Why are strawberries linked with romance
สตรอว์เบอร์รี่เป็นผลไม้แห่งความโรแมนติกที่มีประวัติอันยาวนานและหอมหวานมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเรื่องราวของสตรอว์เบอร์รี่นั้น มีประวัติยาวนานก่อนที่เรื่องราวของนักบุญวาเลนไทน์จะถือกำเนิดขึ้นเสียอีก
ประวัติของสตรอว์เบอร์รี่ในฐานะสัญลักษณ์แห่งความรักสามารถย้อนไปถึงเทศกาล Lupercalia (ลูเปอร์คาเลีย) ของชาวโรมันโบราณ ในสมัยนั้นชาวโรมันจะจัดงานเฉลิมฉลอง เพื่อบูชาอโฟรไดท์ (ในยุครุ่งเรืองของโรมันจะมีพระนามว่าวีนัส) เทพีแห่งความรัก ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่เทศกาลวาเลนไทน์จะถือกำเนิดขึ้น
โดยกิจกรรมหนึ่งที่หนุ่มสาวจะทำร่วมกันในเทศกาล Lupercalia ก็คือ ชายหนุ่มจะสุ่มจับฉลากชื่อของหญิงสาวที่เขียนไว้ในกล่อง เพื่อจับคู่กันเป็นคู่รักในช่วงเทศกาล ซึ่งอาจจะมีบางคู่ที่ตกหลุมรักกันจริง ๆ และอยู่ด้วยกันจนถึงเทศกาลในปีถัดไป หรือบางคู่อาจจะอยู่ด้วยกันจนกระทั่งแต่งงานกัน ซึ่งกิจกรรมในเทศกาลนี้นอกจากจะสุ่มจับคู่แล้ว พวกเขามักจะแลกเปลี่ยนของขวัญให้กันและกัน โดยของขวัญที่ได้รับความนิยมมากในขณะนั้นก็คือ สตรอว์เบอร์รี่ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความรักค่ะ
สาเหตุที่สตรอว์เบอร์รี่ถูกนำมายกย่องให้เป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก นั่นก็เพราะว่าลักษณะภายนอกของสตรอว์เบอร์รี่นั้นคล้ายกับรูปหัวใจ และมีสีแดงสดใส อีกทั้งยังมีรสชาติที่หวานฉ่ำเย้ายวนใจ ดังนั้นสตรอว์เบอร์รี่ จึงถูกยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์แห่งความรักนั่นเองค่ะ
เมื่อเวลาผ่านไปในช่วงที่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ถูกกำหนดให้เป็นวันวาเลนไทน์ ประเพณีการแลกเปลี่ยนของขวัญในวันวาเลนไทน์ก็เริ่มเป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้น และสตรอว์เบอร์รี่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักมาตั้งแต่อดีต จึงกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมในวันวาเลนไทน์นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยสตรอว์เบอร์รี่มักจะถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนหวาน และความหลงใหล จึงมักจะถูกมอบให้กับคนรักไปพร้อมกับของขวัญอื่น ๆ เช่น ช็อกโกแลต ดอกไม้ และจดหมายรัก
ต่อมาประเพณีการมอบสตรอว์เบอร์รี่ในวันวาเลนไทน์ก็ได้พัฒนามาเป็นประเพณีสมัยใหม่ โดยการนำผลไม้หวานฉ่ำอย่างสตรอว์เบอร์รี่มาผสมผสานร่วมกับช็อกโกแลต จึงเกิดเป็นสตรอว์เบอร์รี่เคลือบช็อกโกแลตขึ้นมา โดยเกิดครั้งแรกในเมืองชิคาโก้ เมื่อสุภาพสตรีท่านนึงชื่อว่า ลอเรน โลรุสโซ่ ได้นำสตรอว์เบอร์รี่จุ่มลงไปในหม้อช็อกโกแลตอุ่นๆ แล้วปล่อยให้แข็งตัว และนำออกมาวางขายหน้าร้าน จนเกิดเป็นความนิยมของการนำผลไม้มาจับคู่กับช็อกโกแลตจนถึงทุกวันนี้
ซึ่งสตรอว์เบอร์รี่สามารถเข้ากันได้ดีกับช็อกโกแลตทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นไวท์ช็อกโกแลต หรือดาร์กช็อกโกแลต ในปัจจุบันสตรอว์เบอร์รี่ที่เคลือบด้วยช็อกโกแลตจึงกลายเป็นอาหารว่างทั่วไปในวันวาเลนไทน์ และมักพบได้บ่อย ๆ ตามร้านบุฟเฟ่ต์ หรือในงานแต่งงาน
กระนั้นเองเรื่องราวของสตรอว์เบอร์รี่ก็ยังมีอีกหลากหลายความเชื่อที่ถูกเล่าขานกันมา โดยถูกพูดถึงในตำนานพื้นบ้านอีกว่า ถ้าคนสองคนตัดสตรอว์เบอร์รี่แล้วแบ่งกันทานคนละครึ่ง พวกเขาจะตกหลุมรักกันอีกด้วย และยังมีเรื่องราวของชาวพื้นเมืองของฝรั่งเศสในอดีต ที่นิยมเสิร์ฟซุปสตรอว์เบอร์รี่เย็นให้กับคู่บ่าวสาวในวันแต่งงาน เพราะเชื่อกันว่าการทานซุปสตรอว์เบอร์รี่จะทำให้เกิดอารมณ์รักมากยิ่งขึ้น
ไม่เพียงเท่านี้สตรอว์เบอร์รี่ยังมีความสัมพันธ์อันยาวนานกับการเฉลิมฉลองความรักในวรรณกรรมและศิลปะ ของ William Shakespeare (วิลเลียม เชกสเปียร์) อีกด้วย โดยมีอยู่ตอนหนึ่งในบทละครเรื่อง A Midsummer Night's Dream ได้บรรยายว่าสตรอว์เบอร์รี่เป็น “ผลไม้ที่งดงามที่สุด” ในภาพวาดและศิลปะรูปแบบอื่น ๆ
อย่างไรก็ตามถึงแม้ในทางวิทยาศาสตร์จะกล่าวว่าไม่มีอาหารใดที่จะช่วยให้ความรักหวานขึ้น แต่เรื่องราวความโรแมนติกของสตรอว์เบอร์รี่ ก็ยังคงเป็นความทรงจำอันหอมหวานที่อยู่ในหัวใจของคนทั่วโลกมาอย่างยาวนาน และก็คงจะเป็นเช่นนั้นต่อไปตราบใดที่สตรอว์เบอร์รี่ยังถูกยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก
ในวันวาเลนไทน์นี้มาเติมเต็มความรักในหัวใจด้วยการทานสตรอว์เบอร์รี่กันนะคะ ไม่ว่าคุณจะมีคู่หรือเป็นคนโสด การเติมเต็มความรักในหัวใจก็ย่อมเป็นสิ่งที่ดีเสมอ เพราะถึงแม้จะเป็นคนโสด แต่เราก็สามารถรักตัวเองได้ด้วยการทานผลไม้ที่มีประโยชน์อย่างสตรอว์เบอร์รี่ได้ค่ะ
เพราะสตรอว์เบอร์รี่เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ทั้ง วิตามินซี, ไฟเบอร์ และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งคงจะไม่ใช่เรื่องที่เกินไปนัก หากเราจะส่งความห่วงใยผ่านสตรอว์เบอร์รี่ให้กับคนที่เรารัก ไม่เพียงเพราะมันดีต่อร่างกาย แต่เพราะสตรอว์เบอร์รี่มันเป็นผลไม้ที่หอม หวานฉ่ำ ยากจะห้ามใจ ฉะนั้นไม่ว่าจะทานเป็นคู่หรือทานคนเดียว เราก็ยังคงดื่มด่ำกับรสชาติหวานฉ่ำของสตรอว์เบอร์รี่ได้เสมอ
สามารถหาซื้อสตรอว์เบอร์รี่ หลากหลายสายพันธุ์ได้ที่ริมปิงทุกสาขานะคะ
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
