16 ม.ค. เวลา 06:23 • การเมือง

การเลือกตั้งไต้หวันสะท้อนอะไร - Blockdit Originals โดย ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร

ผลการเลือกตั้งผู้นำไต้หวัน คือ ไล่ชิงเต๋อ จากพรรค DPP ชนะการเลือกตั้ง 40.1% ทิ้งห่างคู่แข่งคือ โหโหยว่อี๋ จากพรรค KMT ที่ได้ 33.5% โดยมีผู้สมัครพรรค TPP เคอเหวินเจ๋อ ตามมาที่ 26.5%
พรรค DPP ที่เป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจนต่อจีน ทำประวัติศาสตร์ชนะการเลือกตั้ง 3 ครั้งติดต่อกัน และครั้งนี้ชนะด้วยผู้สมัครที่มีจุดยืนดุดันและแข็งกร้าวต่อจีนมากที่สุดเมื่อเทียบกับตัวแทนพรรคคนก่อนๆ
2
แต่ในอีกมุมหนึ่ง ไล่ชิงเต๋อจากพรรค DPP แม้ว่าจะชนะ แต่ได้คะแนนเพียง 40.1% ลดลงมาเยอะจากคะแนนชัยชนะของพรรค DPP เมื่อ 4 ปี ที่แล้วที่เคยชนะถึง 57.7% มารอบนี้แม้จะชนะ แต่ก็เป็นผู้ชนะที่ได้เสียงน้อยกว่าครึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
1
ส่วนสองพรรคที่เหลือ ซึ่งคะแนนเสียงรวมกัน 60% มีจุดยืนที่เป็นมิตรกับจีนและไม่ต้องการพาไต้หวันเดินสู่การประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการที่จะเป็นเงื่อนไขให้เกิดสงครามระหว่างสองฝั่งของคาบสมุทร
1
สิ่งที่ผิดจากความคาดหมายที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนี้ กลับเป็นคะแนนของพรรคขั้วที่สามทางเลือกใหม่อย่างพรรค TPP ที่ได้คะแนนมากกว่าผลโพลการสำรวจของทุกสำนัก
ตอนแรกหลายคนนึกว่า พอโค้งสุดท้ายผู้สนับสนุนพรรค TPP จะถูกบีบให้เลือกระหว่างพรรค DPP หรือพรรค KMT ที่มีโอกาสชนะ เพราะไม่น่ามีใครอยากให้คะแนนเสียงของตนตกน้ำอย่างเปล่าประโยชน์ (โดยพรรค KMT แอบหวังว่าคะแนนจะเทมาที่เขาให้พลิกชนะพรรค DPP ได้)
2
แต่ปรากฎว่า ฐานเสียงของพรรค TPP กลับยังคงเกาะกันสนับสนุนพรรค TPP อย่างเหนียวแน่น เหมือนต้องการประกาศว่าไม่เอาทั้งสองพรรคการเมืองเก่า แม้พรรคใหม่ของตนไม่มีทางชนะได้ แต่ต้องการส่งสัญญาณสร้างทางเลือกที่สามขึ้นมา
การเมืองไต้หวันบัดนี้จึงกลายเป็นการเมืองสามพรรคอย่างเป็นทางการ ในมุมของจีนทำให้ยังมีความหวังอยู่บ้าง เพราะมีพรรคที่สามที่ไม่เป็นศัตรูกับจีนขึ้นมาดึงและแบ่งคะแนนฐานเสียงคนรุ่นใหม่ในไต้หวันจากพรรค DPP ไม่ได้เลวร้ายไปหมดว่าพรรค DPP จะผูกขาดอำนาจแบบไม่เห็นคู่แข่งได้ไปตลอด
1
บัดนี้พรรค TPP ประกาศศักดาเป็นขั้วที่สามอย่างเต็มตัว หากพรรค TPP สามารถดึงคะแนนคนรุ่นใหม่มาจากพรรค DPP มากขึ้นอีกในอนาคต ก็จะทำให้พรรคที่จีนไม่ชอบหรือพรรคที่เป็นปฏิปักษ์ต่อจีนอย่างชัดเจนอย่างพรรค DPP ค่อยๆ อ่อนกำลังลง
อีกข้อสังเกตเกี่ยวกับการเลือกตั้งครั้งนี้ก็คือ แม้ว่าข่าวภายนอก จะดูเหมือนเรื่องความสัมพันธ์ไต้หวันกับจีนแผ่นดินใหญ่จะเป็นปัจจัยชี้เป็นชี้ตายสำคัญในการเลือกตั้ง แต่จากผลโพลสำรวจคนไต้หวันเองแล้ว เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องรองๆ ลงมาในการตัดสินใจ ไม่ใช่เรื่องสำคัญอันดับ 1
2
ที่เราเห็นชัดคือ แนวทางการหาเสียงของพรรค KMT ว่าให้เลือกระหว่างสงครามหรือสันติภาพ ดูจะไม่ได้ผลสักเท่าไร เพราะพรรค DPP ก็ยังคว้าชัยและพรรค KMT ไม่ได้คะแนนเพิ่ม แต่ในขณะเดียวกัน คนรุ่นใหม่จำนวนมากก็เลือกเทคะแนนไปที่พรรค TPP ซึ่งไม่ได้เป็นปฏิปักษ์ร้อนแรงชัดเจนต่อจีน
คนรุ่นใหม่สนใจปัญหาปากท้อง เงินเดือนที่ไม่เพิ่มขึ้นเลย และค่าครองชีพที่สูงลิ่ว ส่วนเรื่องความสัมพันธ์กับจีน แม้จะไม่อยากไปรวมชาติหรือสนิทสนมกับจีน แต่ก็ดูเหมือนคนจำนวนมากก็ไม่เข้าใจว่าจะไปยั่วยุหรือตั้งตนเป็นศัตรูกับจีนจนอาจจุดชนวนสงครามไปทำไม
2
สรุปคือ ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ ยังไม่ถือเป็นฉากทัศน์ชนิดที่หายนะต่อจีน แบบทำให้จีนมองว่ากลุ่มคนที่ต้องการแยกตัวจากจีนได้ชัยชนะเด็ดขาดและเวลาไม่ได้อยู่ข้างจีนอีกต่อไป จนจำเป็นต้องเร่งเวลาในการรวมชาติเร็วขึ้นอย่างที่มีคนกังวล
แต่ระยะสั้น จีนน่าจะเพิ่มแรงกดดันและดุดันต่อไต้หวันมากยิ่งขึ้น เพราะถ้าหากจีนจะไม่ทำอะไรเลย สุดท้ายก็อาจทำให้คนไต้หวันคิดว่าเลือกพรรค DPP ไปก็ไม่เห็นจะทำให้ความเสี่ยงสงครามสูงขึ้น ยิ่งความขัดแย้งระหว่างไต้หวันกับจีนรุนแรงขึ้นเท่าไรภายใต้การนำของพรรค DPP เสียงคนรุ่นใหม่และเสียงตรงกลางอาจหันไปเทคะแนนให้พรรค TPP มากขึ้น ยิ่งตอนนี้พรรค TPP เองก็ขึ้นมาเป็นขั้วที่สามทางเลือกใหม่เรียบร้อย
1
นอกจากการเลือกตั้งผู้นำ (ฝ่ายบริหาร) แล้ว ครั้งนี้ยังมีการเลือกตั้ง ส.ส. (ฝ่ายนิติบัญญัติ) พร้อมกันด้วย ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี ที่พรรคที่ชนะการเลือกตั้งเป็นรัฐบาล ไม่ได้เสียงข้างมากในสภานิติบัญญัติ
กลับกลายเป็นว่า ไม่มีพรรคใดเลยได้เสียงข้างมากในสภานิติบัญญัติ เพราะจาก 113 ที่นั่ง พรรค KMT ได้ 52 ที่นั่ง พรรค DPP ได้ 51 ที่นั่ง ส่วนพรรค TPP ได้ 8 ที่นั่ง ผู้สมัครอิสระได้ 2 ที่นั่ง
ดังนั้น การบริหารงานของรัฐบาลพรรค DPP จึงไม่ง่าย และต้องอาศัยการประนีประนอมกับอีกสองพรรค เพื่อผลักดันกฎหมายต่างๆ
การเมืองไต้หวันต่อไปก็คงจะร้อนแรงและแตกแยกมากขึ้น เมื่อพรรครัฐบาลได้เสียงไม่ถึงครึ่ง (40.1%) และได้จำนวน ส.ส. ในฝ่ายนิติบัญญัติมาเป็นอันดับ 2 ไม่ถึงครึ่งของจำนวน ส.ส. ทั้งหมด
1
การเลือกตั้งไต้หวันครั้งนี้จึงเป็นครั้งประวัติศาสตร์ ไม่ใช่เพราะพรรค DPP ชนะวาระที่ 3 แต่เพราะพรรค DPP คะแนนลดลง ไม่ชนะขาด และภูมิทัศน์การเมืองไต้หวันเปลี่ยนมาเป็นการเมืองสามขั้ว ซึ่งสองในสามเป็นมิตรกับจีน แม้จะยังไม่ได้ครองอำนาจ
โฆษณา