Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เหลาจนคม
•
ติดตาม
20 พ.ย. 2023 เวลา 17:00 • ประวัติศาสตร์
พิธีจองเปรียง ต้นตำรับลอยกระทงที่ไม่ได้มาจากนางนพมาศ ?
ที่มาของประเพณีลอยกระทงที่เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปนั้น มาจากตัวละครหนึ่งจากวรรณคดีเชิงมุขปาฐะที่เกี่ยวกับสุโขทัยชื่อว่า "ท้าวศรีจุฬาลักษณ์" หรือ "นางนพมาศ" พระสนมของพระร่วงเจ้ากษัตริย์สุโขทัย เป็นผู้ประดิษฐ์กระทงที่ใช้สำหรับลอยประทีปเพื่อทำการบูชาในวันเพ็ญเดือนสิบสอง ดังนั้นจึงเชื่อกันว่า ประเพณีลอยกระทงมีที่มาตั้งแต่สมัยสุโขทัย
นักประวัติศาสตร์หลายส่วนให้ความเห็นว่า ตำนานนางนพมาศ หรือ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ แต่งขึ้นมาใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยมีฉากหลังของเรื่องเป็นเมืองสุโขทัย
เหตุผลที่ทำให้เกิดข้อสงสัยต่อการมีตัวตนของนางนพมาศ เนื่องจากมีข้อสังเกตว่า ภาษาโวหารที่ใช้ในตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ที่ถูกอ้างว่าแต่งขึ้นในสมัยสุโขทัยนั้น มีความแตกต่างจากภาษาที่ปรากฏในไตรภูมิพระร่วงและศิลาจารึกหลักที่ 1 จึงทำให้เป็นที่สงสัยว่าหากเกิดขึ้นในสมัยสุโขทัยจริง เหตุใดจึงมีภาษาที่ดูราวกับเป็นของใหม่ เช่น การกล่าวถึงชนชาติต่างๆ ที่อาจยังไม่ได้เข้ามาติดต่อกับสุโขทัยในยุคนั้น
ในขณะที่อีกฝ่ายเชื่อว่าหนังสือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์เป็นของเก่าจริง แต่อาจมีการปรับปรุงและแต่งเนื้อหาเพิ่มเข้าไปในราวสมัยรัชกาลที่ 2-3 เนื่องจากของเดิมอาจชำรุดและขาดหายไป จึงจำเป็นต้องทำการซ่อมแซมหน้าเนื้อหาขึ้นมาใหม่บ้าง แต่ก็ยังคงยึดต้นฉบับไว้เป็นหลัก
แม้กระทั่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ก็ทรงออกความเห็นในประเด็นเรื่องของนางนพมาศด้วยเช่นกัน พระองค์ทรงมีพระนิพนธ์กล่าวถึงหนังสือเรื่อง “นางนพมาศ” หรือ “ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์” เอาไว้ในคำนำเมื่อครั้งตีพิมพ์หนังสือเรื่องนี้เป็นฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ เมื่อปี พ.ศ. 2457 ว่า
“ว่าโดยทางโวหาร ใครๆ อ่านหนังสือเรื่องนี้ด้วยความสังเกตจะแลเห็นได้โดยง่าย ว่าเปนหนังสือแต่งในครั้งกรุงรัตนโกสินทร์นี้เอง แต่งในระหว่างรัชกาลที่ ๒ กับที่ ๓ ไม่ก่อนนั้นขึ้นไป ไม่ทีหลังนั้นลงมาเปนแน่ ถ้าจะหาพยาน จงเอาสำนวนหนังสือเรื่องนี้ไปเทียบกับสำนวนหนังสือจาฤกครั้งศุโขไทยหรือหนังสือที่เชื่อว่าแต่งครั้งศุโขไทย เช่นหนังสือไตรภูมิพระร่วงเปนต้น หรือแม้ที่สุดจะเอาไปเทียบกับหนังสือที่แต่งเพียงในชั้นกรุงเก่า ก็จะเห็นได้แน่นอนว่า สำนวนหนังสือเรื่องนางนพมาศเปนหนังสือแต่งใหม่เปนแน่”
ไม่เพียงเท่านั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวว่า ในหนังสือเรื่องนี้ ยังมีการระบุข้อเท็จจริงที่ผิดไปจากยุคสมัยที่อ้างถึงอย่างชัดเจน
“ยกตัวอย่างดังตรงว่าด้วยชนชาติต่างๆ หนังสือนี้ออกชื่อฝรั่งหลายชาติ ซึ่งที่จริงไม่ว่าชาติใดยังไม่มีเข้ามาในประเทศนี้เมื่อครั้งนครศุโขไทยเปนราชธานีเปนแน่ อิกข้อ ๑ ที่ว่าครั้งศุโขทัยมีปืนใหญ่ขนาดหนักนับด้วยหลายหาบ ปืนใหญ่ในครั้งนั้นก็ยังไม่เกิดขึ้นในโลก แต่ที่น่าพิศวงยิ่งกว่าอย่างอื่นนั้นมีแห่ง๑ ที่ลงชื่อว่าชาติฝรั่งอเมริกันลงไว้ในนั้นด้วย ชาติอเมริกันพึ่งเกิดขึ้นยังไม่ถึง ๒๐๐ ปี จะมีในครั้งพระร่วงอย่างไรได้”
แต่แม้พระองค์จะทรงเชื่อว่า ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ จะแต่งขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ พระองค์ก็ยังทรงเชื่อด้วยว่า “ของเดิม” ที่เก่ากว่าน่าจะมีจริง เพราะพิธีที่ปรากฏในตำราฯ เป็น “พิธีอย่างเก่า อาจจะใช้เปนแบบแผนก่อนครั้งกรุงศรีอยุธยา” เมื่อตำราเดิมเกิดชำรุดบกพร่องจึงอาจมีผู้แต่งขึ้นใหม่เมื่อรัชกาลที่ 2 หรือรัชกาลที่ 3
อย่างไรก็ดี ในปี พ.ศ. 2479 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีลายพระหัตถ์ไปถึงพระยาอนุมานราชธนมีความท่อนหนึ่งว่า “หนังสือเรื่องนางนพมาศซึ่งฉันเข้าใจว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์”
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น 22 ปี พระองค์ยังไม่ทรงชี้ชัดขนาดนั้น แต่ได้เล่าถึงความเป็นไปได้ที่ รัชกาลที่ 3 จะทรงพระราชนิพนธ์แทรกบางส่วน เห็นได้จากความตอนหนึ่งในคำนำเรื่องเดิมว่า
“ข้าราชการฝ่ายในที่เปนผู้เฒ่าผู้แก่ รับราชการมาแต่ในรัชกาลที่ ๓ ได้เคยกราบบังคมทูลฯ ว่า หนังสือเรื่องนางนพมาศนี้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชนิพนธ์แทรกไว้ตอน ๑ เปรียบเทียบกริยาอาการของข้าราชการฝ่ายในเปนเชิงบริภาษ แต่จะเปนตรงไหนไม่ปรากฏ”
ไม่ว่านางนพมาศจะมีตัวตนจริงหรือไม่ก็ตามแต่ นางนพมาศก็ได้เป็นมาสคอตของประเพณีลอยกระทงไปโดยปริยาย
ข้อมูลอีกด้านหนึ่ง ประเพณีลอยกระทง มีต้นแบบมาจาก "พิธีจองเปรียง" หรือ "ลดชุดลอยโคม" เป็นพิธีบูชาไฟถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางพระพุทธศาสนาในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยจะจัดขึ้นในเดือนสิบสองของทุกปี ในช่วงเวลาที่น้ำนองเต็มตลิ่งที่เราคุ้นหูกันนั่นเอง โดยพิธีนี้มีต้นแบบมาจาก ทิวาลี พิธีบูชาไฟของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งว่ากันว่าเป็นพิธีที่สืบเนื่องมาจากบ้านเมืองดั้งเดิม คือเมืองพระนครหลวง หรือ นครธม ในกัมพูชา ตั้งแต่ก่อนสมัยอยุธยา
ในสมัยอยุธยา พิธีจองเปรียง ลดชุดลอยโคมลงน้ำ ซึ่งอาจเข้าใจได้ว่าเป็นพิธีเดียวกันทั้งหมด แต่ในความเป็นจริงแล้ว คือ พิธีนี้มี 2 กิจกรรมในคราวเดียวกัน
จองเปรียง หรือ ลดชุด โดย จอง มาจากคำเขมรว่า “จง” (อ่าน จอง) แปลว่า ผูก, โยง ในที่นี้หมายถึง ดูแลประคับประคองให้มีแสงสว่าง เช่น เลี้ยงไฟไม่ให้ดับ ตรงกับ “ตาม” ในคำว่า “ตามไฟ”
(ผู้รู้ภาษามอญว่าจอง แปลว่า เผา) เปรียง มาจากคำเขมรว่า “เปฺรง” (อ่านว่า เปรง) แปลว่า น้ำมัน
จองเปรียง จึงหมายถึง ดวงไฟตามประทีปสว่างไสวที่ได้จากการจุดไฟเผาน้ำมัน แล้วชักด้วยสายรอกยกโคมไฟขึ้นไปแขวนตามเสา ระเบียง ชายคา ส่วน ลดชุด หมายถึง ชุดดวงไฟที่ลดขนาดเล็กลง แล้วจัดวางเรียงเป็นแถว โดยจะวางเรียงไว้ที่ช่องที่เจาะไว้ตามผนังกำแพงเมือง หรือกำแพงวัง และจะมีการการลอยโคมในน้ำ หรือเทียบได้กับ ลอยกระทง แบบในปัจจุบันนั่นเอง
ทั้งนี้สำหรับพิธีลอยกระทง เป็นประเพณีของไทยที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่โบราณ งานลอยกระทงเริ่มทำตั้งแต่กลางเดือน 11 ถึงกลางเดือน 12 ซึ่งเป็นฤดูน้ำหลาก น้ำจะเต็มสองฝั่งแม่น้ำ ที่นิยมมากคือ ช่วงวันเพ็ญเดือน 12 เพราะพระจันทร์เต็มดวงทำให้แม่น้ำใสสะอาด แสงจันทร์ส่องเวลากลางคืน เป็นบรรยากาศที่สวยงาม เหมาะแก่การลอยกระทง
เดิมพิธีลอยกระทงเรียกว่า พระราชพิธีจองเปรียง ชักโคม ลอยโคม ซึ่งเป็นพิธีของพราหมณ์ เพื่อบูชาพระเป็นเจ้าทั้งสาม คือ พระอิศวร (พระศิวะ) พระนารายณ์ (พระวิษณุ) และพระพรหม ครั้นคนไทยรับนับถือพระพุทธศาสนาก็ทำพิธียกโคมเพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุพระจุฬามณี ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ลอยโคมบูชาพระพุทธบาท ณ หาดทรายแม่น้ำนัมมทานที ประเทศอินเดีย
ดร.สุรัตน์ จงดา อาจารย์วิทยาลัยนาฏศิลป์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวเรื่องพระราชพิธีจองเปรียงว่า
"เป็นการจุดประทีป ถ้าในศาสนาพราหมณ์หมายถึงการจุดประทีปจากน้ำมันสัตว์ หรือน้ำมันเนย เพื่อบูชาเทพเจ้าของศาสนาพราหมณ์ทั้ง 3 องค์ประกอบด้วย พระอิศวร , พระนารายณ์ และพระพรหม โดยพงศาวดารสมัยกรุงศรีอยุธยา พระราชพิธีจองเปรียงเป็นพระราชพิธีใหญ่ ที่เกิดขึ้นหลังจากทอดกฐิน หลังออกพรรษามีการจุดประทีปโคมไฟ ทั่วทั้งกรุงศรีอยุธยา พระมหากษัตริย์ เชื้อพระวงศ์จะล่องเรือ เล่นเพลง จุดประทีปโคมไฟ เพื่อเป็นการสมโภชเฉลิมฉลอง
พระราชพิธีจองเปรียง ในสมัยกรุงศรีอยุธยา จัดถึง 1 เดือน ตั้งแต่ 15 ค่ำเดือน 11 ไปถึง 15 ค่ำ เดือน 12 เมื่อหมดพระราชพิธีจองเปรียงแล้ว ก็จะลดชุดไฟลงมา และเข้าสู่พระราชพิธีลอยโคม หรือ ลอยพระประทีป และเมื่อมาสู่สมัยรัตนโกสินทร์ ก็คลี่คลายกลายมาเป็น พิธีลอยกระทง ในปัจจุบัน"
สุจิตต์ วงษ์เทศ นักวิชาการของมติชน เล่ารายละเอียด พิธีจองเปรียง ลดชุดลอยโคม ไว้ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541 โดยเกริ่นถึงความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติคือ “น้ำ” กับพิธีกรรมของมนุษย์ว่า “น้ำแล้ง” กับ “น้ำหลาก” เป็นปัญหาของมนุษย์ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในเขตมรสุมจะต้องแก้ไข แต่มนุษย์ไม่รู้ว่าเหตุใดน้ำจึงแล้ง เหตุใดน้ำจึงหลาก จึงยกให้เป็นการกระทำของ “อำนาจเหนือธรรมชาติ” หรือ “ผี” ที่คุ้มครองดิน ฟ้า และสรรพสิ่ง
เมื่อน้ำแล้ง มนุษย์ต้องทำพิธีขอฝนเพื่อทำไร่ไถนา ครั้นถึงฤดูน้ำหลากมนุษย์ก็ต้องทำพิธีกรรมอีกเพื่อมิให้น้ำทำอันตรายต่อพืชพันธุ์ธัญญาหาร โดยเฉพาะข้าว
ชาวบ้านทั่วไปรู้จากประสบการณ์ว่า ถึงเดือนสิบเอ็ด หรือราวเดือนตุลาคม น้ำจะขึ้นนองหลาก พอถึงเดือนสิบสอง หรือราวเดือนพฤศจิกายน น้ำจะทรงตัวคือไม่ขึ้นไม่ลง ครั้นเดือนอ้าย หรือราวเดือนธันวาคม ต่อเดือนยี่หรือราวเดือนมกราคม น้ำจะลดลง ดังเพลงชาวบ้านร้องเล่นว่า
เดือนสิบเอ็ดน้ำนอง เดือนสิบสองน้ำทรง
เดือนอ้ายเดือนยี่ น้ำก็ไหลลง
ด้วยความอ่อนน้อมต่ออำนาจเหนือธรรมชาติ มนุษย์จะเริ่มมีพิธีกรรมเพื่อแสดงความอ่อนน้อมนั้น ร่องรอยเรื่องนี้มีหลักฐานอยู่ใน กฎมณเฑียรบาล ยุคต้นกรุงศรีอยุธยาเมื่อไม่น้อยกว่า 600 ปีมาแล้วว่า พระเจ้าแผ่นดินทรงประกอบพระราชพิธีเกี่ยวกับน้ำต่อเนื่องกัน 3 เดือนดังนี้
เดือน 11 แข่งเรือ, เดือน 12 ลดชุดลอยโคม, เดือนอ้าย ไล่เรือ
เมื่อแข่งเรือเสี่ยงทายเสร็จสิ้นไปแล้ว ก็ถึงพิธีกรรมขอขมาดินกับน้ำ กฎมณเฑียรบาลเรียกว่า พิธีจองเปรียง ลดชุดลอยโคม สมัยรัตนโกสินทร์เรียกว่า ลอยกระทง
พิธีกรรมลดชุดลอยโคม มีอยู่ในโคลงทวาทศมาส (สันนิษฐานว่า แต่งขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ หรือในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) ส่วนเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์หรือเจ้าฟ้ากุ้ง ก็ทรงพระนิพนธ์ “นิราศธารโศก” พรรณนาถึงพิธีลดชุดลอยโคมด้วยเช่นกัน
โคม เป็นเครื่องตามไฟชนิดหนึ่งมีที่บังลม ภายในมีเชื้อเพลิงและไส้เพื่อจุดไฟให้เกิดแสงสว่างและมีสายโคมติดรอก ทั้งยังมีเสาโคมแขวน เพื่อชักโคมขึ้นไปส่องสว่างอยู่กลางฟ้า เมื่อถึงเวลาก็ลดลงไปลอยน้ำในแม่น้ำลำคลอง เพื่อขอขมาดินและน้ำที่ให้พืชพันธุ์ธัญญาหารเลี้ยงมนุษย์
ลาลูแบร์ ราชทูตจากราชสำนักฝรั่งเศส ที่มาเข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์ ณ กรุงศรีอยุธยา ได้เห็นบรรยากาศการชักโคมลอยโคม จึงบรรยายว่า
“ประชาชนพลเมืองจะแสดงความขอบคุณแม่คงคาด้วยการตามประทีปโคมไฟขนาดใหญ่ (ในแม่น้ำ) อยู่หลายคืน เราจะได้เห็นทั้งลำแม่น้ำเต็มไปด้วยดวงประทีปลอยน้ำ…ไปตามกระแสธาร มีขนาดใหญ่ย่อมต่างกันตามศรัทธาปสาทะของแต่ละคน…โดยนัยเดียวกันเพื่อแสดงความขอบคุณต่อแม่พระธรณี ที่อนุเคราะห์ให้เก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ธัญญาหารได้อย่างอุดมสมบูรณ์ ในวันต้น ๆ ของปีใหม่ ชาวสยามก็จะตามประทีปโคมไฟขึ้นอย่างมโหฬารอีกครั้งหนึ่ง”
สุจิตต์ วงษ์เทศ ยังได้ให้ความเห็นอีกว่า ประเพณีชักโคมลอยโคม มีพัฒนาการเป็น “ลอยกระทง” ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ฉะนั้นประเพณีลอยกระทงจึงไม่ได้มีขึ้นครั้งแรกที่กรุงสุโขทัย
แหล่งที่มาและเรียบเรียง
https://www.springnews.co.th/news/hot-issue/845333
https://www.silpa-mag.com/culture/article_121899
https://www.komchadluek.net/entertainment/thai-entertainment/563714
https://www.silpa-mag.com/history/article_4119
https://www.thairath.co.th/lifestyle/culture/2543156
ประวัติศาสตร์
ไทย
ลอยกระทง
บันทึก
2
1
2
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย