Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
กุ้ยหลิน
•
ติดตาม
8 ม.ค. 2024 เวลา 12:36 • ประวัติศาสตร์
ขุนโจรเหลียงซาน 62
อู่ซง ผู้จาริก (16) ดงสำราญ
เป็นเวลาพักใหญ่ ซือเอินจึงได้รีบร้อนออกมาคารวะอู่ซง
อู่ซงรีบคารวะตอบกล่าวว่า “ผู้น้อยเป็นเพียงนักโทษยังไม่เคยมีโอกาสคารวะทำความรู้จัก วันก่อนก็ได้ท่านช่วยไว้ไม่ให้โดนโบย ทุกวันนี้ยังคอยส่งอาหารอย่างดีมาเลี้ยงดู รู้สึกไม่สมควร ด้วยไม่เคยรับใช้สิ่งใด เอาแต่รับไว้ กินนอนไม่เป็นสุข”
ซือเอินตอบว่า “ผู้น้อยได้ยินชื่อเสียงของพี่ท่านมานาน เหมือนฟ้าร้องก้องหู แต่มีเมฆบังไว้ จนใจไม่อาจพบหน้า มาวันนี้โชคดีที่พี่ท่านมาถึงที่นี่ ใคร่คารวะทำความรู้จัก แต่เกรงว่าไม่มีอะไรมาต้อนรับ รู้สึกขายหน้ามิกล้ามาพบ”
อู่ซงถามว่า “ได้ฟังผู้ติดตามของท่านว่าให้อู่ซงรอสักสามถึงหกเดือนจะมีเรื่องพูดด้วย ท่านผู้กำกับน้อยมีเรื่องอันใด”
ซือเอินว่า “บ่าวไม่รู้ความ หลุดปากให้พี่ท่านรู้ จะให้รีบด่วนกล่าวได้อย่างไร”
อู่ซงว่า “ผู้กำกับน้อยท่านใช้ลูกเล่นเช่นบัณฑิต กลับทำเอาอู่ซงท้องไส้ปั่นป่วน ทนได้อย่างไร ท่านพูดมาตามตรงเถิดจะให้ข้าทำอะไร”
ซือเอินว่า “ในเมื่อบ่าวได้หลุดปากไปแล้ว ผู้น้องจึงจำต้องบอก เรื่องที่จะร้องขอนี้ เว้นแต่ชายชาตรีผู้ห้าวหาญเช่นพี่ท่านแล้วคงมิอาจสำเร็จ เพียงแต่พี่ท่านเดินทางมาไกล เรี่ยวแรงยังไม่ฟื้นฟู จึงควรพักสักห้าหกเดือน พละกำลังคืนมาแล้วจึงค่อยคุยรายละเอียดกัน”
1
อู่ซงหัวเราะก้องว่า “ผู้กำกับน้อยฟังข้า ปีที่แล้วข้าเป็นไข้จับสั่นนานสามเดือน พอขึ้นเนินจิ่งหยาง เมาเหล้าสู้กับเสือ ใช้เพียงสามหมัดสองเท้าก็ฆ่ามันตายได้ วันนี้จะเท่าไรกันเชียว”
ซือเอินว่า “กระนั้นก็เถิด รอให้พี่ท่านพักฟื้นบำรุงกำลังดีแล้ว จึงกล้าบอก”
อู่ซงว่า “หาว่าข้าไม่มีแรงแล้วสิ เอาอย่างนี้ เมื่อวานข้าเห็นหินก้อนใหญ่ที่หน้าศาลโลกบาล น้ำหนักหลายชั่งอยู่”
ซือเอินว่า “น่าจะมีสี่ห้าร้อยชั่ง”
อู่ซงว่า “ท่านกับข้าไปดูด้วยกัน อู่ซงไม่รู้ว่าจะขยับมันไหวไหม”
ซือเอินว่า “เชิญดื่มให้หมดแล้วค่อยไปกัน”
อู่ซงว่า “ไปกันก่อนแล้วค่อยกลับมาดื่มยังทัน”
ทั้งสองพากันมายังหน้าศาลโลกบาล พวกนักโทษเห็นอู่ซงและผู้กำกับน้อยมาด้วยกันต่างโค้งคำนับและขานคารวะ
อู่ซงเข้าโยกหินก้อนที่ว่าดู แล้วหัวเราะเสียงดังกล่าวว่า “ผู้น้อยก็โม้มากไปหน่อย ใครจะไปยกไหว”
ซือเอินว่า “หินหนักห้าร้อยชั่ง ดูถูกมันได้อย่างไร”
อู่ซงหัวเราะว่า “ผู้กำกับน้อย ก็เชื่อว่ายกไม่ขึ้น พวกท่านหลบไป ให้อู่ซงยกดู”
อู่ซงถอดเสื้อท่อนบนเอามาพันรอบเอว โอบหินก้อนนั้น ค่อยๆ อุ้มขึ้นมาแล้วโยนโครมลงพื้นจมลึกราวหนึ่งฟุต พวกนักโทษต่างอ้าปากค้าง แล้วอู่ซงก็เอามือขวาล้วงลงดินเข้าไปยกหินขึ้นมา โยนขึ้นฟ้าสูงราวหนึ่งจ้าง (一丈 333.3 ซม.) เอาสองแขนรับไว้แล้วค่อยๆ วางลงตรงที่เก่า หันกลับมามองดูซือเอินและเหล่านักโทษ หน้าไม่แดง ใจไม่เต้นรัว หายใจไม่เหนื่อยหอบ
ซือเอินเดินเข้ามากอดอู่ซง แล้วทำคารวะกล่าวว่า “พี่ท่านไม่ใช่คนธรรมดา เป็นเทพโดยแท้”
เหล่านักโทษพร้อมกันคารวะกล่าวว่า “เป็นเทพโดยแท้”
神力惊人心胆寒,皆因义勇气弥漫。
掀天揭地英雄手,拔石应宜似弄丸。
เรี่ยวแรงเทพข่มขวัญอกหวั่นไหว
ซึมซ่านในคุณธรรมความกล้าหาญ
หัตถ์วีรชนขย่มฟ้าข่มบาดาล
ถอนหินผาปานว่าเล่นลูกหิน
ซือเอินเชิญอู่ซงไปยังคฤหาสน์ของตน อู่ซงว่า “ผู้กำกับน้อยคราวนี้คงต้องบอกแล้วว่า มีอะไรจะให้ข้าไปทำ”
ซือเอินว่า “เชิญนั่งก่อน รอพบบิดาแล้วจึงบอกเสียทีเดียว”
อู่ซงว่า “ท่านจะให้คนช่วยงาน ก็ไม่ควรรีๆ รอๆ ดังสตรีเยี่ยงนี้ เรื่องจะฆ่าจะฟันกัน อู่ซงก็ช่วยท่านได้ ที่พูดนี่ไม่ได้สอพลอขอไปที”
ซือเอินว่า “พี่ท่านเชิญนั่งก่อน ขอให้ผู้น้องเล่าเบื้องหลังให้ท่านทราบโดยละเอียด”
อู่ซงว่า “ผู้กำกับน้อยอย่าได้เจ้าถ้อยหมอความนักเลย เอาเฉพาะเนื้อๆ พูดออกมาเถิด”
ซือเอินว่า “ผู้น้องอยู่ในวงนักเลงได้ร่ำเรียนเพลงอาวุธกับอาจารย์มาแต่เล็กพอมีวิชาติดตัว ผู้คนแถบเมืองเมิ่งโจวให้ฉายาผู้น้องว่า สมิงตาทอง 金眼彪
ทางตะวันออกนอกประตูเมืองที่ผู้น้องอยู่นี้ มีย่านการค้าเรียกว่า ดงสำราญ 快活林 พวกพ่อค้าจากซานตง เหอเป่ยต่างค้าขายกันที่นี่ มีโรงแรมที่พักร้อยกว่าแห่ง โรงบ่อนร้านแลกเงินยี่สิบกว่าสามสิบแห่ง
ผู้น้องอาศัยความสามารถของตัวเองส่วนหนึ่ง และอาศัยที่ว่าสามารถเกณฑ์นักโทษเก้าสิบคนไปช่วยงานได้อีกส่วนหนึ่ง จึงเปิดร้านขายส่งเนื้อและสุราส่งขายแก่บรรดาโรงแรมร้านค้าและโรงบ่อนอยู่เป็นปกติ พวกนางโลมสัญจรต้องมาหาผู้น้องก่อนจึงอนุญาตให้รับแขกในย่านนี้ได้ ร้านรวงเหล่านั้น วันๆ ทำเงินได้ไม่น้อย สิ้นเดือนมีรายได้ราวสามร้อยตำลึงเงิน
ไม่นานมานี้ ที่ค่ายทหารในเมืองนี้มีทหารอาสา 团练 (ถวนเลี่ยน) แซ่จาง 张 ย้ายมาจากเมืองตงลู่ 东路州 มีลูกน้องติดตามมาด้วยคนหนึ่ง แซ่เจี่ยง 蒋 ชื่อจง 忠 ตัวสูงใหญ่ถึงเก้าฉื่อ มีฉายาในวงนักเลงว่า ทวารบาลเจี่ยง 蒋门神 (เจี่ยงเหมินเสิน)
หมอนี่ไม่เพียงตัวใหญ่ ฝีมือยังดีทั้งหมัดมวยเพลงอาวุธ ยิ่งมวยปล้ำด้วยแล้ว คุยโตว่า “ประลองที่ไท่เยว่มาสามปี ไม่มีคู่ต่อสู้ ใต้ฟ้านี้ ไม่มีอย่างข้า” จึงมาแย่งที่ทำกินของผู้น้อง ผู้น้องไม่ยอมจึงโดนเล่นงานจนต้องนอนซมลุกไม่ขึ้นอยู่สองเดือน วันที่พี่ท่านมาถึง ยังโพกหัวเข้าเฝือกแขนอยู่เลย ทุกวันนี้ก็ยังไม่หายดี
เดิมก็คิดจะยกพวกไปเอาคืน แต่จางถวนเลี่ยนมีพวกในค่ายทหาร ถ้าไปคงต้องแตกหักกับทหารในค่าย จึงติดขัดอยู่ทำอะไรไม่ได้ ได้ฟังมานานว่าพี่ท่านทรงคุณธรรมกล้าหาญ หากพี่ท่านช่วยชำระแค้นนี้ให้ แม้ตายก็ตาหลับ เพียงแต่ว่าพี่ท่านเดินทางมาไกล จึงควรพักให้พละกำลังฟื้นฟูสักสามถึงหกเดือน ค่อยเชิญมาหารือ บ่าวกลับหลุดปากไปก่อน ผู้น้องจึงจำต้องบอกตามจริง”
อู่ซงฟังแล้วหัวเราะร่าถามว่า “ไอ้ทวารบาลเจี่ยงนี่มันมีกี่หัวกี่แขน”
ซือเอินว่า “ก็มีหนึ่งหัวสองแขน เอาที่ไหนมาเพิ่ม”
อู่ซงว่า “คิดว่ามีสามหัวหกแขน เก่งเหมือนนาจา ค่อยน่ากลัวหน่อย นี่มีแค่หัวเดียวสองแขน ไม่เหมือนนาจา น่ากลัวตรงไหน”
ซือเอินว่า “ผู้น้องด้อยความสามารถ สู้เขาไม่ได้”
อู่ซงว่า “ไม่ใช่ข้าคุยโตโอ้อวด ปกติก็อาศัยกำลังที่มีสั่งสอนพวกนักเลงหัวไม้ไร้คุณธรรมอยู่แล้ว แล้วจะมัวรออะไรอยู่ที่นี่ เหล้าก็ถือติดมือไปกินระหว่างทาง พวกเราไปกัน ข้าจะกำจัดไอ้หมอนั่นเหมือนที่กำจัดเสือ หากหมัดมันหนักกว่าอัดข้าตาย ก็แล้วกันไป”
ซือเอินว่า “พี่ท่านนั่งก่อน รอทำความรู้จักบิดาข้า ยังไม่ต้องรีบ พรุ่งนี้เราส่งคนไปดูก่อนว่ามันอยู่ไหม ถ้าอยู่มะรืนค่อยไป ถ้าไม่อยู่ นอกจากไปเสียเที่ยวแล้วยังกลายเป็นแหวกหญ้าให้งูตื่น มันรู้ตัวแล้วชิงลงมือ กลับไม่ดี”
อู่ซงชักหงุดหงิดว่า “ผู้กำกับน้อย นี่ไม่ใช่วิถีลูกผู้ชาย รออะไรวันนี้พรุ่งนี้ จะไปก็ไป กลัวเขาเตรียมตัวอะไรกัน”
ระหว่างเถียงกันอยู่นั้น ผู้กำกับเฒ่าก็เดินออกมาจากหลังฉากร้องทักมา “ท่านผู้กล้า ผู้เฒ่าได้ยินชื่อท่านบ่อยครั้ง วันนี้ได้มาพบ เหมือนเมฆเปิดเห็นตะวัน เชิญคุยกันที่ห้องโถงด้านหลังเถิด”
อู่ซงเดินตามมาด้านใน ผู้กำกับเฒ่าว่า “ท่านผู้กล้า เชิญนั่ง”
“ผู้น้อยเป็นนักโทษ จะไปนั่งเสมอท่านได้อย่างไร”
“ผู้กล้า อย่าได้กล่าวเช่นนั้น เป็นโชคของเฒ่าคร่ำครึได้พบกับท่าน อย่าได้ถ่อมตัวเลย”
อู่ซงจึงนั่งลง ส่วนซือเอินยังคงยืนอยู่ อู่ซงถามว่า “ผู้กำกับน้อย ยืนอยู่ทำไม”
“บิดาท่านนั่งอยู่ ณ ที่นี้ พี่ท่านตามสบายเถิด”
อู่ซงว่า “เช่นนั้น ผู้น้อยกลับอึดอัด”
ผู้กำกับเฒ่าว่า “ในเมื่อท่านผู้กล้ากล่าวเช่นนี้ ที่นี่ก็ไม่มีใครอื่น” จึงบอกซือเอินให้นั่งลง
บ่าวยกสุราอาหารมาจัดวาง ผู้กำกับเฒ่าเชิญอู่ซงดื่มและว่า “เฒ่าคร่ำครึค้าขายอยู่บ้างที่ดงสำราญ ก็ไม่ใช่หวังร่ำรวยอะไรมาก โดยแท้แล้วก็อยากดูแลย่านการค้าให้เป็นศรีสง่าแก่เมิ่งโจว ตอนนี้มาถูกทวารบาลเจี่ยงใช้กำลังช่วงชิงไป หากไม่ใช่ผู้กล้าท่านแล้ว คงมิอาจชำระแค้น หากผู้กล้าท่านมิทอดทิ้งเฒ่าคร่ำครึแล้ว โปรดดื่มสุราจอกนี้ รับการคารวะสี่กราบจากหนุ่มโง่เขลา กราบท่านเป็นพี่ชาย”
อู่ซงดื่มเหล้าแล้ว ซือเอินคุกเข่ากราบคารวะสี่หน ผูกสัมพันธ์เป็นพี่น้อง ในวันมงคลนี้ อู่ซงดื่มเต็มคราบจนเมาพักอยู่ที่คฤหาสน์
เช้าวันรุ่งขึ้น ซือเอินสองพ่อลูกหารือกันว่า “เมื่อคืนนี้อู่ซงดื่มหนัก วันนี้น่าจะยังเมาค้างอยู่ วันนี้จะให้ไปได้อย่างไร ผัดเป็นว่าให้คนไปสืบดูแล้ว เขาไม่อยู่ เลื่อนไปอีกวันค่อยไปจัดการ”
ซือเอินจึงมาหาอู่ซงบอกว่า “วันนี้ยังไปไม่ได้ ผู้น้องให้คนไปดูแล้ว หมอนั่นไม่อยู่ พรุ่งนี้กินข้าวเสร็จ ค่อยมาเชิญพี่ท่าน”
อู่ซงว่า “พรุ่งนี้ก็ได้ วันนี้ข้าคงอารมณ์เสียอีกวัน”
หลังอาหารเช้า ดื่มน้ำชาแล้ว ซือเอินพาอู่ซงไปเดินเล่นหน้าค่าย กลับมาถกกันเรื่องหมัดมวยเพลงอาวุธ พอถึงเที่ยงวัน ซือเอินเชิญอู่ซงมารับประทานอาหารกลางวันที่บ้าน รินเหล้ามาให้ไม่กี่จอก แต่อาหารและกับแกล้มไม่อั้น อู่ซงอยากเหล้าแต่ไม่มีเหล้ามาเติมจึงรู้สึกหงุดหงิด
พอกลับมาถึงห้องพัก บ่าวจัดน้ำท่ามาให้อาบ อู่ซงจึงถามว่า “ผู้กำกับน้อยของเจ้า วันนี้เป็นอะไร เอาอาหารมาให้มากมาย แต่เหล้ามีเพียงน้อยเดียว”
บ่าวตอบว่า “เช้านี้ ผู้กำกับเฒ่าหารือกับผู้กำกับน้อยว่า เมื่อคืนท่านดื่มหนัก คงเมาค้าง เรื่องที่จะไปทำวันนี้อาจเสียเรื่อง วันนี้จึงเติมเหล้าให้ไม่มาก พรุ่งนี้จะได้ไปกันได้”
อู่ซงว่า “เช่นนั้นคือ หาว่าข้าเมา ทำเสียงานใหญ่”
บ่าวว่า “คงทำนองนั้น”
คืนนั้นอู่ซงแทบรอให้เช้าไม่ไหว พอฟ้าสางล้างหน้าบ้วนปากแต่งตัวเอาผ้าสีน้ำตาลโพกหัว ผ้าแดงคาดเอว เอากอเอี๊ยะปิดทับรอยสักบนหน้าแล้ว ซือเอินก็มาเชิญไปกินอาหารเช้า หลังดื่มชาเสร็จ ซือเอินก็บอกว่า “ม้าเตรียมไว้แล้วด้านหลัง”
อู่ซงว่า “เท้าข้าไม่ได้บาง จะขึ่ม้าไปทำไม ข้ายังมีอีกเงื่อนไขหนึ่ง”
ซือเอินว่า “พี่ท่านบอกมา เงื่อนไขอะไรข้าก็ไม่ขัด”
อู่ซงว่า “พอออกนอกเมือง ท่านต้องชดเชยให้ข้า ครบสามจึงข้ามร้าน 无三不过望”
ซือเอินว่า “พี่ท่าน อะไรคือ ครบสามจึงข้ามร้าน ผู้น้องไม่เข้าใจ”
อู่ซงหัวเราะตอบว่า “จะบอกให้ เราจะไปต่อยตีกับทวารบาลเจี่ยง ตอนออกนอกเมือง เจอร้านเหล้าหนึ่งร้าน ท่านต้องเลี้ยงเหล้าข้าสามชาม ครบสามชามเราค่อยเดินต่อ นี่แหละ ครบสามจึงข้ามร้าน 无三不过望”
(望 ป้ายชื่อหรือธงชื่อร้านเหล้า เรียกว่า 酒望子 จิ่วว่างจื่อ)
ซือเอินว่า “ระยะทางไปถึงดงสำราญราวสิบห้าลี้ คงมีร้านเหล้าสักสิบสองร้าน ดื่มร้านละสามชาม มิเท่ากับสามสิบหกชามกว่าจะไปถึง กลัวว่าพี่ท่านจะเมาเสียก่อน”
อู่ซงว่า “ท่านกลัวข้าเมาแล้วหมดแรง ข้าน่ะยิ่งเมายิ่งแรงดี ดื่มหนึ่งส่วนแรงมาหนึ่งส่วน ดื่มห้าส่วนแรงมาห้าส่วน ดื่มเต็มสิบส่วนเรี่ยวแรงไม่รู้มาจากไหน ก็เพราะเมาแล้วใจกล้าจึงฆ่าเสือตายที่เนินจิ่งหยาง ตอนนั้น เมาเละเชียว เรี่ยวแรงดี ฝีมือมา กล้าลงมือ”
ซือเอินว่า “ไม่รู้ว่าพี่ท่านเป็นแบบนี้ ที่บ้านมีเหล้าชั้นดี เมื่อคืนกลัวพี่ท่านดื่มหนักจะเสียงาน ในเมื่อพี่ท่านยิ่งดื่มแรงยิ่งดี เช่นนั้นก็ให้บ่าวสองคน หาบเหล้าชั้นดีที่บ้านและกับแกล้มเดินนำไปก่อน ให้พี่ท่านค่อยแวะดื่มไปตลอดทาง”
อู่ซงว่า “นั่นแหละถูกใจข้าทำให้มีขวัญกล้า ไปท้าตีทวารบาลเจี่ยง หากขาดเหล้า มือเท้าอ่อนวาดลวดลายไม่ออก ไปให้มันล้มเอา ทำขายหน้าถูกห้วเราะเยาะ”
ซือเอินจึงให้บ่าวหาบเหล้ายาอาหารเดินนำไปพร้อมทั้งติดเงินปลีกเผื่อไปด้วย ผู้กำกับแดนเฒ่าไม่วางใจ ให้ชายฉกรรจ์ยี่สิบคนแอบสะกดรอยตามไป
ตอนก่อนหน้า : สมิงตาทอง
https://www.blockdit.com/posts/6598065266744d907c891b50
ตอนถัดไป : ทวารบาลเจี่ยง
https://www.blockdit.com/posts/659e9830f8311aa0e32dda97
1 บันทึก
2
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ขุนโจรเหลียงซาน ภาคต้น
1
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย