Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Rimping Supermarket
•
ติดตาม
13 ม.ค. 2024 เวลา 12:00 • อาหาร
Rimping Supermarket NimCity Branch
ย้อนรอยประวัติศาสตร์ Mason jar ขวดโหลสุดฮิตที่มีมานานกว่า 160 ปี
Mason jar ขวดโหลสุดฮิตที่ไม่ว่าใครต่อใครก็ต้องเคยเห็นผ่านตาและเคยสัมผัสผ่านมือกันมาบ้าง ด้วยความเรียบง่ายแต่ดูน่ารักแถมยังสารพัดประโยชน์ ทำให้บรรดาแม่บ้าน หรือร้านอาหารต่าง ๆ มักจะนำ มาใช้เป็นภาชนะใส่อาหารและวัตถุดิบกันอยู่เสมอ แต่ถึงแม้จะได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าขวดโหลแก้วชนิดนี้เรียกว่า Mason jar เพราะในบ้านเรามักจะเรียกรวม ๆ ว่าโหลแก้วนั่นเองค่ะ
History of the Mason jar
Mason jar เป็นขวดแก้วประเภทหนึ่งที่มักใช้สำหรับบรรจุอาหารและถนอมอาหาร ซึ่งมีมานานกว่า 160 ปี โดยมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของการถนอมอาหารมายาวนาน
Mason jar ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาครั้งแรกโดย จอห์น แลนดิส เมสัน ในปี 1859 เมสันเป็นช่างตีเหล็ก ในฟิลาเดลเฟีย (เมืองหลวงแห่งแรกของสหรัฐอเมริกาจนกระทั่งในปี 1800 ถึงได้ย้ายเมืองหลวงไปที่ วอชิงตัน ดีซี จนปัจจุบัน)
ในขณะนั้นเขากำลังมองหาวิธีการถนอมอาหารอยู่จึงเกิดความคิดที่จะทำโหลแก้วขึ้นมา เมสันนำแก้วทรงกระบอก มาผ่านความร้อนที่อุณหภูมิสูงแล้วขึ้นรูปเป็นขวดโหล และเพิ่มลวดลายตรงขอบโหลให้เป็นเกลียวสำหรับปิดฝา จากนั้นเขาได้นำสังกะสีมาเคลือบด้วยขี้ผึ้งแล้วทำเป็นฝาปิดอย่างมิดชิด เพื่อป้องกันอากาศและชะลอการเน่าเสีย
ต่อมาในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 สิ่งประดิษฐ์ของเขาก็ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วและกลายเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่เกษตรกรและแม่บ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีฤดูกาลเพาะปลูกสั้น ดังนั้นสิ่งของจำเป็นสำหรับพวกเขาก็คือบรรจุภัณฑ์ถนอมอาหาร ซึ่ง Mason jar เป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากสามารถนำไปถนอมอาหารได้หลากหลายประเภท ทั้งผลไม้ ผัก แยม เยลลี่ และผักดอง
นอกจากนี้ยังใช้กันทั่วไปในการจัดเก็บของแห้ง เช่น แป้ง น้ำตาล และกาแฟ นอกจากนี้ Mason jar ยังถูกมอบและแลกเปลี่ยนให้เป็นของขวัญในช่วงเทศกาลต่าง ๆ อีกด้วย เนื่องจากในขณะนั้นบรรจุภัณฑ์ถนอมอาหารเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงมาก
ในภายเมสันได้สูญเสียสิทธิบัตรของเขาไปในช่วงที่มีการพัฒนาโหลแก้วสำหรับบรรจุผลไม้ โดยศาลได้ตัดสินว่า เมสันเป็นผู้คิดค้นโหลแก้วถนอมอาหารขึ้นมาในปี 1859 จริง แต่ไม่ได้มีการยื่นขอสิทธิบัตรสำหรับโหลแก้วเวอร์ชั่นที่พัฒนาแล้วจนถึงปี 1868 ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันนั้นก็มีบริษัทอื่น ๆ ที่เริ่มผลิตโหลแก้วที่มีลักษณะและคุณภาพคล้ายกันขึ้นมา ทางศาลเห็นว่าตัวเมสันเองก็รับรู้แต่ไม่ได้พยายามที่จะรักษาสิทธิ์ตรงนี้ จึงอนุญาตให้โรงงานอื่น ๆ ผลิต จำหน่ายและจดสิทธิบัตรโหลแก้วนี้ไป
ถึงแม้ว่าเราจะเรียกโหลแก้วนี้ว่า Mason jar กันจนติดปาก แต่ชื่อที่เป็นอักษรนูน ๆ บนเนื้อแก้วกลับเป็นชื่ออื่น นั่นเพราะคู่แข่งต่างก็มีสิทธิบัตรและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง คำว่า Mason jar ก็ไม่ได้ปรากฏอยู่บนโหลแก้วอีกนับแต่นั้นเป็นต้นมา ชื่อที่ปรากฏอยู่บนโหลแก้วที่เราเห็นกันบ่อย ๆ จะเป็น Ball หรือ Kerr ซึ่งปัจจุบัน The Ball Corporation ถือเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ผลิต Mason jar มากที่สุดในสหรัฐอเมริกา
น่าเสียดายที่เมสันไม่ได้ประสบความสำเร็จจากสิ่งที่เขาประดิษฐ์ขึ้นมา และเสียชีวิตลงหลังจากเวลาผ่านไป 20 ปี นับจากที่เขาเสียสิทธิบัตรไป แต่อย่างไรก็ตามชื่อของเขาก็ยังคงเป็นที่จดจำของผู้คนที่ใช้โหลแก้วสไตล์นั้น เพราะผู้คนก็มักเรียกชื่อ Mason jar อยู่เสมอนั่นเอง
ถึงแม้ปัจจุบันผู้คนจะไม่นิยมใช้โหลแก้วในการถนอมอาหาร แต่ก็ยังคงใช้เป็นบรรจุภัณฑ์สำหรับสิ่งของต่าง ๆ โดยในช่วงต้นปี 2010 การฟื้นตัวของ Mason Jar ก็ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง 7-Eleven ได้นำ Mason jar มาใส่เครื่องดื่มชนิดใหม่ เพื่อโฆษณาในเรื่องของการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการนำเสนอของหวานที่ทันสมัย โดยได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มฮิปสเตอร์
1
สิ่งที่ทำให้ Mason jar มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน นั่นก็เพราะว่านอกจาก Mason jar จะเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับการบรรจุอาหารแล้ว Mason jar ยังมีประโยชน์ด้านงานฝีมือ DIY ต่าง ๆ อีกด้วยไม่ว่าจะเป็นของตกแต่ง แก้วน้ำ แจกันดอกไม้ ที่ใส่เทียนหอม กระปุกใส่ครีม แยมและอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นความนิยมของ Mason Jar ก็ขึ้นอยู่กับ สี รูปทรง ขนาด และความเก่าแก่อีกด้วยค่ะ ว่ากันว่ายิ่งเก่ายิ่งแพง เช่น ขวดที่มีสีแปลก ๆ อาทิ เขียวเข้ม โคบอลท์บลู ซึ่งของแท้นั้นหาซื้อยากมากในบ้านเรา
สามารถหาซื้อ Mason jar ได้ที่ริมปิงทุกสาขานะคะ
อาหาร
ประวัติศาสตร์
ความรู้รอบตัว
1 บันทึก
2
1
1
2
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย