5 ธ.ค. 2023 เวลา 08:10 • นิยาย เรื่องสั้น
Central Westville

ตอน คลายปมปริศนา

ลุงสโตมพ์ได้บอกเมอร์คิวเรียสเกี่ยวกับรายชื่อผู้ที่น่าสงสัยว่าอาจมีการติดต่อกับบริเอลล์และให้ความช่วยเหลือเขา
เนื่องจากสเคฟเวนนิงเกนมีพื้นที่ไม่ใหญ่มาก การออกไปสอบถามผู้คนตามรายชื่อที่ลุงสโตมพ์ให้มานั้น จึงไม่เป็นการยากลำบากสำหรับเมอร์คิวเรียสแต่อย่างใด
ผลจากการสอบถามปรากฏว่าทุกคนต่างบอกเมอร์คิวเรียลสว่าตนเองไม่ได้ติดต่อกับบริเอลล์นานหนึ่งเดือนแล้วและไม่รู้ว่าบริเอลล์อยู่ที่ไหน
จนถึงขณะนี้เมอร์คิวเรียสมั่นใจว่าคนร้ายยังคงหลบอยู่ในเดลหท์  แต่คงไม่ใช่บริเวณที่อยู่ของชาวเรือเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจค้นหมดแล้ว
คนเมื่อเมอร์คิวเรียสเสร็จธุระที่สเึฟเวนนิงเกนแล้วตั้งใจว่าจะรีบกลับเดลฟท์แต่ในระหว่างทางที่ผ่านเฮก เมอร์คิวเรียสเกิดความคิดใหม่ขึ้นมา  เขาตัดสินใจค้นหาแม่นมที่ให้นมแก่หนูแอนนา  โดยเริ่มต้นที่เวสเตนด์
เมอร์คิวเรียสได้พูดกับผู้ดูแลว่า
“ผมคิดว่าเด็กทารกที่นี่ต้องการแม่นม  โดยเฉพาะเด็กทารกที่แวนเสตเตนรับไปเลี้ยงซึ่งตอนนั้นมีอายุเพียงสองเดือนเอง”
“ท่านกล่าวถูกต้องแล้วครับ   เอ…แต่ทำไมท่านถึงค้องการรู้ว่าใครเป็นแม่นมล่ะครับ?”
“หากผมคิดถูก จะต้องมีใครในที่นี่บอกคุณเฮนดริค มาเรีย บริเอลล์ ว่าลูกสาวของเขาถูกใครรับไปเลี้ยง”
“เป็นไปไม่ได้  เรื่องนี้ถือเป็นความลับ  สมุดบันทึกถูกเก็บไว้อย่างดี ทางเราจะไม่บอกผู้ใด  ยกเว้นท่านอาจารย์ซึ่งมาสืบหาเด็กที่หายไปเท่านั้น” ผู้ดูแลพูดด้วยน้ำเสียงขึงขังแฝงไว้ซึ่งความไม่พอใจต่อคำพูดของเมอร์คิวเรียส
“ท่านเข้าใจคำพูดของผมผิดแล้วครัย  ผมไม่ได้บอกว่าคนของท่านเห็นสมุดทะเบียนแล้วนำไปบอก  เพราะว่าคนร้ายน่าจะรู้เพียงว่าเด็กทารกถูกพาไปเลี้ยงดูที่เมืองไหน โดยไม่รู้ว่าครอบครัวไหนนำเด็กทารกไปเลี้ยงดู  คิดดูแล้วหากแวนเสตเตนต้องการเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ เขาคงไม่จ้างแม่นมที่เป็นคนเดลฟท์”
“ก็จริงของท่านครับ พวกเธอคงเก็บความลับไม่อยู่แน่ๆ’’
“ผมสงสัยว่าผู้ที่สามารถบอกคุณบริเอลล์น่าจะเป็นแม่นจากเฮกหรือไม่ก็เป็นเจ้าหน้าที่ของที่นี่”
“ผมขอยืนยันท่านอีกครั้งในเรื่องการรักษาความลับของที่นี่  เรามีการแยกสมุดทะเบียนไว้สองพวก  พวกหนึ่งเป็นข้อมูลการรับเด็กกำพร้า ส่วนอีกพวกหนึ่งเป็นข้อมูลครอบครัวที่รับเด็กไปเลี้ยง  การดูข้อมูลต้องนำสมุดทะเบียนทั้งสองมาดูร่วมกัน
เราไม่ต้องการให้มีการติดตามเด็กทารก  เพราะเคยมีกรณีที่แม่บางคนเกิดเสียใจที่ทิ้งลูก แล้วเกิดเปลี่ยนใจ  พยายามติดตามหาลูกกลับ  ซึ่งทางเรายอมไม่ได้เพราะมันจะทำให้เด็กเกิดความสับสนและเสียใจในภายหลัง”
“แต่ท่านครับ ผมเห็นว่ากรณีของแจนท์นั้นมันแตกต่าง  เธอเสียชีวิตขณะที่คลอดลูกได้ไม่นาน ส่วนพ่อของเด็กก็ไม่ได้ปรากฏตัวในการเลี้ยงดูทารกเพราะเขาได้ออกทะเลไปทำงาน  ดังนั้นอาจมีบางคนสงสารพ่อของเด็กและคิดที่จะช่วยชี้เบาะแสเพื่อให้พ่อได้มีโอกาสพบลูก”
“ผมเองก็ไม่ได้ไม่เห็นด้วยนะครับ แต่ผมไม่รู้จะช่วยท่านหาตัวคนที่ชี้เบาะแสให้คุณบริเอลล์ทราบได้อย่างไร”
ผมสันนิษฐานว่าคุณบริเอลล์จะต้องเคยมาที่นี่เมื่อเดือนที่แล้ว’ เมอร์คิวเรียสกล่าว
“ท่านทราบได้อย่างไรครับ?”
“จากการสอบถามจากหลายๆคน ผมพอจะเดาได้ว่าคุณบริเอลล์ได้เร่งรีบในการสืบค้น  ซึ่งแกคงได้รับข้อมูลผิวเผินแค่พอให้แกะรอย  ซึ่งแกอาจรู้เพียงว่าลูกสาวถูกพาไปเลี้ยงที่เดลฟท์  บริเอลล์คงจะต้องรีบค้นหาลูกสาวให้ได้ก่อนที่จะต้องออกทะเลในครั้งต่อไป  อีกอย่างหนึ่งแกคงกลัวว่าถ้าลูกสาวถูกย้ายไปเมืองอื่นอีกแกก็คงไม่สามารถหาตัวลูกสาวเจออีกต่อไป
“ฟังท่านชี้แจงแล้ว  ผมก็เห็นด้วยครับ  เอาอย่างนี้ เดี๋ยวผมจะเรียกเจ้าหน้าที่ทั้งหมดมาให้ท่านสอบถามดูครับ”
เมื่อเจ้าหน้าที่ทั้งหมดมาอยู่ต่อหน้าเมอร์คิวเรียส  ดูเหมือนว่าแต่ละคนต่างมีสีหน้างุนงงสงสัย  ต่างคนต่างนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ได้แต่มองหน้ากันและกัน
เมอร์คิวเรียสได้เล่าเรื่องราวโดยสรุ,ให้ทุกคนฟัง จากนั้นได้พูดขึ้นว่า
“ผมสงสัยว่าคุณเฮนดริค บริเอลล์ มีส่วนในการเสียชีวิตของเกอร์ทรูย์ดและการหายตัวไปของเด็กหญิงอีกสองคน  คุณเฮนดริคพยายามตามหาลูกสาวของเขาซึ่งมีผมโทนสีแดงเหมือนเขา  และตอนนี้เขาทำสำเร็จแล้ว  การที่ทางการจะช่วยเด็กสาวสองคนกลับมาอย่างปลอดภัยนั้น เราจะต้องรู้ว่าคุณเฮนดริครู้ข้อมูลได้อย่างไร? และตอนนี้เขาคิดจะทำอะไรต่อไป?
หากพวกเราในที่นี้มีข้อเสนอแนะใดๆที่จะช่วยได้ก็ขอได้โปรดบอกมา”
ทุกคนยังคงเลือกที่จะไม่พูดอะไร   เมอร์คิวเรียสคิดว่าถ้าที่นี่ไม่มีคำตอบ เขาคงต้องรีบไปหาแมธิลด์ แวนเสตเตน เพื่อถามชื่อของแม่นม ซึ่งเธออาจไม่รู้ก็ได้’”
“อาจารย์คะ” เสียงหญิงสาวที่ดูมีอายุน้อยที่สุดพูดขึ้นมา
“เธอมีอะไรจะบอกฉันหรือ?”
“หนูเคยเห็นผู้ชายตัวใหญ่ ผมแดง สวมเสื้อคลุมซึ่งมีกลิ่นคาว”
“หนูเห็นเขาที่ไหน? เมื่อไหร่?” เมอร์คิวเรียสถามด้วยความตื่นเต้น
“หนูเห็นเขามาที่นี่หลังวันปีใหม่ผ่านไปไม่กี่วัน  เขาไปที่ห้องครัวแล้วขอร้องทุกคนในนั้นว่ามีใครสามารถช่วยเหลือเขาตามหาลูกสาวได้บ้าง”
“เรื่องที่เธอพูดเป็นความจริงหรือ?” ผู้ดูแลถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ หญิงสาวได้แต่จ้องไปที่ผู้ดูแลแต่เธอไม่ยอมตอบคำถามในทันที
“ฉันถามว่าที่เธอพูดเป็นเรื่องจริงหรือ?” ผู้ดูแลทวนคำถามด้วยเสียงที่ดังขึ้น
หญิงสาวก้มหน้า เธอใช้ความคิดอย่างหนัก  เธอเอามือจับผ้ากันเปื้อนบิดไปมาโดยไม่รู้ตัว เธอเงยหน้ามองผู้ดูแลแล้วพูดขึ้นว่า
“ท่านคะ ชายคนนั้นเขาดูน่าสงสารมากเลยค่ะ  เขาถามคำถามนั้นซ้ำๆ  เขาบอกว่าภรรยาที่รักของเขาเสียชีวิตไปส่วนลูกสาวที่เพิ่งคลอดถูกพรากไปจากเขาโดยที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
“แต่เธอได้ทำลายความน่าเชื่อถือของสถานที่ของเรา  เธอเอาความลับไปบอกคนนอก” ผู้ดูแลกล่าวตำหนิ
สายตาของหญิงสาวจ้องเขม็งไปที่ผู้ดูแลเพื่อบอกเป็นนัยๆว่าเธอไม่ยอมรับการตำหนิของผู้ดูแล
“หนูไม่ได้บอกความลับใคร เพราะหนูเองก็ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับลูกสาวของเขา  แต่ถ้าหนูรู้หนูอาจจะบอกเขาก็ได้  เพราะจิตสำนึกผิดชอบชั่วดีบอกหนูว่ามันถูกต้องที่จะบอกให้เขารู้”
ผู้ดูแลเดินเข้าไปใกล้หญิงสาวราวกับว่าเขาต้องการข่มขู่เธอ
“จิตสำนึกผิดชอบชั่วดีหรือ?  เธอรู้หรือไม่ว่าตอนนี้เด็กสาวสามคน คนหนึ่งนอนนิ่งอยู่ในหลุมศพ  ส่วนอีกสองคนมีโอกาสที่จะเป็นเหมือนคนแรก?”
“ไม่ เขาจะไม่ทำร้ายลูกสาวของเขาแน่นอน  เขาจะยอมตายเพื่อลูกสาว  หนูเห็นแววตาที่วิงวอนร้องขอความช่วยเหลือของเขา  มันไม่ใช่แววตาของฆาตกรแต่อย่างใด”
“นี่เธอกำลังทำตัวเป็นศาลแล้วนะ  ตอนนี้มีเด็กสาวตายในเงื้อมมือของเขา  เมื่อใดที่เขาถูกจับ มั่นใจได้เลยว่าเขาจะต้องถูกแขวนคอ  แล้วลูกสาวของเขาล่ะจะอยู่อย่างไรถ้ารู้ว่าพ่อตนเองเป็นคนร้ายที่ถูกแขวนคอ”
มาถึงตอนนี้เมอร์คิวเรียสคิดอยากจะย้อนเวลากลับไปที่ไลเดน แล้วลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในเดลฟท์ให้หมดเสมือนหนึ่งว่าเขาไม่เคยมาเดลฟท์
คดีนี้จะจบไม่สวยอย่างแน่นอน  ถ้าหากเราจับคนร้ายไม่ได้ ชาวบ้านก็จะอยู่กันอย่างหวาดกลัว เด็กสาวผู้ตายก็จะตายโดยไม่มีใครต้องถูกลงโทษ
แต่ถ้าเราจับคนร้ายได้  เขาคงต้องถูกลงโทษด้วยการแขนวนคอ ซึ่งทำให้ลูกสาวคนร้ายต้องสูญเสียพ่อไป
ในเมื่อไม่มีใครพูดอะไรเพิ่มเติม เมอร์คิวเรียสจึงได้กล่าวขอบคุณทุกคน  ขณะกำลังจะหันตัวกลับเสียงผู้ชายก็ดังขึ้น เมอร์คิวเรียสหันไปดูเจ้าของเสียง  เขาเป็นคนผอมแห้ง ผิวสีแทน นัยตาสีฟ้า สวมเสื้อกล้ามที่ทำด้วยหนังสัตว์ ศีรษะสวมหมวกฟาง
“นายท่านครับ  ถ้าสิ่งที่ผมทำมันผิด  ผมยินดีรับโทษครับ”
“นี่..นายมารินัส นายก็เป็นอีกคนหรือนี่?” ผู้ดูแลกล่าวด้วยความแปลกใจ
“ผมไม่ได้บอกอะไรเขานะครับ  แต่หัวใจผมก็อยู่ข้างเขาไปแล้ว  พอเขากลับไปผมก็แอบติดตามเขาจนถึงโรงแรมซึ่งใกล้กับโรงเรียน  ผมได้พูดคุยกับเขา  แต่ผมไม่ได้ให้ข้อมูลของเราแก่เขานะครับ
ผมแค่บอกเขาว่าหญิงชราที่ชื่อเบียทริกเป็นคนจัดหาแม่นมให้เด็กทารก  บางทีเธออาจช่วยให้เบาะแสเขาได้”
“แล้วเบียทริกที่นายว่า เธอพักอยู่ที่ไหน?” ผู้ดูแลถาม
“ผมรู้แค่ว่าเบียทริกน่าจะพักอยู่หมู่บ้านด้านหลังคฤหาสน์อูเดอฮอฟครับ”
เมอร์คิวเรียสได้ขอร้องผู้ดูแลว่าอย่าได้ลงโทษคนเหล่านี้เลย พวกเขาต่างก็มีความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  การให้อภัยพวกเขาจะทำให้พวกเขาสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
ผู้ดูแลรับปากเมอร์คิวเรียสอย่างไม่เต็มใจว่าเขาจะไม่ลงโทษใดๆกับคนของเขาในเรื่องนี้
เมอร์คิวเรียสเดินทางไปหาเบียตามเส้นทางที่มารินัสได้บอกอย่างคร่าวๆจนมาเจอคฤหาสน์อูเดอฮอฟซึ่งเคยเป็นที่ัอยู่ของลูกสะใภ้ของกษัตริย์อังกฤษพระนามว่าวิลเลียมแห่งออเรนจ์  เมอร์คิวเรียสเดินอ้อมมาด้านหลังจนใองเห็นกลุ่มอาคารที่โอบล้อมสนามหญ้า  เขาเดินเข้าไปสอบภามคนแถวนั้นจนสามารถมาถึงบ้านของเบียทริก
เบียทริกเป็นหญิงชราที่ดูแข็งแรง สดสัยสมวัย
“ใช่ค่ะอาจารย์ บริเอลล์เคยมาพบดิฉัน  เขาเสนอรางวัลตอบแทนหากดิฉันบอกที่อยู่ของลูกสาวเขา  แต่ดิฉันได้ปฏิเสธไป  อันที่จริงดิฉันสามารถรับรางวัลจากเขาแล้วบอกเรื่องโกหกไปก็ได้  เพราะความจริงดิฉันไม่รู้ว่าแม่นมคนนั้นตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้ว  สิ่งที่ดิฉันบอกเขาไปก๋เพียงบอกว่าดิฉันได้รับการขอร้องให้จัดหาแม่นมผู้ซึ่งสามารถไปอยู่ที่เดลฟท์ได้  โดยจะได้รับค่าตอบแทนที่คุ้มค่า”
“แล้วเขาถามคุณยายหรือเปล่าว่าแม่นมคนนั้นอยู่ที่ไหน?”
“เขาถามค่ะ ดิฉันบอกเขาว่าแม่นมคนนี้ได้เดินทางไปกับผู้ชายเร่ร่อนเพื่อไปใช้ชีวิตที่รอตเตอร์ดัมแล้ว  ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไีร  อาจารย์คะ..ดิฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าเธอจะเลือกทางเดินที่ตกต่ำเช่นนี้”
หากเป็นเวลาปกติเมอร์คิวเรียสสามารถพูดคุยอย่างออกรสกับหญิงชราได้นานถึงสองชั่วโมงแต่ไม่ใช่ในเวลานี้  วิธีการพูดของเธอทำให้เมอร์คิวเรียสต้องคิดถึงยายตัวเอง   เขากลัวว่าหากยายรู้ความจริงว่าเขาเป็นนักบวชนิกายคาทอลิกแล้วล่ะก็ ยายอาจเสียใจจนล้มป่วยก็ได้
ยายชอบใส่ชุดสีดำอย่างมาก ตั้งแต่เมอร์คิวเรียสจำความได้เขาไม่เคยเห็นยายใส่เสื้อสีอื่นเลยนอกจากสีดำ  ตอนเขายังเป็นเด็กยายชอบให้เขาท่องบ่นอาขยาน  หากเขาท่องผิดยายก็จะคอยแก้ไขให้  และนี่ก็ผ่านไปนานมากแล้ว
เมอร์คิวเรียสกล่าวขอบคุณและกล่าวอำลาเบียทริก  ก่อนที่เมอร์คิวเรียสจะจากไป เบียทริกได้พูดว่า
“ดิฉันหวังว่าสิ่งที่ดิฉันพูดไปจะเป็นประโยชน์กับอาจารย์นะคะ  แล้วอาจารย์ไม่คิดจะทำประโยชน์อะไรให้กับดิฉันบ้างหรือคะ?”
เมอร์คิวเรียสพอได้ฟังแล้ว ความคิดแรกของเขาคือเบียทริกหวังเงินรางวัลจากเขา  แต่จากการได้พูดคุยกลายเป็นว่าเธอต้องการเพียงให้เมอร์คิวเรียสช่วยย้ายกองถ่านหินที่อยู่ลานนอกบ้านเข้ามาเก็บในบ้านดท่านั้นเอง ซึ่งเมอร์คิวเรียสได้ให้ด้วยความเต็มใจ
จบตอนที่ 49
โปรดติดตามตอนต่อไป
ฝากกดติดตามและให้ความเห็นนะครับ
ขอบคุณทุกท่าน
สุธีร์@อ่านเอาเพลิน
โฆษณา