Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
นักลงพุง
•
ติดตาม
14 ธ.ค. 2023 เวลา 11:00 • นิยาย เรื่องสั้น
ตอนที่ 21: ทัวร์สวนโมกข์กันต่อ
สวัสดีครับทุกท่าน กลับมาพบกันอีกเช่นเคยนะครับ ในตอนนี้ผมก็จะพาทุกท่านไปเดินทัวร์รอบสวนโมกข์กันต่อจากคราวที่แล้ว โดยสถานที่ๆ จะพาไปในวันนี้ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้สวนโมกข์ เป็นสวนโมกข์ที่เรารู้จักอย่างเช่นทุกวันนี้ ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น โปรดตามผมมาได้เลยนะครับ
📌 โบสถ์เขาพุทธทอง
โบสถ์เขาพุทธทองจะเรียกว่า โบสถ์ในแบบที่เรารู้จัก ผมก็คงไม่กล้าเรียกเช่นนั้น ขอให้ทุกท่านลืมภาพของโบสถ์วัดต่างๆ ที่เคยเห็นมาวางไว้ก่อน เพราะโบสถ์บนเขาพุทธทองนั้นแทบจะไม่มีอะไรเลยครับ นอกจากลานทรายวงกลม แล้วมีพระพุทธรูปองค์สีขาวขนาดกลางประดิษฐานไว้ ณ ตรงกลางลาน นอกนั้นก็เปิดโล่งกว้าง ปราศจากจากกำแพงและหลังคาใดๆ
ท่านพุทธทาสตั้งใจให้โบสถ์ของที่นี่ เปรียบดั่งสมัยโบราณในพุทธกาล ที่ทุกอย่างยังเรียบง่าย ไร้ซึ่งสิ่งของประดับตกแต่งมากมายอย่างในปัจจุบัน ท่านบอกว่าพระพุทธเจ้าทรงประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานบนพื้นดิน เราผู้เป็นสาวกก็ควรจะมีความเป็นอยู่เรียบง่ายเช่นเดียวกับพระองค์ ทำให้โบสถ์จึงโล่งกว้าง มีเพียงต้นไม้เป็นดั่งหลังคาและอาคารที่โอบล้อมเท่านั้น
หาเรามองไปทางขวามือที่ผมยืนอยู่นี่ ท่านจะพบเห็นเสาสี่เหลี่ยมเตี้ยๆ ตั้งวางอยู่ จุดนั้นแหละครับที่เป็นขุดที่มีการเผาร่างของท่านพุทธทาสกับกองฟืนอย่างเรียบง่าย เมื่อเผาแล้วท่านก็สั่งในพินัยกรรมว่าให้เอาเถ้าอัฐิต่างๆ โบกปูนเก็บไว้ให้มิดชิด อย่าให้ใครขุดออกมาดูเด็ดขาด ให้ถือว่าคำสอนของท่านสำคัญกว่าโครงกระดูกที่ถูกเผาครับ
โบสถ์ธรรมชาติเขาพุทธทอง
📌 โรงฉัน
โรงฉันหรือเรียกภาษาบ้านๆ ว่า โรงอาหาร ใช้ไว้เป็นที่กินหรือฉันข้าวของพระภิกษุ ของที่สวนโมกข์จะเป็นอาคารโล่งๆ ยกพื้นสูง แบ่งออกเป็นสองฝั่งหันหน้าเข้าหากัน ฝั่งนึงมีพื้นที่กว้างใหญ่ให้ญาติโยมเข้ามานั่งถวายภัตตาหาร
อีกฝั่งนึงจะมีพื้นที่เล็กกว่าและยาวไปจนสุด จะเป็นที่ๆ พระทุกรูปจะมาฉันอาหารรวมกันทุกเช้า โดยที่สวนโมกข์ก็จะมีการฉันอาหารเพียงวันละ 1 มื้อ ยกเว้นแต่ "วันกรรมกร" เท่านั้นที่จะมีมื้อเพลถวายให้ด้วย ซึ่งจะมีโอกาสเล่าในโอกาสถัดไป
โรงฉัน โยมนั่งฝั่งนี้ พระนั่งฝั่งโน้น
📌 ธารน้ำไหล
ที่สวนโมกข์จะมีธารน้ำเส้นเล็กๆ ไหลผ่านกลางวัด สมัยก่อนจะมีน้ำประปา พระที่นี่ก็จะอาศัยธารน้ำนี้ เป็นที่อาบน้ำและซักผ้าจีวร แต่เมื่อเริ่มมีปั้มน้ำและประปาในภายหลัง จึงมีการสร้างอาคารอาบน้ำไว้เป็นที่เฉพาะ เพื่อไม่ให้ประเจิดประเจ้อแก่สายตาญาติโยมที่เข้ามา
📌 โรงปั้นภาพ
ดั่งที่ทุกท่านได้สังเกตเห็นมาตลอดตั้งแต่เข้าวัดมาแล้ว ก็จะพบว่ามีภาพปูนปั้นนูนต่ำเป็นรูปแกะสลักเป็นรูปร่างต่างๆ นานา แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายว่า แต่ละภาพนั้นจะสื่อถึงอะไรบ้าง ผมจะขออธิบายตามที่ผมเคยได้ยินมาประมาณนี้นะครับ
สืบเนื่องจากสมัยพุทธกาลเลยมาจน 2-3 ร้อยปีหลังปรินิพพาน ศาสนาพุทธเรายังไม่มีรูปเคารพที่เป็นในลักษณะของ "พระพุทธรูป" ที่เราเห็นในปัจจุบันนะครับ อาจจะด้วยความให้ความเคารพ และคิดว่าไม่เป็นการบังควร ที่จะมีการสร้างรูปคนแล้วบอกว่านี่คือตัวแทนของพระพุทธเจ้า แต่ถึงกระนั้นมนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์ล่ะครับ เราชอบอะไรที่มองเห็นได้มากกว่าที่จะต้องจินตนาการเอาเอง
ในช่วงต้นเลยมีการสร้างสัญลักษณ์อะไรขึ้นมาเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าเช่น บัลลังก์ที่ว่างเปล่า หม้อที่เต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำ ดอกบัวที่บานสะพรั่งเป็นต้น โดยทั่งหมดนี้จะใช้เป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้าในช่วงยุคต้นๆ ครับ ส่วนสัญลักษณ์แต่ละอย่างมีความหมายอย่างไร ถ้าสนใจกันผมจะนะเขียนแยกออกมาเป็นอีกตอนให้
แต่หลังจากที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชได้ตีพิชิตมาจนถึงอินเดีย แม้ท่านจะไม่ได้ครอบครองทั้งหมด แต่อิทธิพลของวัฒนธรรมกรีกก็ได้ถูกนำมาเผยแพร่มายังพื้นที่ชมพูทวีปอีกด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ รูปปั้นเทพเจ้าต่างๆ ครับ
หลังจากที่ชาวกรีกบางส่วนได้มาตั้งรกรากที่นี่ พร้อมทั้งเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา ก็เลยทำการสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาเป็นครั้งแรก เหมือนกับตอนที่ยังนับถือเทพเจ้าซูสในปกรนัมกรีกยังไงอย่างนั้น ซึ่งถ้าท่านผู้อ่านอยากรู้ว่า พระพุทธรูปในยุคแรกมีหน้าตาเป็นอย่างไร ลอง search หากันได้ครับว่า Gandhara Buddha จะพบเลยครับว่าหน้าตาออกไปทางฝรั่งอยู่ด้วยซ้ำ
ทีนี้ครับ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ท่านพุทธทาส ได้มีโอกาสไปเที่ยวที่ประเทศอินเดีย ท่านได้ไปยังสังเวชนียสถานต่างๆ และได้ไปพบกับศิลปะภาพนูนต่ำ ที่มีสัญลักษณ์แทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านจึงเกิดความสนใจและได้ถ่ายรูปเก็บไว้ พอกลับมายังไทย ท่านจึงได้ทำการปั้นรูปต่างๆ เหล่านั้น ที่โรงปั้นที่นี่เองแหละครับ โดยในปัจจุบันแม้จะไม่ได้มีการปั้นแล้วก็ตาม แต่ทุกท่านก็ยังสามารถเห็นบล็อกที่ใช้หล่อได้อยู่ที่นี่ครับ
ตัวอย่างภาพปั้นรูปบัลลังก์ว่างแทนพระพุทธเจ้า
📌 กุฏิพระอาจารย์ชา
มีอยู่ครั้งหนึ่งลูกศิษย์ท่านนึงของหลวงปู่ชาสุภัทโท พระอาจารย์ใหญ่รูปนึงของสายพระป่าแห่งวัดหนองป่าพง ลูกศิษย์ได้เปิดเทปของท่านพุทธทาสเรื่อง "สุญญตาปริทัศน์" ให้หลวงปู่ชาฟัง ท่านรู้สึกว่าเนื้อหาดี อธิบายได้ถูกต้อง จากนั้นพระทั้งสองวัดนี้ก็สนิทสนมใกล้ชิดกัน
เมื่อท่านพุทธทาสได้ทราบว่าหลวงปู่ชาประสงค์จะมาเยี่ยมเยียนที่สวนโมกข์บ้าง พอทราบดังนั้นท่านก็ได้สั่งให้มีการสร้างกุฏิรับรองพระผู้ใหญ่ขึ้นมา 1 หลัง ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับอาคารเรือ แม้จะสร้างจนเสร็จสิ้นแล้วแต่ก็เป็นที่น่าเสียดาย ที่หลวงปู่ขาไม่ได้มีโอกาสมาพักที่กุฏิหลังนี้เลย เพราะท่านอาพาธเสียก่อน ถึงกระนั้นทางสวนโมกข์ก็ได้ตั้งชื่อกุฏิหลังนั้นไว้ว่า กุฏิพระอาจารย์ชา เพื่อเป็นการระลึกถึงความสัมพันธ์อันดี ระหว่างสวนโมกข์และวัดหนองป่าพง
กุฏิพระอาจารย์ชา
ตอนนี้ก็ประมาณนี้นะครับ สถานที่อื่นๆ เช่นค่ายลูกเสือและเขานางเอ ก็ได้มีโอกาสเล่ารับใช้คุณผู้อ่านไปเมื่อตอนก่อนหน้าแล้ว ในตอนถัดไปผมจะขอกลับไปเล่าถึงชีวิตพระใหม่ของพวกผมกันต่อ แย่าลืมติดตามรับชมใน #ชนจิตโต ในตอนต่อไปนะครับ
ขอบคุณครับ
เรื่องเล่า
พุทธศาสนา
นิยาย
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ชนจิตฺโต
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย