27 ธ.ค. 2023 เวลา 12:46 • ประวัติศาสตร์

ขุนโจรเหลียงซาน 57

อู่ซง ผู้จาริก (11) อู่ซงฟ้องคดี
ฟ้าเริ่มสว่าง ทหารรับใช้ลุกขึ้นหุงหาอาหาร อู่ซงล้างหน้าล้างตา พานจินเหลียนลงมาจากชั้นบนถามว่า “ท่านอา เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นหรือ”
อู่ซงถามว่า “อาซ้อ พี่ชายข้าที่แท้ป่วยตายด้วยโรคอะไรกันแน่”
“ท่านอาทำไมลืมเสียล่ะ เมื่อคืนก็บอกไปแล้วว่าเป็นโรคหัวใจตาย”
“ไปเจียดยาจากใคร”
“เทียบยาอยู่นี่มีเขียนบอก”
“ใครเป็นคนไปซื้อโลง”
“วานยายหวางข้างบ้านช่วยซื้อให้”
“ใครเป็นคนแบกศพในขบวน”
“ถวนโถว 团头 ท้องที่ อาเก้าเหอ 何九叔 (เหอจิ่วซู) เป็นผู้จัดคนมาให้”
อู่ซงว่า “เช่นนั้นหรือ ข้าจะไปลงชื่อเข้างานที่อำเภอ เดี๋ยวมา”
อู่ซงเดินมาถึงปากถนนจื่อสือก็หันมาถามทหารรับใช้ว่า “เจ้ารู้จักถวนโถวชื่อเหอจิ่วซูหรือไม่”
ทหารตอบว่า “ตูโถวท่านลืมแล้วหรือ คราวก่อนเขาก็มาร่วมแสดงความยินดีกับตูโถว บ้านเขาอยู่ในซอยแยกถนนสิงโต 狮子街”
อู่ซงว่า “เจ้านำทางไปที”
ทหารนำอู่ซงมาถึงหน้าบ้านเหอจิ่วซู อู่ซงจึงให้ทหารกลับไปก่อน พอทหารไปแล้วอู่ซงก็เลิกม่านขึ้นตะโกนเรียกว่า “เหอจิ่วซูอยู่บ้านไหม”
เหอจิ่วซูเพิ่งตื่นนอน พอรู้ว่าอู่ซงมาก็ลนลานจนไม่ได้โพกผ้า คว้าถุงผ้าใส่กระดูกและเงินแท่งได้เก็บติดตัวแล้วออกมาต้อนรับ “ตูโถวกลับมาถึงเมื่อไร”
อู่ซงว่า “กลับมาถึงเมื่อวาน มีเรื่องอยากคุยกับท่าน ขอเชิญมาด้วยกันหน่อย”
“ผู้น้อยตามไป ตูโถวเชิญเข้าบ้านคารวะน้ำชาก่อน”
อู่ซงว่า “ไม่จำเป็น”
ทั้งสองเดินมายังร้านอาหารที่ปากซอย นั่งลงแล้วสั่งเหล้ามาสองเจี่ยว บริกรรินเหล้าให้แล้ว อู่ซงก็เอาแต่นั่งดื่มไม่พูดไม่จา เหอจิ่วซูนั่งเหงื่อแตกเดาออกแปดเก้าส่วนแล้ว พยายามชวนคุยสัพเพเหระแต่อู่ซงยังคงเฉย เอาแต่นั่งดื่ม เหอจิ่วซูจึงต้องนั่งเงียบๆ
ดื่มไปพักใหญ่ อู่ซงก็เลิกเสื้อขึ้นชักมีดพกเอามาปักลงบนโต๊ะทำเอาบริกรตะลึงถอยห่างไม่กล้าเข้าใกล้ เหอจิ่วซูหน้าถอดสีไม่กล้าหายใจ
อู่ซงถลกแขนเสื้อทั้งสองข้าง มือหนึ่งกุมมีดอีกมือชี้หน้าเหอจิ่วซู “คนถ่อย รู้ไหมว่า กล่าวหาต้องมีมูล หนี้ต้องมีเจ้าของ 冤各有头,债各有主 เจ้าไม่ต้องกลัว ขอให้พูดแต่ความจริง บอกมาให้หมดว่า พี่ข้าตายอย่างไร ข้าก็จะไม่ทำอะไรเจ้า หากแตะต้องเจ้า ข้าก็ไม่ใช่ลูกผู้ชาย แต่หากพูดผิดสักครึ่งคำ มีดเล่มนี้คงปักเจ้าพรุนสักสามสี่ร้อยแผล พูดมาตรงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อม ศพพี่ชายข้า สภาพเป็นอย่างไร” กล่าวจบ อู่ซงเอาสองมือวางบนเข่า สองตาถลึงจ้องเหอจิ่วซู
เหอจิ่วซูล้วงถุงผ้าออกมาจากแขนเสื้อวางลงบนโต๊ะกล่าวว่า “ตูโถวอย่าเพิ่งโมโห ในถุงผ้านี้คือหลักฐานสำคัญ”
อู่ซงเปิดถุงผ้าออกดูเห็นมีกระดูกร่วนดำอยู่สองชิ้น เงินสิบตำลึงหนึ่งแท่ง จึงถามว่า “อย่างไรที่ว่าเป็นหลักฐานสำคัญ”
เหอจิ่วซูว่า “ผู้น้อยก็ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ รู้แต่ว่า วันที่ยี่สิบสองเดือนอ้าย ผู้น้อยอยู่ที่บ้าน ยายหวางที่เปิดร้านน้ำชามาตามผู้น้อยไปบรรจุศพอู่ต้าหลาง พอเดินไปถึงหัวถนนจื่อสือ ก็พบซีเหมินต้าหลางที่เปิดร้านขายสมุนไพรอยู่หน้าอำเภอ มาดักรอชวนผู้น้อยไปดื่มยังร้านอาหาร ซีเหมินชิ่งนำเงินสิบตำลึงแท่งนี้มอบให้ผู้น้อย กำชับว่า ศพที่ไปชันสูตร มีเรื่องใดให้ปิดเสีย
ผู้น้อยรู้มาแต่ไหนแต่ไรว่าคนผู้นี้เป็นทุรชน ไม่ยอมให้ผู้น้อยปฏิเสธ กินข้าวเสร็จ รับเงินมาแล้ว ผู้น้อยมาถึงบ้านต้าหลาง เปิดผ้าลุมศพ ก็เห็นรอยเลือดออกเจ็ดทวาร ริมฝีปากมีรอยฟันกัด แสดงให้เห็นว่าถูกพิษมาก่อนตาย ผู้น้อยใคร่จะเปิดโปง แต่ไม่มีเจ้าทุกข์ ภรรยาของเขาก็บอกเองว่าตายด้วยโรคหัวใจ ดังนั้นผู้น้อยจึงไม่กล้าพูด กัดลิ้นให้เลือดออก แกล้งทำเป็นโดนของให้คนประคองกลับบ้าน ให้สัปเหร่อไปบรรจุศพแทน ไม่ได้รับเงินเลยแม้สักแดง
พอครบสามวัน เห็นว่าเอาศพไปเผา ผู้น้อยจึงซื้อเงินกงเต๊กไปแสดงน้ำใจ พอสองคนนั้นไม่ทันสังเกต ก็เก็บเอากระดูกสองชิ้นนี้มาห่อเก็บไว้ที่บ้าน กระดูกนี้ร่วนดำ แสดงให้เห็นว่าผู้ตายถูกพิษ กระดาษแผ่นนี้บันทึกวันเวลา และรายชื่อผู้มาร่วมงานศพ ถือว่าผู้น้อยให้การแล้ว ตูโถวตรวจดูให้ละเอียด”
อู่ซงถามว่า “ชายชู้เป็นใคร”
เหอจิ่วซูว่า “ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร ผู้น้อยฟังมาว่า วิ่นเกอเด็กขายสาลี่เคยไปจับชู้กับต้าหลางที่ร้านน้ำชา ทั้งถนนสายนี้ ใครบ้างไม่รู้ ตูโถวอยากรู้รายละเอียด คงต้องถามวิ่นเกอ”
อู่ซงว่า “ดี มีคนผู้นี้ ท่านไปกับข้าสักเที่ยว”
ทั้งสองมาถึงหน้าบ้านวิ่นเกอ เห็นวิ่นเกอหิ้วตะกร้าข้าวสารกลับมาพอดี เหอจิ่วซูทักว่า “วิ่นเกอ รู้จักตูโถวผู้นี้ไหม”
วิ่นเกอว่า “ฆ่าเสือมา ข้าจำได้ พวกท่านมาหาข้าทำไม” วิ่นเกอนกรู้ เดาออกแปดส่วนแล้ว กล่าวต่อว่า “แต่มีเรื่องหนึ่ง ข้ามีพ่อเฒ่าอายุหกสิบกว่าต้องเลี้ยงดู ไม่มีเวลาไปขึ้นโรงขึ้นศาล”
อู่ซงว่า “น้องชาย” แล้วควักเงินมาห้าตำลึง กล่าวต่อว่า “วิ่นเกอ เจ้าเอาเงินนี่ให้พ่อเป็นค่าใช้จ่าย แล้วตามข้ามาคุยกันหน่อย”
วิ่นเกอคิดดูว่า “เงินห้าตำลึงพอใช้ถึงห้าเดือน ไปโรงศาลหน่อยคงไม่เป็นไร” วิ่นเกอนำเงินและข้าวสารไปให้พ่อแล้วตามอู่ซงมายังร้านอาหารปากซอย
อู่ซงสั่งอาหารจานเดียวมาสามที่ แล้วกล่าวกับวิ่นเกอว่า “น้องชายอายุยังน้อย รู้จักเลี้ยงดูครอบครัว เงินห้าตำลึงที่ข้าให้เป็นค่าใช้จ่ายเพราะข้ามีเรื่องขอร้อง เสร็จเรื่องแล้ว ข้าจะให้เจ้าอีกสิบห้าตำลึง เจ้าช่วยเล่าเรื่องที่เจ้าไปช่วยพี่ชายข้าจับชู้ที่ร้านน้ำชาให้ฟังโดยละเอียด”
วิ่นเกอว่า “ข้าเล่าให้ฟังแล้ว อย่าโกรธตายเสียก่อนล่ะ วันที่สิบสามเดือนอ้ายปีนี้ ข้าหิ้วตะกร้าสาลี่จะไปขายให้ซีเหมินชิ่งแต่หาตัวไม่พบ มีคนบอกว่าเขาไปที่ร้านน้ำชาถนนจื่อสือ อยู่กับเมียอู่ต้าคนขายชุยปิ่ง นางตกเบ็ดเขาติดไปหากันทุกวัน ข้าจึงไปหาเขาแต่ถูกยายหมูหมาขวางไว้ไม่ให้เข้าไปในห้อง ข้าจึงว่าแทงใจดำเข้า ยายหมูหมาไล่เขกไล่ตบข้าออกมา เทสาลี่ข้าหกเต็มถนน
ข้าโกรธจึงไปหาต้าหลาง เล่าเรื่องให้ฟัง เขาจะมาจับชู้ ข้าเลยบอกว่า “ไม่ได้หรอก ซีเหมินชิ่งมีเส้นสาย จับไม่ได้คาหนังคาเขา เขาฟ้องกลับจะเสียเรื่อง พรุ่งนี้พวกเรานัดกันใหม่มาพบกันที่หัวถนน ท่านทำชุยปิ่งน้อยหน่อย ข้าจะจับตาดูซีเหมินชิ่ง พอเขามาถึง ข้าจะเข้าไปก่อกวนที่ร้าน ท่านเอาหาบฝากเขาเอาไว้ พอข้าทิ้งตะกร้าเป็นสัญญาน ท่านก็ตรงเข้าห้องไปจับชู้” วันนั้นตามที่นัดกัน ข้าหิ้วตะกร้าเข้าไปด่ายายหมาที่ร้าน นางออกมาไล่ตีข้า ข้าทิ้งตะกร้าเป็นสัญญาณ แล้วตรึงยายหมาไว้กับกำแพง
1
อู่ต้าหลางรีบวิ่งเข้าร้านไป ยายหมาตะโกนบอกว่า อู่ต้ามาแล้ว พวกเขาจึงใส่กลอนประตู อู่ต้าเข้าไม่ได้ ได้แต่ยืนตะโกนอยู่หน้าห้องไม่ทันระวัง ซีเหมินชิ่งเปิดประตูพรวดออกมาเตะใส่ต้าหลางทีหนึ่งหงายหลังล้ม ผู้หญิงก็ตามออกมาเข้าไปประคองต้าหลาง ข้าเองก็ตกใจเลยหนีไป ผ่านไปเจ็ดวันก็ฟังเขาว่าต้าหลางตายแล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าตายอย่างไร”
อู่ซงถามว่า “นี่เรื่องจริงหรือ เจ้าไม่ได้โกหกนะ”
วิ่นเกอว่า “ต่อให้ไปที่ว่าการ ข้าก็จะบอกเช่นนี้”
อู่ซงว่า “พูดก็ถูก น้องชาย”
กินข้าวเสร็จจ่ายเงินแล้ว เหอจิ่วซูขอตัวจะลากลับ อู่ซงบอกให้ตามมาเป็นพยานก่อน ทั้งสามเดินทางมายังที่ว่าการอำเภอ
นายอำเภอถามว่า “ตูโถวจะฟ้องร้องเรื่องอะไร”
อู่ซงแจ้งว่า “ซีเหมินชิ่งและพี่สะใภ้คบชู้กัน สมคบกันวางยาฆ่าอู่ต้าพี่ชายของผู้น้อย มีสองท่านนี้เป็นพยาน ขอนายท่านช่วยดำเนินคดีให้ด้วย”
นายอำเภอสอบปากคำเหอจิ่วซูและวิ่นเกอแล้วก็หารือกับเจ้าพนักงานอำเภอ 県吏 พวกเจ้าพนักงานเหล่านี้ล้วนร่วมสมคบกันหากินกับซีเหมินชิ่งเป็นประจำอยู่แล้ว ตัวขุนนาง 官人 ยิ่งไม่ต้องพูดถึง จึงพิจารณาว่าเรื่องนี้ไม่อาจดำเนินคดีได้
1
นายอำเภอว่า “อู่ซง เจ้าเองก็เป็นตูโถวของอำเภอนี้ ย่อมรู้ข้อกฎหมายว่า จับชู้ต้องจับเป็นคู่ ขโมยต้องมีของกลาง ฆ่าคนต้องมีร่องรอยการถูกทำร้าย ศพพี่ชายเจ้าบัดนี้ไม่มีแล้ว เจ้าก็ไม่ได้จับพวกเขาระหว่างคบชู้ อาศัยเพียงปากคำคนทั้งสองมาฟ้องคดีฆ่าคนตาย อาจเป็นถ้อยคำเท็จ เจ้าไม่อาจด่วนสรุป 造次 จงพิจารณาดูเอาเอง”
อู่ซงล้วงอกเสื้อ นำกระดูกร่วนดำสองชิ้น เงินแท่งสิบตำลึงและหนังสือฉบับหนึ่งออกมาแสดง แล้วว่า “ของพวกนี้หาใช่หลักฐานเท็จที่ผู้น้อยสร้างขึ้น”
นายอำเภอเห็นแล้วจึงว่า “เจ้าลุกขึ้นก่อน เรื่องนี้ต้องใช้เวลาปรึกษาหารือ หากดำเนินคดีได้ จึงจะไปจับตัวมา”
อู่ซงจึงรั้งตัวเหอจิ่วซูและวิ่นเกอไว้ให้อยู่ด้วยกันที่ห้องพักระหว่างรอ ในวันนั้นซีเหมินชิ่งก็รู้ข่าว จึงใช้คนมาวิ่งเต้นติดสินบนพวกเจ้าพนักงาน
เช้าวันรุ่งขึ้น อู่ซงมายังที่ว่าการ เร่งรัดนายอำเภอให้ไปจับตัวคนร้าย ขุนนางเจ้าของคดีรับเงินสินบนมาจึงนำกระดูกและเงินแท่งส่งกลับมาให้อู่ซง
บอกว่า
“อู่ซง ท่านอย่าได้หลงเชื่อคำยุยงให้ท่านเป็นอริกับซีเหมินชิ่ง เรื่องนี้ไม่ชัดเจนยากที่จะดำเนินคดี ปราชญ์ว่าไว้
 
经目之事,犹恐未真;
背后之言,岂能全信?
ที่เห็นตรงหน้า  เกรงว่าไม่จริง
ยิ่งกล่าวลับหลัง  ยังเชื่อได้ฤา
 
จึงไม่อาจด่วนสรุป”
เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์กล่าวเสริมว่า “ตูโถว คดีฆ่าคนตายโดยปกติต้องมีองค์ประกอบครบห้าประการจึงสอบสวนได้ คือ ซากศพ บาดแผล ป่วยไข้ วัตถุ ร่องรอย 尸、伤、病、物、踪 五件事全”
อู่ซงว่า “ในเมื่อนายท่านไม่รับคำฟ้อง จะว่าอย่างไรได้”
อู่ซงรับกระดูกและเงินแท่งกลับมาแล้วส่งต่อให้เหอจิ่วซูเก็บไว้ตามเดิม ออกจากที่ว่าการกลับมายังห้องพัก ให้ทหารเตรียมอาหารให้เหอจิ่วซูและวิ่นเกอด้วย แล้วว่า “พวกท่านรออยู่ในห้องนี้ก่อน ข้าไปสักพักเดี๋ยวมา”
อู่ซงออกจากที่ว่าการอำเภอพาทหารไปด้วยสามนาย นำเอา หมึก พู่กัน และแท่นฝนหมึกไปด้วย แวะซื้อกระดาษห้าแผ่น ให้ทหารอีกสองนายไปซื้อหัวหมู ไก่ ห่าน เหล้า และผลไม้ นำไปทำอาหารที่บ้านอู่ต้า
ตอนก่อนหน้า : เหอจิ่วซู
ตอนถัดไป : อู่ซงพิพากษา

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา