5 ม.ค. เวลา 06:17 • การเมือง

จักรวาลการเมือง !! “ชวน” ลดช่องว่าง เตือนความมั่นคง อย่าทดลอง (Ep.จบ)

รู้ซึ้งถึงสภาพชาวบ้านที่แสนเข็น คิดแก้ปัญหา ไม่สร้างปัญหา ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนผ่านนโยบายเด็ด ๆ ได้จังหวะครบรอบ 20 ปี ปล้นปืนค่ายปีเหล็ง เตือนรัฐบาลระวังใช้นโยบายมั่นคงบ้านเมือง
หลักประชาธิปไตย ต้องยึดให้แน่น !!
สร้างโอกาส ลดช่องว่าง - ความมั่นคงพลาดแล้วแก้ยาก !!
ผู้อาวุโสแห่งจักรวาลการเมือง “นายหัวชวน หลีกภัย” กางนโยบายลดช่องว่างสุดภูมิใจ สร้างโอกาส ปักธงพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทย...กยศ. – ดื่มนมฟรี – เบี้ยผู้สูงอายุ ขนาบข้างหลายรัฐบาล พรรคการเมืองปักโปรหาเสียง
อย่างที่เรียนว่า ผมโตขึ้นมาจากที่ต้องอยู่วัดถึงได้เรียนหนังสือ ถ้าไม่มีวัด ผมก็ลำบาก พ่อเป็นข้าราชการชั้นจัตวา ส่งลูกคนเดียวหมด ลูกมี 8 คน ได้เรียน 7 คน อีกคนเสียสละจบ ป.4 อยู่บ้านช่วยแม่กรีดยาง ทำงานทุกอย่าง
เราไปเรียนกรุงเทพฯ ต้องไปอาศัยวัด มื้อเช้าห่อข้าวไป ค่าหอพักไม่ต้องเสีย แต่ผู้หญิงอยู่วัดไม่ได้ ในมหาวิทยาลัยนักเรียนเป็นผู้ชายเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะคณะอะไรก็ตาม ผมเรียนนิติศาสตร์ ผู้หญิงน้อยมาก ๆ เดี๋ยวนี้ไปดูสิผู้ชายเกือบหาไม่ได้ ผู้หญิงเต็มไปหมด
เพราะโอกาสเกิดขึ้น !!
วันหนึ่งเมื่อการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ได้ลูกชาวบ้านอย่างผมมาเป็นนายกฯ ถึงได้คิดแก้ปัญหาที่ไม่สร้างปัญหา – ไม่คิดแก้ปัญหาด้วยวิธี คือยอมรับสภาพ เรารู้ชาวบ้านลำบากยากจนเป็นอย่างไร
ผมขยายมหาวิทยาลัยไป 11 จังหวัด และตั้งกองทุนกยศ. (กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา) ขึ้น !! ตอนเป็นนายกฯ ครั้งแรก
สมัยนั้นเขาบอกทำไม่ได้หรอก...ใช่ครับ เพราะถ้าทำอย่างนั้นใช้เงินเยอะมาก เปิดมหาวิทยาลัย (ม.) แห่งหนึ่งเป็นพันล้าน แต่เราหารือหลายฝ่าย ในที่สุดใช้ยุทธวิธี “เปิดมหาลัยแม่ให้ดูแล”
เช่น เปิดม.ที่หนองคายให้ม.ขอนแก่นดูแล – เปิดม.ที่พะเยาให้ม.นเรศวรดูแล - เปิดม.ที่สกลนครให้ม.เกษตรดูแล – เปิดม.ที่ตรัง สุราษฎร์ธานีให้ม.สงขลานครินทร์ดูแล – เปิดม.ที่กาญจนบุรีให้ม.มหิดลดูแล เป็นต้น รวม 11 จังหวัดทั่วประเทศไปได้ดีหมด
ขณะนี้ไปไกลกว่าเพื่อน คือม.พะเยาแยกออกมา ไม่ใช่ม.เนศวร วิทยาเขตพะเยาแล้ว ผมไปเยี่ยม ม.สกลนคร ม.ตรัง ไปได้ดีมาก
แต่ถึงแม้จะมีมหาวิทยาลัยไปเปิดถึงหน้าประตูบ้าน พ่อแม่จน ๆ ก็ส่งลูกเรียนไม่ได้ จึงเกิดกองทุน กยศ.ขึ้น
ผมตั้งงบประมาณไว้ 4 พันล้านบาทให้กู้ แต่หลังจากนั้นยุบสภา เลือกตั้งใหม่ก็แพ้ พรรคท่านบรรหาร ศิลปอาชา มาเป็นนายกฯ อยู่ประมาณปีหนึ่ง ท่านตัดงบจาก 4 พันล้าน เหลือ 3 พันล้าน แต่ดี...ท่านไม่เลิก
ในที่สุดจากจุดเริ่มต้น 3 พันล้าน วันนี้เงินเพิ่มขึ้นเป็น 730,000 ล้านบาท จากคนได้เรียนไม่กี่หมื่นคน เดี๋ยวนี้ได้เรียน 6,500,000 คน (น้ำเสียงหนักแน่น) อันนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ผมภูมิใจ
มีนักศึกษาหลายคนบอกผมว่า...นโยบายที่ทำไว้ คือการลดช่องว่างอย่างแท้จริง เพราะเวลาพูดลดช่องว่างจะพูดเป็นหลัก ๆ คนรวยมาก คนจนลำบาก แต่ภาคปฏิบัติ เราไม่ค่อยเห็น
เด็ก ผู้สูงอายุ คุณภาพคนเรื่องใหญ่ !?
ตอนนี้ประชากรของเราลดลง แต่ว่าคุณภาพเป็นเรื่องใหญ่ ทั้งคุณภาพในแง่ร่างกาย – แง่สุขภาพอนามัย
ยิ่งเห็นความบกพร่องในส่วนราชการทั้งหลายทั่วไปประเทศ ยิ่งเห็นคุณภาพคนสำคัญมาก ๆ เพราะถ้าเราได้คนไม่มีคุณภาพไปทำอะไร ก็ขาดความรับผิดชอบ มีปัญหาตามมา
ผมภูมิใจที่ได้ทำนโยบายดื่มนมฟรี...นมโรงเรียนขึ้นมา !!
เดี๋ยวนี้สรีระเด็กไทยเปลี่ยนไป โรงพยาบาลบอกผมว่า คนไทยสูงขึ้นถัวเฉลี่ย 11 ซม. และผลพวงอันหนึ่งจากนโยบายนี้ที่เห็นชัด คือทีมวอลเลย์บอลหญิง น้อง ๆ ผู้หญิง สรีระสูงขึ้น สวยงามขึ้น
ขณะเดียวกันไม่มองข้าม...ผู้สูงอายุ !!
เวลาหาเสียง เรารู้ชาวบ้านยากลำบาก เบี้ยผู้สูงอายุเกิดขึ้น และมีผลถึงทุกวันนี้ ผมต้องขอบคุณ แม้ว่าบางรัฐบาลไม่หนุนเลย
ผมเคยทำไว้ 200 บาทในสมัยนู้น ซื้อไข่เป็ด ไข่ไก่กินได้ทั้งเดือน ต่อมาเพิ่มเป็น 300 บาท ต่อมายุคคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ 5 ปีกว่า ๆ ไม่ได้เพิ่มเลย กระทั่งท่านสุรยุทธ์ จุลานนท์ ยึดอำนาจ มาเป็นท่านประยุทธ์ จันทร์โอชา นี่คือที่มาเบี้ยผู้สูงอายุ 500 บาท
แต่วันนี้ทุกพรรคการเมืองเห็นดีหมด...ผมภูมิใจสิ่งที่เราทำไปนั้นยังมีผล
และความเป็นลูกชาวบ้าน รู้ว่าชาวบ้านจน ๆ ไปโรงพยาบาลเงินหมดก็คือหมด จึงเกิดเป็นนโยบายรักษาฟรี เด็ก ผู้สูงอายุ...ก่อนมาเป็น 30 บาท !!
คนพอมีรายได้ ถือบัตรผู้มีรายได้น้อย – คนมีเงิน เจ้าของร้านค้าใหญ่โต ไม่มีสิทธิ์ฟรี สมมติคนพอมีฐานะหน่อย ซื้อบัตร 500 บาท รัฐบาลออกให้ 500 รักษาได้ทั้งปี สมัยนู้นเพิ่มมาเป็นรัฐบาลให้ 1 พันบาทรักษาได้ทั้งปี สำคัญโรงพยาบาลอยู่ได้ ไม่ล้ม ไม่เป็นหนี้เป็นสิน อันนี้คะเนว่าคนมีเงินต้องมีส่วนร่วมจ่ายบ้าง
นอกจากนี้นโยบาย - โครงการส่งเสริมปลูกป่า ปลูกต้นไม้ ยังทำมาถึงปัจจุบัน !!
ปลูกวันวานโตวันนี้ ปลูกวันนี้โตวันหน้า เช่น ต้นจำปาขาว - ต้นหลุมพอ – ต้นยางนา - ต้นแซะ - ต้นสนสามพันปี – ต้นเบาบับ - ต้นยมชวน ฯลฯ ไม่ใช่แค่ความร่มรื่น ยังนำมาสู่เรื่องของมลพิษ พีเอ็ม 2.5 - คาร์บอนไดออกไซด์ - โลกร้อนด้วย
ต้นไม้ให้ออกซิเจน ทุกอย่างมันก็ได้ประโยชน์
ผมห่วงบางจังหวัด กรมทางหลวงจะตัดต้นไม้ เวลาเกิดอุบัติเหตุ หรือต้นไม้ล้ม ซึ่งต้องแสดงความเสียใจกับความสูญเสีย และเห็นใจเจ้าหน้าที่เดือดร้อน แต่ต้นไม้มันไม่ผิด ไม่ควรคิดหนีปัญหา ด้วยวิธีตัดต้นไม้ให้หมด
ความมั่นคงใต้ ต้องระมัดระวัง !?
ผมเป็นนายก 6 ปีกว่า ๆ เห็นชัดนโยบายความมั่นคงแห่งชาติภาคใต้มีเฉพาะ และพัฒนามาโดยลำดับ จนพูดได้ว่าปัญหาพุทธไปมัสยิด - อิสลามไปวัด ไม่มีปัญหา
เดี๋ยวนี้พุทธออกไปบิณบาตรต้องมีทหารนำหน้า...มันอะไรกัน !? ทั้งหมดมาจากความผิดพลาดของฝ่ายการเมือง
นโยบายโจรกระจอก 8 เม.ย. 44 ประกาศแก้ปัญหาภาคใต้หมดภายใน 3 เดือน ด้วยวิธีเก็บฆ่าคนร้ายโจรกระจอกเดือนละ 20 คน เดือนสองเดือนก็หมด เป็นต้นตอไฟใต้ปะทุ
เราก็รู้มุสลิมเขาก็รักพวกพ้อง เขาใช้คำว่า “ถึงไม่ใช่ญาติก็พี่น้องกัน” ดูอย่างอิสราเอลกับฮามาส ประเทศมุสลิมทั่วโลกหนุนฮามาสหมด เพราะถือเป็นพี่น้อง ฉันใดภาคใต้เหมือนกัน
ดังนั้นการไปทำอะไรที่ผิดทำนองคลองธรรมกฎหมาย…นอกหลักนิติธรรม มันสร้างเงื่อนไข ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ก่อตัวใหม่ ไม่ใช่บูโร - บีอาร์เอ็น แต่คืออาร์เคเค (RKK) คนกลุ่มนี้ใช้เวลา 3 ปี ต่อมา 4 ม.ค. 47 เข้าปล้นปืนที่ค่ายปีเหล็ง (อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส) ไป 400 กว่ากระบอก
เป็นการปล้นปืนใหญ่ที่สุดในรัตนโกสินทร์ !!
ปืนส่วนใหญ่ยังอยู่ในมือคนร้ายที่ก่อเหตุจนถึงทุกวันนี้ มีคนเสียชีวิตไปแล้ว 7,500 กว่าคน มีผู้พิพากษาตาย 4 แยกปัตตานี ท่านเป็นคนเชียงใหม่ แต่ที่น่าอนาถมาก คือการทำให้น่ากลัว ยิง เผา ตัดหัว ให้กลัวจะได้ย้ายออกมาพื้นที่
อันนี้เป็นผลพวกชัดเจน...นโยบายฝ่ายการเมือง ทำให้เกิดวิกฤติบ้านเมืองขึ้นมาได้เหมือนกัน เวลานี้ที่วิจารณ์กันอยู่รัฐบาลต้องใช้เงินเป็นแสน ๆ ล้านเข้าไปแก้ปัญหา กลับไปดูสิก่อนหน้านโยบายโจรกระจอก 8 เม.ย. 44 ต้องใช้เงินอย่างนี้ไหม !?
ถ้าดูตามประวัติศาสตร์ สมัยอยุธยา ปัตตานี – อยุธยามีข้อพิพาทกันหลายครั้ง ต่อเรือมารบกันหลายเที่ยว แต่เที่ยวหลังไม่รบกันแล้ว เพราะผู้ครองนครกับพระสงฆ์ช่วยกันเจรจาให้ปัตตานีส่งดอกไม้เงิน ดอกไม้ทองมาถวายหลังเสร็จสิ้นสงคราม อันนี้ทำให้เห็นว่า...เขาเคยรุ่งเรือง
ดังนั้นวันหนึ่ง เมื่อเขาย่อย่อนอ่อนลง เพราะมีการแบ่งแยกลูกหลานก็คิดแข็งเมือง การแบ่งแยกดินแดนก็ไม่ใช่ของแปลก ถ้าไม่คิดสิแปลก !!
แต่โดยพระวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกลของรัชกาลที่ 6 (พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว) มีหลักรัฐประศาสนโยบาย 6 ข้อ การปกครองต้องทำอย่างไร ข้าราชการที่ส่งไปต้องเป็นคนดี...ทันสมัยมาก
แต่สำคัญที่สุด คือความคิดพวกนี้มีอยู่ แต่ค่อย ๆ อ่อนลง ๆ
ตอนถึงรัชกาลที่ 9 (พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร) ชัดเจนมากว่า พระองค์ท่านทรงรอบรู้ เข้าใจปัญหาถ่องแท้ที่สุด ในหลวงท่านไปประทับที่ทักษิณราชนิเวศน์ จ.นราธิวาส แล้วท่านออกเยี่ยมชาวบ้าน 40 กว่าปี (น้ำเสียงหนักแน่น)
ส.ค. ก.ย. เห็นเหงื่อ (พระเสโท) ท่วมเลย บางทีไปเจอชาวบ้านนุ่งผ้าขาวม้าอยู่ไม่ทันตั้งหลัก ท่านไปดูว่าใช้น้ำที่ไหน แหล่งน้ำอยู่ไหน
สมเด็จพระราชินี (สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง) ไปประทับ ช่วยหาอาชีพให้แม่บ้าน
ท่านทำอย่างนี้ 40 กว่าปี (น้ำเสียงหนักแน่น) !!
ดังนั้นความขัดแย้งอะไรทั้งหลายค่อย ๆ คลี่คลาย ๆ ลง ผมใช้คำว่า...ไฟดับแล้ว
ผมถึงย้ำเสมอ เรื่องความมั่นคงของบ้านเมือง อย่าทดลอง เวลาทดลองพลาดแล้ว...แก้ยาก
ส่วนภาพอนาคตบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร ถึงจะเบื่อว่าเป็นอย่างนี้ แล้วต้องเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น แต่เราต้องยึด...หลักการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ต้องยึดหลักนี้ให้แน่น !! ---Ep.จบ---
.
WhoChillDay
5 ม.ค.2567
#ชวน หลีกภัย #จักรวาลการเมือง
#ลดช่องว่าง #ความมั่นคง #ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา