28 ธ.ค. 2023 เวลา 12:01 • ประวัติศาสตร์

• รวมเรื่องจริงประวัติศาสตร์การทดลองมนุษย์แบบในซีรีส์ Gyeongsong Creator โดย Histofun Deluxe

• โพสต์นี้ได้รับการสนับสนุนจาก Netflix
สิ่งมีชีวิตที่โหดร้ายที่สุดคือ มนุษย์ จริงหรือ? จากเรื่องราวการทดลองในซีรีส์ Gyeongseong Creature แน่นอนว่าเนื้อเรื่องนั้นเป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้นและตัวละครในเรื่องก็ไม่มีจริง
แต่สำหรับการทดลองมนุษย์ เชื่อว่าทุกคนต่างรู้ว่ามันมีเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ วันนี้เราจึงได้ชวน Histofun Deluxe มาเขียนเล่าข้อมูลประวัติศาสตร์การทดลองมนุษย์ที่เหี้ยมโหดจนคาดไม่ถึงว่ามนุษย์เราจะสามารถลงมือทำกันได้ขนาดนี้
“Gyeongseong Creatre เป็นเรื่องราวฤดูใบไม้ผลิของปี 1945 ที่เมืองกยองซอง (หรือกรุงโซลในปัจจุบัน) ในยุคที่เกาหลีตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น และ ตรงกับช่วงปลายของสงครามโลกครั้งที่สอง โดยมีเรื่องราวเกี่ยวกับโรงพยาบาลของกองทัพญี่ปุ่นในกยองซอง ฉากหน้าที่เหมือนจะเป็นโรงพยาบาลทั่วไป กลับเต็มไปด้วยความน่าสยดสยอง และสิ่งเลวร้ายที่ยากจะจินตนาการของสัตว์ประหลาดในคราบมนุษย์?!
1
เพื่อให้เข้ากับเนื้อหาของซีรีส์ที่พูดถึงการทดลองมนุษย์ ดังนั้นเราจึงขอพาทุกคนไปพบกับเรื่องราวสุดดาร์กของการทดลองมนุษย์ที่เคยเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ มาดูกันว่าการทดลองเหล่านี้ จะน่ากลัวและสยองขวัญมากแค่ไหน”
| Unit 731 การทดลองจับคนทำเชื้อโรค |
(ค.ศ. 1936-1945)
หน่วย 731 (Unit 731) เป็นหน่วยงานเพื่อทำการวิจัยและพัฒนาอาวุธชีวภาพของกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยมีชื่ออย่างเป็นทางการคือ กรมการผลิตน้ำสะอาดและป้องกันการแพร่เชื้อโรคของกองทัพคันโต (Epidemic Prevention and Water Purification Department of the Kwantung Army) ภายใต้การดูแลของพลโทนายแพทย์ ชิโร อิชิอิ (Shiro Ishii)
1
หน่วย 731 เริ่มดำเนินการในปี 1936 โดยมีฐานการวิจัยอยู่ที่เขตผิงฝาง เมืองฮาร์บิน ในดินแดนแมนจูเรีย ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน หรือที่ในตอนนั้นเป็นที่ตั้งของแมนจูกัว (Manchukuo) ประเทศหุ่นเชิดของญี่ปุ่น
หน่วย 731 ทำการทดลองในมนุษย์นับแสนคน ส่วนใหญ่เป็นชาวจีนและชาวเกาหลี รวมทั้งเชลยศึกชาวรัสเซียและอเมริกัน
การทดลองของหน่วย 731 โหดร้ายและไร้มนุษยธรรมอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น การฉีดเชื้อโรคหรือเลือดของสัตว์เข้าไปในร่างกายมนุษย์เพื่อศึกษาผลกระทบของโรค ทดสอบอาวุธชีวภาพโดยการโจมตีเมืองและหมู่บ้านที่มีพลเรือนอาศัยอยู่ รวมถึงผ่าตัดมนุษย์ทั้งเป็นเพื่อศึกษาการทำงานของอวัยวะภายใน
การทดลองของหน่วย 731 ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ตัวเลขผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการอยู่ที่ราว 3,000-12,000 คน แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตจริงอาจสูงมากกว่านั้น
1
หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงในปี 1945 หน่วย 731 ได้รับการยกเว้นจากการถูกดำเนินคดีในข้อหาอาชญากรสงคราม โดยแลกกับการให้ข้อมูลอาวุธชีวภาพกับสหรัฐอเมริกา เป็นผลให้สมาชิกของหน่วย 731 ไม่ได้รับโทษใด ๆ โดยเฉพาะกับพลโทอิชิอิ ที่มีการรายงานว่า ตัวเขายังพัวพันกับการสร้างอาวุธชีวภาพในสงครามเกาหลีด้วย
| การทดลองมนุษย์ของนาซีเยอรมัน |
(ค.ศ. 1936-1945)
นาซีเยอรมันภายใต้ผู้นำเผด็จการอย่าง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ มีแนวคิดเกี่ยวกับเชื้อชาติอารยันที่ว่า พวกเขาคือเชื้อชาติที่ยิ่งใหญ่และสูงส่งที่สุดเหนือคนเชื้อชาติอื่น ดังนั้นกลุ่มคนอย่างเช่นชาวยิว ชาวยิปซี รวมถึงผู้พิการและผู้ป่วยเรื้อรัง จึงตกเป็นเป้าหมายที่จะถูกกำจัดและถูกใช้ทดลอง โดยอ้างเหตุผลว่า การทดลองมีขึ้นเพื่อสุขอนามัยและความปลอดภัยของพลเรือนและทหารเยอรมัน
การทดลองมนุษย์ของนาซีมีขึ้นตามค่ายกักกันหลายแห่งในเขตพื้นที่ยึดครองของนาซี โดยเฉพาะการทดลองที่เกิดขึ้นที่ค่ายเอาชวิทซ์ (Auschwitz) ในโปแลนด์ นำโดยแพทย์ที่ชื่อ โจเซฟ เมงเกอเลอ (Josef Mengele) เจ้าของฉายา ‘เทวทูตแห่งความตาย’ (Angel of Death)
การทดลองมนุษย์ของนาซีมีหลากหลายรูปแบบ อย่างเช่น การทดสอบขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นจับเหยื่อไปแช่แข็ง ไปอยู่ในห้องแรงดันสูง ปล่อยให้อดน้ำอดอาหาร ทำให้เหยื่อติดสารพิษ รวมถึงบังคับทำหมันกับเหยื่อ
หรือจะเป็นการทดลองที่นำนักโทษที่เป็นฝาแฝดให้แยกจากกัน ก่อนที่จะลงมือสังหารหรือกระทำทรมานฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพื่อทดสอบว่าอิทธิพลทางพันธุกรรมหรือความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น สามารถถ่ายทอดระหว่างฝาแฝดได้หรือไม่
1
ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากการทดลองมนุษย์ของนาซียังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่คาดว่าน่าจะมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก บางคนประเมินว่าอาจมีผู้เสียชีวิตมากถึง 200,000 คน
1
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง แพทย์ที่รับผิดชอบในการทดลองมนุษย์ของนาซีถูกนำตัวขึ้นพิจารณาคดี บางคนถูกตัดสินประหารชีวิต ขณะที่บางคนถูกจำคุก แต่ตัวการสำคัญอย่างหมอเมงเกอเลอ สามารถหลบหนีไปยังอเมริกาใต้ (เช่นเดียวกับสมาชิกหลายคนของนาซี) ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตที่บราซิลในปี 1979
1
การพิจารณาโทษกับสมาชิกนาซี ยังมีส่วนในการออกหลักเกณฑ์ 10 ข้อเกี่ยวกับการทดลองมนุษย์ที่เรียกว่า กฎนูเรมเบิร์ก (Nuremberg Code) ที่เป็นแม่แบบสำคัญในการทดลองมนุษย์ที่ยึดมั่นในมนุษยธรรมและจรรณยาบรรณทางการแพทย์
1
| Tuskegee's Syphilis Study การทดลองอาการโรคซิฟิลิส|
(ค.ศ. 1932-1972)
ในปี 1932 หน่วยงานสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกาได้ทำการทดลองเพื่อศึกษาผลกระทบและอาการของผู้ป่วยโรคซิฟิลิส โดยศึกษากับชายอเมริกันผิวดำในเมืองทัสเคกี รัฐอลาบามา ที่ในตอนนั้นเกิดการแพร่ระบาดของซิฟิลิส
1
การทดลองเริ่มต้นจากการประกาศเชิญชวนชายอเมริกันผิวดำตามโบสถ์ สถานศึกษา และร้านค้าให้มาตรวจเลือดและตรวจสุขภาพฟรี โดยมีชายอเมริกันผิวดำมากกว่า 600 คน เข้ารับการตรวจ
2
ผลคือมีชายผิวดำจำนวน 399 คน ที่มีเชื้อซิฟิลิสในร่างกาย แต่ชายเหล่านี้จะถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ส่วนกลุ่มที่สองไม่ได้รับการรักษาแต่จะถูกติดตามอย่างใกล้ชิด รวมถึงได้รับการรักษาแบบหลอก ๆ โดยบอกว่า พวกเขาป่วยด้วยโรคอื่นที่ไม่ใช่ซิฟิลิส
เท่ากับว่าหน่วยงานสาธารณสุขจงใจให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษา ทั้ง ๆ ที่สามารถรักษาพวกเขาได้ เพราะอยากรู้ว่า การเป็นซิฟิลิสในระยะยาวมีผลอย่างไร
เวลาผ่านไปหลายคนเสียชีวิตจากซิฟิลิสหรือจากภาวะแทรกซ้อนของโรค ที่สำคัญในบางคน ภรรยาและลูกของพวกเขาก็ติดเชื้อซิฟิลิสเช่นกัน
เรื่องราวอันดำมืดนี้ถูกแฉในปี 1972 ผ่านหนังสือพิมพ์ The New York Times ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง การทดลองจึงต้องยุติลงหลังดำเนินการนานกว่า 40 ปี รัฐบาลสหรัฐอเมริกาต้องออกมาขอโทษอย่างเป็นทางการและจ่ายเงินชดเชยกับผู้ถูกทดลองและครอบครัว
| Vipeholm Experiment การทดลองฟันผุ |
(ค.ศ. 1945-1953)
ระหว่างปี 1945-1953 บรรดาโรงงานอุตสาหกรรมน้ำตาลและขนมหวานในประเทศสวีเดน ร่วมกับหน่วยงานทางการแพทย์ของสวีเดนได้ทำการทดลองเกี่ยวกับฟันผุ เพื่อหาความเชื่อมโยงว่า การทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตมีส่วนต่อการเกิดฟันผุหรือไม่ โดยเลือกทดลองกับผู้ป่วยที่บกพร่องทางสมองในโรงพยาบาลไวเพโฮล์ม
มีผู้ป่วยเข้าร่วมการทดลองมากกว่า 660 คน ซึ่งทั้งหมดไม่ได้เต็มใจที่จะถูกทดลอง ผู้ป่วยจะถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม และถูกบังคับให้ทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลสูงทุกวัน
1
กลุ่มแรกจะทานขนมปังที่โรยด้วยน้ำตาลเป็นประจำทุกมื้อ กลุ่มที่สองจะดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลระหว่างมื้ออาหาร และกลุ่มที่สามต้องกินช็อคโกแลต คาราเมล และท๊อฟฟี่ชนิดเหนียวพิเศษ ระหว่างมื้ออาหาร
ผลจากการทดลอง พบว่าผู้ป่วยในกลุ่มที่ได้รับขนมหวานและท๊อฟฟี่ชนิดเหนียวพิเศษทุกวัน มีฟันผุมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ อย่างมีนัยสำคัญ ผู้ป่วยเหล่านี้มีฟันผุเฉลี่ย 20 ซี่ต่อคน ขณะที่ผู้ป่วยในกลุ่มอื่น ๆ มีฟันผุเฉลี่ยอยู่ที่ 5 ซี่ต่อคน
และแน่นอนว่าเมื่อผู้ป่วยเกิดฟันผุ ทันตแพทย์ก็จะถอนฟันของพวกเขา มีรายงานว่ามีฟันของผู้ป่วยที่ถูกถอนจากการทดลองนี้มากกว่า 5,000 ซี่
การทดลอง Vipeholm ทำให้ได้ข้อสรุปว่า คาร์โบไฮเดรตเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดฟันผุจริง อย่างไรก็ตามเมื่อการทดลองนี้ถูกเปิดเผย ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมอย่างหนัก เนื่องจากเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง มีการบังคับขืนใจผู้ป่วย และการที่ผู้ป่วยถูกบังคับให้ทานอาหารที่มีน้ำตาลและแป้งสูง ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวอีก
| MK-Ultra ปฏิบัติการล้างสมองมนุษย์ |
(ค.ศ. 1953-1973)
ในปี 1953 หน่วยสืบราชการลับของสหรัฐอเมริกาอย่าง CIA ได้เริ่มต้นโปรเจคทดลองลับภายใต้ชื่อเอ็มเค-อัลตร้า (MK-Ultra) โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาขั้นตอนและระบุตัวยาที่สามารถนำมาใช้ในการสอบสวน เพื่อทำให้ผู้ที่ถูกสอบสวนอ่อนแอลงและบังคับให้รับสารภาพได้ ผ่านการล้างสมองและการทรมานทางจิตใจ
นอกจากนี้จุดเริ่มต้นของโปรเจค ยังมาจากความกลัวที่ว่า เชลยสงครามชาวอเมริกันอาจถูกฝ่ายคอมมิวนิสต์ล้างสมองได้ ดังนั้น CIA จึงจำเป็นต้องหาวิธีการล้างสมองเช่นเดียวกัน
MK-Ultra ใช้วิธีการมากมายในการจัดการกับสภาพจิตใจและการทำงานของสมองของผู้ถูกทดลองจำนวนหลายร้อยคน โดยที่ผู้ถูกทดลองเหล่านี้ไม่ได้ให้ความยินยอมแต่อย่างใด
การทดลองเกิดขึ้นตามมหาวิทยาลัย โรงพยาบาล และเรือนจำทั้งในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา โดยที่ผู้ถูกทดลองบางคนยังไม่รู้ตัวเลยว่า ตนกำลังถูกทดลองอยู่
วิธีการทดลองมีทั้งให้ยาออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทในปริมาณมากโดยเฉพาะ LSD กินยาที่ทำให้ร่างกายเกิดอัมพาต การใช้ไฟฟ้าช็อต การสะกดจิต การล่วงละเมิดทั้งทางวาจาและทางเพศ รวมถึงการทรมานในรูปแบบอื่น ๆ อีกมากมาย
ในปี 1973 หลังเกิดกรณีอื้อฉาวอย่างคดีวอเตอร์เกท ทำให้ริชาร์ด เฮล์มส์ (Richard Helms) ผู้อำนวยการของ CIA ในขณะนั้น สั่งทำลายเอกสารของ MK-Ultra ทั้งหมด
แต่ในปี 1975 รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนกิจการภายในของ CIA จนนำไปสู่การเปิดเผยโปรเจคดังกล่าว โดยมีหลักฐานเป็นเอกสารบางส่วนที่ยังไม่ได้ถูกทำลาย ผลสุดท้ายนำไปสู่การที่กลุ่มผู้เสียหายที่เคยถูกทดลองจาก MK-Ultra ยื่นฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจาก CIA
การทดลองของ MK-Ultra ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับภาพยนตร์และซีรีส์อย่าง The Men Who Stare at Goats, Jason Bourne รวมไปถึง Stranger Things
#HistofunDeluxe #GyeongseongCreature #สัตว์สยองกยองซอง #NetflixTH
โฆษณา