16 ม.ค. 2024 เวลา 11:17 • การเมือง

คนเรียนเบื่อ คนสอนหน่าย คนจ่ายบ่น จะพอได้ยัง ?

ที่จั่วหัวไว้ น่าจะเป็นความรู้สึกของคนที่เกี่ยวข้องกับ
วิชาลูกเสือในปัจจุบัน …
นักเรียนไม่อยากเรียน ครูไม่อยากสอน
ผู้ปกครองก็ไม่รู้จ่ายให้ลูกเรียนแล้วจะได้อะไรมาใส่หัว
เรื่องเด็กไม่ชอบวิชาลูกเสือนี่เข้าใจได้
ระเบียบเยอะ ต้องรับคำสั่งเหมือนทหาร เครื่องแบบก็ร้อน
แพงอีกต่างหาก แล้วอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด หายก็โดนทำโทษ
ผู้ปกครองก็คิดว่าเป็นภาระที่ไม่จำเป็นต้องจ่าย
กับค่าชุด ค่ากิจกรรมที่ตามมาในวิชา
แต่ครูไม่ชอบด้วยนี่ ก็น่าคิดนะ จากผลสำรวจ
มีคุณครู 37% เลยทีเดียว ที่อยากให้เลิกวิชาลูกเสือ ….
ผมคิดว่ากระทรวงศึกษาฯควรทบทวนเรื่องนี้ได้สักทีแล้ว
เอาออกไปเป็นกิจกรรมชมรม มันน่าจะดีกว่าไหม
ใครอยากเรียน ก็ให้ไปสมัครเอา ไม่ใช่บังคับ
1
เอาเวลาส่วนนี้ ไปสอนวิชาที่มันสอดคล้องกับการใช้ชีวิต
จะดีกว่าไหม เช่น บัญชีเบื้องต้น , เกษตร(ในพื้นที่การเกษตร)
หัตถกรรม , คหกรรม , การทำตลาดค้าขาย ฯลฯ
มันน่าจะมีประโยชน์กับเด็กมากกว่านะ
ใครชอบ ก็เป็นกิจกรรมชมรมไป ผมว่ามันก็มีคนเรียนแหละ
เรื่องนี้พูดกันมานานมากแล้ว ตั้งแต่สมัยผมเรียนมัธยม
เมื่อสามสิบปีก่อน ก็เคยได้ยินมาเยอะ
อาจารย์วิชาอื่น ก็ไม่ใช่ว่าชอบนะครับ
ผมจำได้ ตอน ม.2 พวกผมเรียนลูกเสือกันคาบที่สองตอนเช้า
แล้วมาเข้าเรียนคณิตศาสตร์ต่อเลย
อาจารย์คณิตศาสตร์บ่นกระจาย ขนาดว่าจะขอจัดตารางสอนใหม่ เหตุผลคือ เด็กเหนื่อย ไม่สบายตัว ร้อน
แล้วเรียนวิชาของท่านไม่รู้เรื่อง ( มันคณิตด้วยล่ะนะ )
แต่ก็ไม่เป็นผล ท่านก็บ่นแทบทุกคาบที่เข้าสอนนั่นแหละ
ผมคิดว่าแทบทุกที่ มีปัญหาแบบนี้หมด
และในปัจจุบันก็คงมีปัญหาเดิมๆ คุณครูถึงอยากให้เลิก
เพราะผลสัมฤทธิ์ของเด็ก มันก็มีผลกับอาชีพครู
แต่ก็นั่นแหละ แม้จะพูดกันมานาน แต่กระทรวงฯ
ก็หูทวนลม อ้างโน่นนี่มาตลอด
และเมื่อไม่มีเหตุผลของการจัดให้เรียนที่ดีพอมาหักล้าง
ก็อ้างอิงไปถึงอะไรที่ไม่ควรเลย
…และนั่น ทำให้เด็กมันคิดไม่ดี ลามไปไกลเลยทีเดียว….
…เชื่อเหอะ เด็กๆเคยบ่นกันทุกคนแหละ หรือไม่จริง ???….
วิชาลูกเสือในไทยนั้น มันค่อนข้างมีวาระทางการเมือง
ซ่อนเร้นอยู่ในนั้น และนี่น่าจะเป็นเหตุผลที่ไม่ยอมเลิก
มาจนถึงทุกวันนี้
นัยหนึ่ง คือการฝึก หรือสอนให้รับฟังคำสั่งแบบไม่โต้แย้ง
โดยอ้างอิงกับระบบทหาร
กิจกรรมลูกเสือในไทย ค่อนข้างจะเป็นไปตามต้นฉบับที่แท้จริง
ซึ่งมาจากอังกฤษ โดยมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองการทหาร
ในระบบจักรวรรดิ์นิยม
และไม่เคยเปลี่ยนแปลงรูปแบบให้เหมาะสม
กับสภาพสังคมเลย มาจนถึงปัจจุบัน
 
ในขณะที่แม้แต่ในประเทศต้นกำเนิดอย่างอังกฤษ
ก็ปรับเปลี่ยนไปให้เข้ากับสภาพสังคมหมดแล้ว
ต้นกำเนิดของลูกเสือในอังกฤษนั้น ค่อนข้างโชกเลือด
คือ มันกำเนิดจากการฝึกเด็กไปเป็นสปาย ในสงครามกับ
พวกบัวร์ ในสมัยจักรวรรดิ์อังกฤษ
และทำเพื่อจุดประสงค์
ทางการทหาร และปลูกฝังอำนาจนิยมเป็นหลัก
( ชาวบัวร์ (Boer) คือชาวดัชท์ หรือฮอลแลนด์ ที่อพยพไปตั้งรัฐใหม่ บริเวณที่เป็นประเทศแอฟริกาใต้ในปัจจุบัน พวกเขาทำสงครามกับจักรวรรดิอังกฤษ เพื่อแย่งแอฟริกาใต้ โดยได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรอย่างชาวเยอรมันและยุโรปเหนืออื่นๆ เข่น พวกสวีเดน ฯ รวมๆเรียกว่ากองทัพบัวร์ )
1
เมื่อตกทอดมาถึงเมืองไทยในสมัยรัชกาลที่ 6
ไทยต้องต่อสู้กับลัทธิจักรวรรดินิยม
ก็เลยรับแนวคิดมาเต็มๆ เน้นด้านการทหาร
เข้าใจได้ ถึงวัตถุประสงค์ขององค์ผู้ก่อตั้ง
ซึ่งมันก็ถูกต้องตามสถานการณ์และยุคสมัย
พอล่วงมาถึงยุค จอมพลถนอม ไทยเป็นประเทศรัฐทหาร
เต็มรูปแบบ และอยู่ในช่วงสงครามเย็น
ก็เข้าใจได้เหมือนกันว่าทำไมเราถึงต้องยังเรียนลูกเสือ
ในแบบดั้งเดิม และบรรจุในหลักสูตร เขียนเป็น พรบ.
อย่างเป็นทางการ
…คำถามมันจึงอยู่ที่ว่า แล้วด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน
มันยังจำเป็นจริงๆน่ะเหรอ ที่ยังคงต้องเรียนกันในรูปแบบ
ของ “ยุวชนทหาร” แบบที่เคยเป็นมา….
…หรือเราต้องการปลูกฝังลักษณะอำนาจนิยมแบบนี้ให้กับเยาวชนของเรา มากกว่าให้พวกเขาเรียนสิ่งที่จำเป็น ?….
ที่จริงกิจกรรมลูกเสือ หรือ Scouting นั้นเป็นกิจกรรมที่สนุก
นะ ถ้าปรับรูปแบบให้เหมาะสมแบบในต่างประเทศ
1
ในชาติตะวันตกนั้น เด็กๆ จะค่อนข้างชอบ
เพราะมันเหมือนให้เด็กได้เล่น หรือผจญภัย แคมป์
มากกว่าที่จะมาเรียน ซ้ายหัน ขวาหันแบบทหาร
เหมือนในบ้านเรา
1
บางครั้ง ก็มีกิจกรรมให้เกิดความคิดสร้างสรรค์
การทดลองทางวิทยาศาสตร์ สอดแทรกเข้าไปด้วย
เช่น การทดลองจุดไฟด้วยวิธีต่างๆ เรียนรู้สารเคมีรอบตัว
อะไรแบบนั้น มันจึงเป็นกิจกรรมที่สนุกขึ้นมาได้
1
การแต่งตัวก็ไม่วุ่นวาย เสื้อยืด ผ้าพันคอ จบเลย
1
มันเป็นการสอนการผจญภัย เอาตัวรอดจริงๆ
มากกว่าที่จะมาสอนเรื่องระเบียบวินัย หรือวิชาทหาร
ในแบบที่เราทำอยู่
1
และไม่มีการปลูกฝังแนวคิดทางการเมืองแทรกเข้าไป
การปรับตัวแบบนี้ ทำให้ไม่มีกระแสต่อต้านในต่างประเทศ
และลักษณะก็เป็นกิจกรรมตามความสมัครใจ ไม่ใช่ว่าบังคับ
ไปในหลักสูตร จนมีผลกับอนาคตของเด็ก….
1
โลก อาจกำลังเข้าสู่ยุคสงครามเย็นใหม่ก็จริง
แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะให้เด็กเรียนในรูปแบบเดิมๆต่อไป
สงครามยุคปัจจุบัน เราต้องการนวัตกรหรือคนคิดเป็น
มากกว่าทหารที่ทำได้แค่ซ้ายหันขวาหัน คิดไม่เป็น
รอคำสั่งอย่างเดียว
ใช่หรือไม่ ?
แล้วมันเหตุผลอะไรที่จะต้องไปบังคับให้เด็กมันเรียน
จนเดือดร้อนไปหมด ทั้งคนสอนและผู้ปกครองแบบนี้
ข้ออ้างอีกอัน ที่ฟังไม่ขึ้นที่สุด
คือการบอกว่าเรียนเพื่อ “ฝึกระเบียบวินัย”
ทานโทษนะครับ ไทยเป็นประเทศเดียวในโลกตอนนี้นะครับ
ที่มีวิชาลูกเสือในหลักสูตรบังคับ และมีมาตั้งแต่ปี 2509
ผมถามหน่อย ถ้าเรียนแล้วคนไทยมีระเบียบจริง
มันจะเป็นแบบทุกวันนี้ไหม
1
…พวกเข้าเซเว่นยังต่อคิวไม่เป็น หรือขับรถยังไม่เคยเคารพกฎเลย พวกนี้เรียนลูกเสือมาทั้งนั้นแหละ …
1
แล้วเทียบกับญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือจีน ที่เขาไม่ได้เรียนลูกเสือ
กันมาเลย เรามีระเบียบวินัยมากกว่าเขาไหมล่ะ
1
คำตอบรู้กันแก่ใจ ไม่ต้องมาอ้างครับ
ว่าเรียนไปเพื่อฝึกระเบียบวินัย ก็เห็นอยู่แล้วว่ามันไม่ได้ผล
แล้วจะทำต่อไปเพื่ออะไร….
เรื่องเรียนให้สำนึกรักชาติก็เข้าทำนองนี้เหมือนกันแหละ
จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ชาตินิยมจ๋าเลย เขาไม่เห็นจำเป็นต้อง
เรียนลูกเสือกันเลยนี่นา ถูกไหมล่ะ
1
…จริงๆ อยากให้เด็กรักชาติน่ะ ไม่ยากหรอก
ผู้ใหญ่อย่างเราเนี่ย ทำให้มันดีก็พอแล้ว…
…เลิกบ้าระบบอุปถัมภ์ ระบบอาวุโสก็ให้น้อยกว่าที่เป็น
เลิกเห็นแก่ได้ ให้เด็กมันมีทางโต..
…เด็กมันก็มีความสุข รู้สึกว่ามีอนาคต มันก็รักของมันเองแหละ
…ไม่ใช่เอาอะไรก็ไม่รู้ไปกรอกหูมัน แล้วทำในสิ่งตรงข้าม
…แบบนั้นจะหวังให้มันรักอะไรล่ะ ….
1
ผมคิดว่าทุกฝ่ายประสานเสียงกันแบบนี้มาหลายปีแล้วนะ
กระทรวงศึกษา และผู้มีอำนาจต่างๆ ควรทบทวนซะทีได้แล้ว
เลิกเถอะ หรืออย่างน้อยลดบทบาทลงก็ยังดี
กับอะไรที่มันไม่จำเป็นแบบนี้
ส่วนกับผู้ปกครองนั้น เขาก็คิดได้แหละ
…อะไรวะ เรียนแล้วลูกชั้นก็ไม่ได้อะไร ทำไมต้องจ่าย…
ต้องรอให้เค้าพร้อมใจไม่จ่ายค่าชุดกันสักครึ่งประเทศไหมครับ ถึงจะคิดกันได้ แล้วเลิกกันซะที ???….
โฆษณา