพร้อมจะลงหลักปักฐาน ก็ดูเป็นมิติซับซ้อนที่ทำให้เขาดูเป็นมนุษย์ มากกว่าจะเป็นเผด็จการที่มีแต่ความชั่วร้ายในตัว
The Ballad of Songbirds and Snakes ยังคงตอกย้ำแก่นสารเดิมจากหนังสือสามเล่มก่อน นั่นคือความโหดร้ายอำมหิตผ่านตัวเกมล่าชีวิต ที่ผู้คนที่กดขี่ มองเห็นเป็นเพียงสื่อบันเทิง ขณะที่ผู้ออกแบบมัน มองเป็นสัญลักษณ์ของการย้ำเตือนความโหดร้าย เพื่อให้ผู้ที่โดนกดขี่ มิบังอาจกระด้างกระเดื่อง ก่อเกิดความแข็งข้อต่อผู้ที่ปกครองเขา แตกต่างเพียงว่าเรื่องราวภาคนี้ ทำให้เราเล็งเห็นผ่านการฉายมิติของสโนว์ว่า สงครามล้วนส่งผลเสียต่อผู้คนทุกคนโดยไม่เลือกฝ่าย ไม่แม้แต่ผู้โดนกดขี่ หรือผู้มีชัยก็ตาม
สโนว์ ซึ่งตะเกียกตะกายผ่านความพลิกผันมากมาย และมีเข็มทิศนำทางด้วยพันธกิจเดียว แต่มันก็ถูกห้อมล้อมและหล่อหลอม ด้วยสภาพแวดล้อมชนชั้นสูง ที่ส่วนมาก มาพร้อมทัศนคติที่บีบให้ทุกคนต้องเอาตัวรอดในสังคมของผู้กดขี่ จนเขาต้องตัดสินใจโดยไม่เลือกวิธีการ จนทำให้อีกเข็มทิศนึงที่เขาไม่ได้ตั้งไว้ หากแต่เป็นเข็มทิศที่เขามีมานับตั้งแต่เขามีสำนึก อย่างเข็มทิศศีลธรรมนั้น มันชำรุดร่อยหรอลงอย่างไม่รู้ตัว จนกว่าจะรู้ตัว เขาก็ได้หาทางเถลิงสู่อำนาจในทิศทางที่ไม่อาจถอยหลังได้อีกต่อไป
ที่ซึ่งเขาค้นพบว่า ณ ทุกพื้นที่บนโลกนี้คือสนามประลองที่เขาไม่อาจจะชนะได้โดยง่าย และต้องเอาตัวรอดตลอดเวลา ทางเดียวที่เขาสามารถจะกำหนดชัยชนะได้นั้น คือการกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ..
สรุปแล้ว The Hunger Games: The Ballad of Songbirds and Snakes คือภาคต้นของมหากาพย์ นำด้วยการแสดงของทีมนักแสดงที่แข็งแรงและงานสร้างเรโทรน่าเชื่อถือ ชวนเราหวนคืนสู่พาเน็มในช่วงปฐมกาล หลังภาวะสงคราม ผ่านมุมมองสายตาของสโนว์วัยหนุ่ม สะท้อนความอำมหิตผ่านความดิบเถื่อนของเกมล่าชีวิตยุคแรก กับมิติอันซับซ้อนของสโนว์ ที่ถูกหล่อหลอมและเปลี่ยนแปรให้ต้องเอาชีวิตรอดในสังคมของผู้กดขี่ จนเข็มทิศศีลธรรมค่อย ๆ ชำรุดลง และค้นพบว่า วิธีเดียวในการเป็นผู้พิชิต คือการกำหนดซึ่งชัยชนะไว้ในกำมือ
4 / 5
The Hunger Games: The Ballad of Songbirds & Snakes (2023)
Directed by Francis Lawrence
Screenplay by Michael Lesslie & Michael Arndt
Based on "The Ballad of Songbirds and Snakes" by Suzanne Collins

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา